KEY POINTS
‘เปลี่ยนอากาศเป็นเงิน’ กลยุทธ์การปลูกต้นไม้ให้เป็นเงินจาก ธ.ก.ส. ที่จะสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรผู้เป็นสมาชิก‘ธนาคารต้นไม้’
ธ.ก.ส. ให้ราคารับซื้อ ‘คาร์บอนเครดิต’ สูงสุดในประเทศไทยที่ 3,000 บาท/ตันคาร์บอนเครดิต
คุณสมบัติและวิธีเข้าร่วมโครงการ เน้นการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่างที่นำไปสร้างประโยชน์ได้หลากหลาย
เมื่อปี 2549 ประเทศไทยเกิดปัญหาการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศและปัญหาภาวะโลกร้อน อีกทั้งปัญหาหนี้สินครัวเรือนของเกษตรกรไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จึงเริ่มสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกป่าตามพระราชดำริ 'ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง' ใน 'โครงการธนาคารต้นไม้และชุมชนไม้มีค่า' ที่สนับสนุนให้เกษตรกรสามารถใช้ต้นไม้เป็นสินทรัพย์และหลักค้ำประกันได้ จนปัจจุบันมีชุมชนเข้าร่วมโครงการจำนวน 6,800 ชุมชน มีต้นไม้ขึ้นทะเบียนกว่า 12.4 ล้านต้น มีสมาชิก 124,000 คน มูลค่าต้นไม้ในโครงการกว่า 43,000 ล้านบาท
จาก ‘ธนาคารต้นไม้’ ต่อยอดสู่การ ‘เปลี่ยนอากาศเป็นเงิน’ กับ BAAC Carbon Credit
เกือบ 20 ปี ต้นไม้ในโครงการ ‘ธนาคารต้นไม้’ ของ ธ.ก.ส. ได้เติบโตเป็นสินทรัพย์และหลักประกัน รวมไปถึงสามารถเพิ่มผืนป่าไม้ชุมชนให้แก่คนไทย ประกอบกับเทรนด์โลกที่กำลังรณรงค์ ‘ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก’ โดยใช้กลไกการสร้าง ‘คาร์บอนเครดิต’ ให้ภาคธุรกิจชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนอย่างยั่งยืน
ในขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก ประเทศไทยที่เตรียมออก ‘พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ’ ที่คาดว่าจะสามารถบังคับใช้ได้ในปี พ.ศ.2570 นี้ ธ.ก.ส. จึงได้ขยายผลโครงการ ‘ธนาคารต้นไม้’ ไปสู่การเปลี่ยนอากาศเป็นเงิน ‘โครงการ BAAC Carbon Credit’ ที่พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนการซื้อ – ขายคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้อย่างเป็นทางการในประเทศไทย
นายณรงค์ ขันติวิริยะกุล รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า “โครงการ BAAC Carbon Credit เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับเกษตรกรที่อยากจะเปลี่ยนอากาศที่เต็มไปด้วยก๊าซเรือนกระจกอันเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน ไปสู่การสร้างรายได้อย่างยั่งยืน โดยขอเชิญชวนเกษตรกรมาช่วยกันปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวและใช้ต้นไม้ช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจกเหล่านั้น นอกจากได้ช่วยโลกแล้วยังเป็นการสร้างรายได้จากการปลูกต้นไม้อีกด้วย
หากพี่น้องเกษตรกรสามารถสร้างอากาศบริสุทธิ์ได้มากเท่าไร เมื่อคิดคำนวณเป็นจำนวนตันคาร์บอน ธ.ก.ส.จะเป็นผู้รับซื้อจากเกษตรกรเป็นเงินครับ ”
ธ.ก.ส. รับซื้อ ‘คาร์บอนเครดิต’ ราคาสูงสุดในไทย
การขายคาร์บอนเครดิตทำได้หลายวิธี แต่การขายคาร์บอนเครดิตจากการปลูกต้นไม้มักจะเป็นการขายคาร์บอนเครดิตที่มีราคาสูง เนื่องจากการปลูกป่าเป็นการลงทุนที่ใช้ทั้งแรง ทั้งเวลา โดยราคาเฉลี่ยทุกวิธีในปี 2567 อยู่ที่ 125.78 บาท/ตันคาร์บอนเครดิต ส่วนราคาขายคาร์บอนเครดิตจากการปลูกป่าก่อนหน้าการเข้ามาของ โครงการ BAAC Carbon Credit ของ ธ.ก.ส. สูงสุดที่ 2,000 บาท/ตันคาร์บอนเครดิต
จนกระทั่งในปี 2567 ธ.ก.ส. ทำให้ราคาซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต ขยับสูงขึ้นที่ 3,000 บาท/ตันคาร์บอนเครดิต โดยได้ดำเนินการรับซื้อจากชุมชนธนาคารต้นไม้บ้านท่าลี่และบ้านแดง จังหวัดขอนแก่น คิดเป็นมูลค่าการซื้อ-ขายรวมกว่า 1.2 ล้านบาท และเป็นราคาที่สูงที่สุดของการรับซื้อคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ของไทย!
รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวถึงเหตุผลที่ ธ.ก.ส. ให้ราคารับซื้อสูงสุดไว้ว่า
ธ.ก.ส. รับซื้อคาร์บอนเครดิตที่ 3,000 บาทต่อตันคาร์บอน ซึ่งเป็นราคาสูงสุดในตลาด เพราะบางที่ได้ราคาเพียง 500 บาทต่อตัน แต่โครงการของ ธ.ก.ส. จะพิเศษกว่าโครงการทั่วไป เพื่อเป็นการขอบคุณและเป็นกำลังใจให้เกษตรกรของ ธ.ก.ส. ที่เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกันรักษาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมให้กับประเทศไทย
นอกจากการให้ราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์แล้ว สิทธิประโยชน์จากการเข้าร่วมโครงการดังกล่าว ได้แก่ ธ.ก.ส.จะออกเงินให้ก่อนในการว่าจ้างผู้ตรวจประเมินภายนอก และการรายงานข้อมูลการวัดและตรวจประเมินคาร์บอนเครดิตให้กับองค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก (อบก.)
“ ธ.ก.ส. ออกค่าใช้จ่ายในการวัดและตรวจประเมินต้นไม้จากผู้ตรวจประเมินภายนอก เพื่อออกใบประกาศรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตที่สร้างได้และรายงาน อบก. ให้ก่อน โดยใช้งบประมาณจากองทุนธนาคารต้นไม้ดูแล และเมื่อครบรอบการตรวจประเมินในรอบที่สามารถขายคาร์บอนเครดิตได้ ธ.ก.ส. จะเข้าไปรับซื้อคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ในราคาตันคาร์บอนละ 3,000 บาท และหลังจากจำหน่ายคาร์บอนเครดิตได้แล้ว ธ.ก.ส. จะดำเนินการหักค่าบริหารจัดการโครงการในอัตราร้อยละ 30 ของรายได้ทั้งหมด เพื่อเติมเงินทุนในกองทุนธนาคารต้นไม้ สำหรับช่วยเหลือชุมชนธนาคารต้นไม้อื่น ๆ ต่อไป” นายณรงค์กล่าว
ทั้งนี้ เกษตรกรจะได้รับผลตอบแทนที่ร้อยละ 70 ของราคาขาย หรือประมาณ 2,000 บาทต่อไร่ต่อปี หรือกรณีปลูกต้นไม้แบบหัวไร่ปลายนา จะสามารถปลูกได้เฉลี่ย 40 ต้น/ไร่ คิดเป็น 380 กิโลกรัมคาร์บอนต่อไร่ต่อปี จะทำให้เกษตรกรมีรายได้จากการขายหลังหักค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 800 บาทต่อไร่ต่อปี
นอกจากนี้ ธ.ก.ส.ยังสนับสนุนและให้ความรู้จากการใช้สอยพื้นที่ป่า และกรณีที่เกษตรกรเปลี่ยนพื้นที่สวนหรือไร่เป็นป่า ธ.ก.ส.ก็พร้อมสนับสนุนสินเชื่อสีเขียว เพื่อให้สร้างป่าสร้างรายได้ขึ้น
อยากร่วมปลูกต้นไม้ และได้รายได้จาก ‘เปลี่ยนอากาศเป็นเงิน’ ต้องทำอย่างไร
สำหรับเกษตรกรหรือชุมชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ BAAC Carbon Credit ต้องมีคุณสมบัติเบื้องต้น ดังนี้
รวมกลุ่มกันอย่างน้อย 9 คน เป็นสมาชิกธนาคารต้นไม้ หรือหากยังไม่เป็นสมาชิก สามารถติดต่อ ธ.ก.ส. ทุกสาขา
ทั่วประเทศ เพื่อทำการจัดตั้งธนาคารต้นไม้
มีการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ขั้นต่ำ 10 ไร่ โดยสามารถรวมพื้นที่ได้และไม่จำเป็นต้องปลูกในพื้นที่ต่อเนื่องกัน อาจจะปลูกที่หัวไร่ปลายนาของตนเองก็สามารถทำได้
พื้นที่ต้องมีเอกสิทธิทางกฎหมาย
ไม้ที่ปลูกต้องเป็นไปตามหลักการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง เช่น ไม้ใช้สอย ไม้บริโภค หรือไม้เศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดประโยชน์ที่หลากหลาย
สุดท้ายนอกจากประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้จากการ ‘เปลี่ยนอากาศเป็นเงิน’ แล้วยังถือเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและดูแล ‘สิ่งแวดล้อม’ ในชุมชน อันนำไปสู่การลดภาวะโลกร้อนได้อย่างยั่งยืน โดย ธ.ก.ส. ขอเชิญชวนเกษตรกรและชุมชนมาเข้าร่วมโครงการ BAAC Carbon Credit เพราะนอกจากจะมาร่วมกันเปลี่ยนอากาศให้เป็นเงินแล้ว มากกว่านั้นคือเราจะได้ช่วยเหลือประเทศชาติ เรียกสมดุลธรรมชาติกลับคืนมาได้ต่อไป
รู้วิธี 'เปลี่ยนอากาศเป็นเงิน' จาก ธ.ก.ส. ได้ราคาคาร์บอนฯ สูงสุด
ทั่วประเทศ เพื่อทำการจัดตั้งธนาคารต้นไม้