มาร์เก็ตแคป ‘หุ้นไทย’ ต่ำกว่ามูลค่าตราสารหนี้ ครั้งแรกในรอบ 16 ปี และ หุ้นไทยมีเอี่ยว หากเศรษฐกิจอินโดฯ มีปัญหา

ปเข้าตลาดตราสารหนี้ โดยพบว่ามูลค่าคงค้างตราสารหนี้ไทยล่าสุดอยู่ที่ 17.1 ล้านล้านบาท ซึ่งสวนทางกับมูลค่าตลาดหุ้นไทย (Market Cap) ที่ล่าสุดปรับตัวลดลงมาเหลือระดับ 14.57 ล้านล้านบาทเท่านั้น (นับจากต้นปีมาร์เก็ตแคปหุ้นไทยลดลงไปแล้ว 2.9 ล้านล้านบาท)

หากสังเกตจากข้อมูลในอดีต มูลค่ามาร์เก็ตแคปของดัชนี SET ไม่เคยน้อยกว่ามูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ นับตั้งแต่ปี 2552-2567 แต่ล่าสุดในปี 2568 น้อยกว่าถึง 2.5 ล้านล้านบาท ถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี

ซึ่งฝ่ายวิจัยเอเซีย พลัสคาดว่าเม็ดเงินดังกล่าวมีโอกาสโยกย้ายเข้าฝั่งตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไป โดยมี 3 เหตุผลสนับสนุน ดังนี้

1.อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในช่วงขาลงทั่วโลกรวมถึงไทย ในปีนี้มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง เหลือ
1.75% หากตัวเลขเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดังที่หวังไว้ (ตามการคาดการณ์ของ Bloomberg Consensus)

2.ปัญหาธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียนในหลายบริษัทในช่วงก่อนหน้านี้ กดดันให้การออกหุ้นกู้ภาคเอกชนระยะยาวน้อยลง โดยเฉพาะหุ้นกู้ในกลุ่มที่มีเรตติ้งน้อยกว่า BBB โดยทางสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) คาดการณ์ว่ามูลค่าการออกหุ้นกู้ภาคเอกชนระยะยาวปี 2568 จะอยู่ที่ 8-8.5 แสนล้านบาท เท่านั้น ลดลง 6.9-12.4% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY)

และ 3.ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่างตลาดหุ้นกับตลาดตราสารหนี้ (Earning Yield Gap) ของไทยดูโดดเด่น โดยกำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ 89 บาท/หุ้น อยู่ที่ระดับ 7.6% และ Market Earning Yield Gap อยู่ที่ 5.6% ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศ เช่น สหรัฐ อยู่ที่ 4.9%

“SET Index ลงมาอยู่ที่ระดับ 1,170 จุด ซึ่งลงแรงทิ้งห่างเส้น SMA 125 วัน มาแล้วกว่า 206 จุด และอยู่ในระดับต่ำกว่า -2SD แสดงให้เห็นว่าดัชนี SET ลงมาเร็วและแรงในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เกินกว่าปกติมาก หรือสะท้อนความกลัวจากปัจจัยต่าง ๆ ไประดับหนึ่งแล้ว นักลงทุนต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิ SET50 FUTURES 3 วัน 42,790 สัญญา เชื่อแรงกดดันจากฟันด์โฟลว์อาจลดลง”

กลยุทธ์แนะนำทยอยสะสมหุ้นถูก มีอัตราส่วนราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (PBV) ต่ำกว่า 1 เท่า และมีอัตราการทำกำไรที่ดี Earning Yield มากกว่า 4% อาทิ BCP, TOP, AP, SPALI, SIRI, PTTEP, BBL, PTT, TU, LH, CPF, JMART, SCGP, SCC, STECON...

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1775575




เช็กชื่อหุ้นไทยมีเอี่ยว หากเศรษฐกิจอินโดฯ มีปัญหา

ตลาดหุ้นอินโดนีเซียวันนี้ปรับร่วงหนัก -6% ระหว่างวันต้องหยุดพักซื้อขายชั่วคราว “บล.กรุงศรี” ชี้กังวลปัญหาเศรษฐกิจอินโดฯ อ่อนแอลง ยักษ์รับเหมาผิดนัดชำระหนี้เงินกู้ การบริโภคชะลอตัว มองจิตวิทยาลบระยะสั้น แนะชะลอลงทุนหุ้นที่มีเอี่ยว “กรุงศรี-ฟิลลิป” เปิดโผหุ้นไทยที่มีธุรกิจในอินโดฯ

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) รายงานว่า ตลาดหุ้นอินโดนีเซียวันนี้ (18 มี.ค. 2568) ปรับลงแรง -6.12% ทำให้ระหว่างวันต้องหยุดการซื้อขายชั่วคราว โดยหุ้นกลุ่มที่ปรับลงหลักคือ Technology -11.7%, Basic Materials -7.3%, พลังงาน -4.5%, การเงิน -2.7%

สาเหตุคาดเกิดจาก
1.ความกังวลปัญหาเศรษฐกิจอินโดนีเซียที่อ่อนแอลง หลังเริ่มมีผู้ประกอบการผิดนัดชำระหนี้คือ PT Wijaya Karya ผู้รับเหมาก่อสร้างอันดับ 2 ของอินโดนีเซีย ผิดนัดเงินกู้ 61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และพันธบัตร Sukuk mudharabah ที่ออกในปี 2565

2.ธุรกิจในอินโดนีเซีย เผชิญปัญหาการขู่กรรโชกจากกลุ่มอาชญากรรมที่แอบอ้างเป็นองค์กรพลเมือง ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมการลงทุน และ 3.การบริโภคที่ชะลอตัวลงก่อนวันหยุด Eid Holiday เทศกาลอีฎของชาวมุสลิม

ประเมินผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย (SET Index) คาดจำกัด มองเป็นเพียงจิตวิทยาลบระยะสั้น แต่จะมีผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่มีธุรกิจในอินโดนีเซียระยะสั้น จึงแนะนำชะลอลงทุนไปก่อน อาทิ SCGP ที่ 14% ของรายได้รวม SCC 7% ของรายได้รวม PTTGC 3% ของรายได้รวม BBL 12% ของสินเชื่อรวม และ KBANK 5% ของสินเชื่อรวม

บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) รายงานว่า ภาพความกังวลดังกล่าวมองมีโอกาสกดดันต่อหุ้นที่มีสัดส่วนรายได้อิงกับเศรษฐกิจอินโดนีเซีย เช่น

1.TFM มีสัดส่วนรายได้จากอินโดนีเซีย 11-12% ของรายได้รวม

2.SCGP มีสัดส่วนรายได้จากอินโดนีเซีย 14% ของรายได้รวม

3.SCC มีสัดส่วนรายได้จากอินโดนีเซีย 7% ของรายได้รวม

และ 4.BBL ที่มีรายได้บางส่วนมาจากการดำเนินงานของ Permata Bank ในอินโดนีเซีย

... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1775524




แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่