เทียบค่ารักษาพยาบาล 4 กองทุนฯ เหลื่อมล้ำชัดเจน! หลังเผยงบแซง GDP

KEY POINTS
คนไทยใช้งบการรักษา 3.6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 11% ต่อปี โตมากกว่าจีดีพีประเทศ
ความเหลื่อมล้ำของค่ารักษาพยาบาลในแต่ละกองทุนฯ และแต่ละภาค
8 แนวทางเร่งด่วนจัดการค่ารักษาพยาบาลที่พุ่งสูง โดยไม่มีการรวมสิทธิ
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาค่ารักษาพยาบาลของสวัสดิการรักษาพยาบาลของประเทศไทย เปิดเผยไว้เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ใช้งบพุ่งกว่า 3.6 แสนล้านบาท ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากกว่า 11% ต่อปี ซึ่งโตมากกว่าจีดีพีประเทศซึ่งอยู่ที่ 2-2.5%
นอกจากนี้ยังพบว่ามีการใช้งบประมาณเพิ่มสูงรวดเร็ว จึงต้องมีการทบทวนค่าใช้จ่ายในระบบให้มีเพิ่มคุณภาพและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยยอมรับว่า GDP ที่โตน้อยอาจส่งผลกระทบต่อระบบสุขภาพแน่นอน โดยยังยืนยันว่าไม่ได้มีการลดสิทธิการรักษาเดิม และยังไม่มีการคุยถึงการรวมสิทธิรักษาพยาบาลทั้ง 4 ระบบเข้าด้วยกัน
 
 
ความเหลื่อมล้ำ สิทธิสุขภาพ ของไทย
การประชุมดังกล่าวได้โฟกัสที่ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของภาครัฐ โดยมี 4 ระบบ ได้แก่
ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง)
ระบบประกันสังคม
ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ
ระบบการดูแลพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
 
เมื่อเปรียบเทียบค่ารักษาของแต่ละกลุ่ม มีรายละเอียดดังนี้
ค่ารักษาของกลุ่มข้าราชการเฉลี่ยสูงถึง 1.8 หมื่นบาทต่อคน
รองลงมาเป็นสิทธิค่ารักษาของ อปท.สูงกว่า 1.2 หมื่นบาทต่อคน
สิทธิประกันสังคม 4.9 พันบาทต่อคน
สิทธิบัตรทอง 3.8 พันบาทต่อคน
 
 
ทั้งนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติ เคยสรุปตัวเลขจำนวนคนไทยในสิทธิต่างๆ ในปี 2566 พบว่า
ค่าราชการและรัฐวิสาหกิจมีอยู่ราว 5.3 ล้านคน
พนักงานอปท.  6.8 แสนคน
ประกันสังคม   12.8 ล้านคน
สิทธิบัตรทอง  46.9 ล้านคน
 
เมื่อพิจารณาในแต่ละ 'ภาค' มีความแตกต่างกัน
ประชากร 8 ใน 10 ที่อาศัยอยู่ใน ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ เป็นผู้มีสวัสดิการจากหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง ดังนี้
ภาคเหนือ  ร้อยละ 80.8 
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 88.6
ภาคใต้ ร้อยละ 81.9
 
ส่วนประชากรที่อาศัยอยู่ใน กรุงเทพมหานครและภาคกลาง มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลแตกต่างจากภาคอื่น กล่าวคือ
กรุงเทพมหานคร
ร้อยละ 52.5 สวัสดิการจากหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ร้อยละ 36.4 สวัสดิการจากหลักประกันสังคม/กองทุนเงินทดแทน
ภาคกลาง
ร้อยละ 64.3  สวัสดิการจากหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ร้อยละ 29.6  สวัสดิการจากประกันสังคม
อย่างไรก็ตามพบว่า ผู้ป่วยโดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครกว่าร้อยละ 46.3 ไม่ใช้สวัสดิการรักษาพยาบาลที่มีเมื่อเจ็บป่วย  และเป็นจังหวัดที่ซื้อยากินเองมากที่สุดคือร้อยละ 34.7
 
 
8 แนวทางการทำงานเร่งด่วน โดยไม่มีการรวมสิทธิ 
สปสช.และสธ.ทบทวนหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของไทย ให้ควบคุมการใช้จ่ายของทุกสิทธิให้เหมาะสมภายใต้วงเงินที่ได้รับจัดสรร ไม่ให้เกิดภาระต่อเงินคงคลังของประเทศ ที่สำคัญคือ  “ พิจารณาค่ารักษาพยาบาลโดยเฉพาะสิทธิสวัสดิการข้าราชการที่ควรจะมีแนวโน้มลดลง”
สปสช. พิจารณานำงบประมาณเหลือจ่ายจากการดำเนินงาน หรือรายได้สูงกว่ารายจ่ายสะสมมาสมทบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เป็นลำดับแรก และหากเงินรายได้สูงกว่ารายจ่ายสะสมไม่เพียงพอ ก็ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายงานเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2562 ตามขั้นตอนต่อไป และให้ขยายมาตรการนี้ไปยังเงินนอกงบประมาณของหน่วยบริการภาครัฐต่อไป
สธ. ต้องมีมาตรการ หลักเกณฑ์ ในการสั่งจ่ายาให้เป็นมาตรฐานเดียวกันในทุกสิทธิการรักษาพยาบาล และควรพิจารณาการใช้ยาสามัญ (Generic Drugs) เป็นลำดับแรกแทนยาต้นตำรับ (Original Drugs) เนื่องจากยาต้นตำรับมีราคาที่ค่อนข้างสูง
ดำเนินการนำร่องเรื่อง การพัฒนาการเชื่อมโยงข้อมูลให้เป็นระบบเดียวกัน เพื่อให้ทั้งประเทศใช้ระบบเดียวกัน
ควรเร่งดำเนินการเชิงรุก ตลอดจนพิจารณาทบทวนการใช้ DRGs ให้สอดคล้องกับต้นทุนค่ารักษาพยาบาลที่แท้จริง และพิจารณานำแนวทางการจัดทำงบประมาณฐานศูนย์ (Zero-Based Budgeting) มาปรับใช้ในการจัดทำงบประมาณมากขึ้นในปีถัดไป
กรมบัญชีกลาง สำนักงานข้าราชการพลเรือน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันพิจารณาหลักเกณฑ์การจัดสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลสำหรับข้าราชการในระบบ และที่บรรจุใหม่
สธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันกำหนดมาตรฐานราคากลางของยา วัคซีน เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์อวัยวะเทียม เพื่อเป็นมาตรฐานเดียวกันทังประเทศ และพิจารณาการจัดซื้อยา วัคซีน เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์อวัยวะเทียมจากองค์การเภสัชกรรม และการจัดซื้อในปริมาณที่มาก จะทำให้ต่อรองราคาเพื่อให้เกิดความประหยัดและคุ้มค่าได้ รวมถึงดึงดูดให้เกิดการลงทุนในประเทศ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต
กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรพิจารณามาตรการทางภาษี เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีเพื่อให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น การเก็บภาษีสินค้าที่ทำลายสุขภาพเพิ่ม และ สร้างแรงจูงใจทางอ้อมให้กับประชาชนที่ได้รับสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ รับสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่