การประมาณตามสำนึก (Heuristics) ในทางจิตวิทยา หมายถึง การกะหรือประเมินค่าหรือคำตอบ ด้วยความรู้สึกหรือสัญชาตญาณของตนเอง ไร้ซึ่งการให้เหตุผลหรือการใช้สถิติที่ถูกต้องตามความเป็นจริง การประมาณตามสำนึกเป็นสิ่งที่อันตรายกับการลงทุนและการเก็งกำไรมาก ๆ เพราะจะทำให้คนอย่างเรา ๆ ลงทุนหรือเก็งกำไรอย่างไร้เหตุและผล ซึ่งมนุษย์นั้นมีการประมาณตามสำนึกอยู่ 2 อย่าง คือ ตามความเป็นตัวแทน (Representativeness) ในฐานะรูปแทนของคำตอบ กับการมีให้ (Availability) ในฐานะข้อมูลที่สามารถถูกหยิบมาใช้ตัดสินใจได้ ดังนี้
การประมาณความเป็นตัวแทนตามสำนึก
1. ความไม่ไวต่อความน่าจะเป็นของผลลัพธ์ก่อนหน้า
ผู้คนมักไม่สนใจว่าผลลัพธ์จะมีโอกาสเกิดขึ้นบ่อยเพียงหน่อย แต่จะไปยึดกับภาพเหมารวม (Stereotype) แทน ยกตัวอย่าง อาทิ ในกลุ่มประชากรทั้งหมดจะมีบรรณารักษ์และเกษตรกรเป็นหนึ่งในนั้น โดยที่จำนวนบรรณารักษ์จะน้อยกว่าจำนวนเกษตรกรมาก ๆ แต่เมื่อถามผู้คนให้คาดเดาว่ากลุ่มคนเหล่านั้นเป็นบรรณารักษ์หรือเกษตรกร แล้วบอกไปว่ากลุ่มคนเหล่านั้นเป็นคนขี้อาย ผู้เข้าร่วมทดสอบจะใช้ภาพเหมารวม มักตีความไปว่าคนเหล่านั้นเป็นบรรณารักษ์ทันที แม้ในความจริงความขี้อายจะไม่ได้เป็นตัวกำหนดอาชีพก็ตาม
"นักลงทุนส่วนใหญ่มักเหมารวมว่าบริษัทที่มีผู้บริหารที่ดูดีหรือมีชื่อเสียง มักจะเชื่อว่าบริษัทนั้น ๆ จะประสบความสำเร็จที่จะทำให้สามารถสร้างกำไรได้มาก"
2. ความไม่ไวต่อกลุ่มตัวอย่าง
หลาย ๆ ครั้งเรามักคิดไปว่ากลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก ๆ จะสามารถเป็นตัวแทนของประชากรทั้งหมดได้โดยละเลยความแปรปรวนทางสถิติ ยกตัวอย่าง อาทิ โรงพยาบาลขนาดเล็กมีสถิติพบว่าเด็กที่เกิดใหม่เป็นเพศชาย 60% โดยที่โรงพยาบาลขนาดเล็กนั้นได้มีการเก็บสถิติด้วยระยะเวลานานกว่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ แต่เมื่อนำข้อมูลนี้ไปให้ผู้คนรู้ คนส่วนมากจะคิดไปเองว่า โรงพยาบาลขนาดใหญ่จะมีสถิติเด็กที่เกิดใหม่เป็นเพศชาย 60% เหมือน ๆ กับโรงพยาบาลขนาดเล็ก ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริง ความแปรปรวนทางสถิติระหว่างข้อมูลทั้งสองแหล่งอาจไม่ได้เหมือนกัน
"นักเก็งกำไรหลาย ๆ คนมักจะทดสอบอินดิเคเตอร์ (Indicator) เพื่อหารูปแบบและจังหวะเข้าซื้อหรือขาย ด้วยจำนวนการทดสอบที่น้อยเกินไป เพราะคิดว่าการทดสอบนั้นจะสามารถเป็นตัวแทนของรูปแบบในทุก ๆ ช่วงเวลา"
3. ความเข้าใจผิดของโอกาส
คนส่วนใหญ่มักคาดว่าอนุกรมสุ่มควรจะดูเหมือนสุ่ม ทั้ง ๆ ในความเป็นจริงอาจไม่เป็นไปตามที่คิด ยกตัวอย่าง อาทิ ถ้าเราโยนเหรียญติดต่อกัน 6 ครั้ง เราจะมองว่าอนุกรมการออกเหรียญแบบ หัว-ก้อย-หัว-ก้อย-ก้อย-หัว มันดูสุ่มมากกว่าอนุกรมแบบ หัว-หัว-หัว-ก้อย-ก้อย-ก้อย ทั้ง ๆ ที่ความจริง โอกาสที่อนุกรมทั้งสองจะเกิดขึ้นได้นั้นมีเท่ากัน
"นักเก็งกำไรบางส่วนมักคิดว่า เมื่อแท่งเทียน (Candlestick) ไม่สีเขียวหรือสีแดง เกิดติด ๆ กันหลายคร้ังมาก ๆ เขาเหล่านั้นก็มักคิดว่าโอกาสที่แท่งเทียนจะเปลี่ยนสี จะค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มักลงไม้สวนทางแนวโน้ม (Trend) ของตลาดในช่วงเวลานั้น ๆ"
4. ความไม่ไวต่อความสามารถในการทำนาย
ผู้คนมักประเมินความสามารถในการพยากรณ์ผลลัพธ์ในอนาคตที่สูงเกินจริง แม้สิ่งที่มาสนับสนุนจะเป็นหลักฐานอ่อน ๆ ยกตัวอย่าง อาทิ ผู้คนมักพยากรณ์กำไรในอนาคตของบริษัทเพียงเพราะมีคำโฆษณาที่สวยหรู
"นักลงทุนบางคนแค่เห็นว่าบริษัทนั้นจะได้มีการเสนอขายหุ้นครั้งแรกให้แก่สาธารณชน (Initial public offering หรือก็คือ IPO นั่นแหละ) ก็คาดเดากันไปเองว่า บริษัทนั้น ๆ ต้องสามารถทำกำไรมากมายในอนาคตได้"
5. ภาพลวงของความถูกต้อง
คนเรามักจะมั่นใจในการตัดสินใจกับข้อมูลที่ดูสอดคล้องกับภาพเหมารวมของตนเอง มากกว่าความถูกต้องของข้อมูลเหล่านั้นจริง ๆ ยกตัวอย่าง อาทิ นักจิตวิทยามักประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินไป ว่าสามารถตัดสินความสำเร็จของผู้สมัครงานได้ จากการสัมภาษณ์เพียงสั้น ๆ
"นักเก็งกำไรบางส่วน จะจดจำกราฟที่มีรูปแบบหัวและไหล่ (Head and shoulders pattern) และมักตีความไปว่าราคาจะร่วงลงทุกครั้งเมื่อมีรูปแบบนั้นเกิดขึ้น"
6. ความเข้าใจผิดของการถดถอย
ผู้คนมักเข้าใจผิดว่าเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นผิดพลาดหรือรุนแรงมักจะค่อย ๆ กลับคืนสู่จุดสมดุลได้อีกครั้ง ยกตัวอย่าง อาทิ ครูฝึกการบินมักมีความเชื่อที่ผิดว่า การลงจอดที่แย่จะสามารถทำให้นักเรียนการบินลงจอดดีขึ้นในครั้งต่อ ๆ ไปได้ ทั้งที่ความเป็นจริงการลงจอดจะพัฒนาได้ ขึ้นอยู่ที่การเรียนรู้ของตัวนักบินที่ถูกฝึก ไม่ได้มาจากการลงจอดแบบแย่ ๆ ซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้ง
"การเทรดเสียเป็นพัน ๆ หรือหมื่น ๆ ครั้ง ไม่ได้เป็นตัวการันตีว่าสักวันหนึ่ง เราจะสามารถทำกำไรได้ ตราปใดที่การเทรดเสียแต่ละครั้ง ไม่ได้ทำให้เราได้เรียนรู้"
[ตัวสร้างปัญหาทั้งในด้านการลงทุนและการเก็งกำไร] การประมาณตามสำนึก (Heuristics) และอคติจุดยึด (Anchoring bias)
การประมาณความเป็นตัวแทนตามสำนึก
1. ความไม่ไวต่อความน่าจะเป็นของผลลัพธ์ก่อนหน้า
ผู้คนมักไม่สนใจว่าผลลัพธ์จะมีโอกาสเกิดขึ้นบ่อยเพียงหน่อย แต่จะไปยึดกับภาพเหมารวม (Stereotype) แทน ยกตัวอย่าง อาทิ ในกลุ่มประชากรทั้งหมดจะมีบรรณารักษ์และเกษตรกรเป็นหนึ่งในนั้น โดยที่จำนวนบรรณารักษ์จะน้อยกว่าจำนวนเกษตรกรมาก ๆ แต่เมื่อถามผู้คนให้คาดเดาว่ากลุ่มคนเหล่านั้นเป็นบรรณารักษ์หรือเกษตรกร แล้วบอกไปว่ากลุ่มคนเหล่านั้นเป็นคนขี้อาย ผู้เข้าร่วมทดสอบจะใช้ภาพเหมารวม มักตีความไปว่าคนเหล่านั้นเป็นบรรณารักษ์ทันที แม้ในความจริงความขี้อายจะไม่ได้เป็นตัวกำหนดอาชีพก็ตาม
"นักลงทุนส่วนใหญ่มักเหมารวมว่าบริษัทที่มีผู้บริหารที่ดูดีหรือมีชื่อเสียง มักจะเชื่อว่าบริษัทนั้น ๆ จะประสบความสำเร็จที่จะทำให้สามารถสร้างกำไรได้มาก"
2. ความไม่ไวต่อกลุ่มตัวอย่าง
หลาย ๆ ครั้งเรามักคิดไปว่ากลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก ๆ จะสามารถเป็นตัวแทนของประชากรทั้งหมดได้โดยละเลยความแปรปรวนทางสถิติ ยกตัวอย่าง อาทิ โรงพยาบาลขนาดเล็กมีสถิติพบว่าเด็กที่เกิดใหม่เป็นเพศชาย 60% โดยที่โรงพยาบาลขนาดเล็กนั้นได้มีการเก็บสถิติด้วยระยะเวลานานกว่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ แต่เมื่อนำข้อมูลนี้ไปให้ผู้คนรู้ คนส่วนมากจะคิดไปเองว่า โรงพยาบาลขนาดใหญ่จะมีสถิติเด็กที่เกิดใหม่เป็นเพศชาย 60% เหมือน ๆ กับโรงพยาบาลขนาดเล็ก ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริง ความแปรปรวนทางสถิติระหว่างข้อมูลทั้งสองแหล่งอาจไม่ได้เหมือนกัน
"นักเก็งกำไรหลาย ๆ คนมักจะทดสอบอินดิเคเตอร์ (Indicator) เพื่อหารูปแบบและจังหวะเข้าซื้อหรือขาย ด้วยจำนวนการทดสอบที่น้อยเกินไป เพราะคิดว่าการทดสอบนั้นจะสามารถเป็นตัวแทนของรูปแบบในทุก ๆ ช่วงเวลา"
3. ความเข้าใจผิดของโอกาส
คนส่วนใหญ่มักคาดว่าอนุกรมสุ่มควรจะดูเหมือนสุ่ม ทั้ง ๆ ในความเป็นจริงอาจไม่เป็นไปตามที่คิด ยกตัวอย่าง อาทิ ถ้าเราโยนเหรียญติดต่อกัน 6 ครั้ง เราจะมองว่าอนุกรมการออกเหรียญแบบ หัว-ก้อย-หัว-ก้อย-ก้อย-หัว มันดูสุ่มมากกว่าอนุกรมแบบ หัว-หัว-หัว-ก้อย-ก้อย-ก้อย ทั้ง ๆ ที่ความจริง โอกาสที่อนุกรมทั้งสองจะเกิดขึ้นได้นั้นมีเท่ากัน
"นักเก็งกำไรบางส่วนมักคิดว่า เมื่อแท่งเทียน (Candlestick) ไม่สีเขียวหรือสีแดง เกิดติด ๆ กันหลายคร้ังมาก ๆ เขาเหล่านั้นก็มักคิดว่าโอกาสที่แท่งเทียนจะเปลี่ยนสี จะค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มักลงไม้สวนทางแนวโน้ม (Trend) ของตลาดในช่วงเวลานั้น ๆ"
4. ความไม่ไวต่อความสามารถในการทำนาย
ผู้คนมักประเมินความสามารถในการพยากรณ์ผลลัพธ์ในอนาคตที่สูงเกินจริง แม้สิ่งที่มาสนับสนุนจะเป็นหลักฐานอ่อน ๆ ยกตัวอย่าง อาทิ ผู้คนมักพยากรณ์กำไรในอนาคตของบริษัทเพียงเพราะมีคำโฆษณาที่สวยหรู
"นักลงทุนบางคนแค่เห็นว่าบริษัทนั้นจะได้มีการเสนอขายหุ้นครั้งแรกให้แก่สาธารณชน (Initial public offering หรือก็คือ IPO นั่นแหละ) ก็คาดเดากันไปเองว่า บริษัทนั้น ๆ ต้องสามารถทำกำไรมากมายในอนาคตได้"
5. ภาพลวงของความถูกต้อง
คนเรามักจะมั่นใจในการตัดสินใจกับข้อมูลที่ดูสอดคล้องกับภาพเหมารวมของตนเอง มากกว่าความถูกต้องของข้อมูลเหล่านั้นจริง ๆ ยกตัวอย่าง อาทิ นักจิตวิทยามักประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินไป ว่าสามารถตัดสินความสำเร็จของผู้สมัครงานได้ จากการสัมภาษณ์เพียงสั้น ๆ
"นักเก็งกำไรบางส่วน จะจดจำกราฟที่มีรูปแบบหัวและไหล่ (Head and shoulders pattern) และมักตีความไปว่าราคาจะร่วงลงทุกครั้งเมื่อมีรูปแบบนั้นเกิดขึ้น"
6. ความเข้าใจผิดของการถดถอย
ผู้คนมักเข้าใจผิดว่าเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นผิดพลาดหรือรุนแรงมักจะค่อย ๆ กลับคืนสู่จุดสมดุลได้อีกครั้ง ยกตัวอย่าง อาทิ ครูฝึกการบินมักมีความเชื่อที่ผิดว่า การลงจอดที่แย่จะสามารถทำให้นักเรียนการบินลงจอดดีขึ้นในครั้งต่อ ๆ ไปได้ ทั้งที่ความเป็นจริงการลงจอดจะพัฒนาได้ ขึ้นอยู่ที่การเรียนรู้ของตัวนักบินที่ถูกฝึก ไม่ได้มาจากการลงจอดแบบแย่ ๆ ซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้ง
"การเทรดเสียเป็นพัน ๆ หรือหมื่น ๆ ครั้ง ไม่ได้เป็นตัวการันตีว่าสักวันหนึ่ง เราจะสามารถทำกำไรได้ ตราปใดที่การเทรดเสียแต่ละครั้ง ไม่ได้ทำให้เราได้เรียนรู้"