PTT ตั้งเป้าดึง จีน-อาหรับ ร่วมลงทุน ปรับโครงสร้างโดยกลับมาเน้นธุรกิจ Hydrocarbon และนำระบบดิจิตัลเข้ามา

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) การที่ราคาหุ้น PTT มีการปรับตัวลดลงนั้น เป็นเพราะว่าสภาวการณ์ในตลาดหุ้นนั้นมีความผันผวน และราคาน้ำมันปรับตัวลดลง



อย่างไรก็ดี PTT มุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจ เพื่อเพิ่มผลกำไร EBITDA (ผลกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย) ผ่านการดำเนินกลยุทธ์ทั้งในระยะสั้น, กลาง และยาว

โดยในระยะสั้น มีการปรับโครงสร้างธุรกิจ Non-Hydrocarbon (ธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน เช่น EV, Life Science และ AI) พร้อมเดินหน้าโครงการ D1-Domestic Products Mgmt ซึ่งมีการตั้งเป้าสร้างมูลค่าเพิ่ม 3,300 ล้านบาทต่อปี ใน 3 ปี

และโครงการ MissionX-Operational Excellence ที่มีนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดต้นทุน โดยมีการตั้งเป้าให้สามารถเพิ่ม EBITDA ได้ภายในปี 2569

ระยะกลาง PTT จะทำการ Reshape P&R Portfolio และเดินหน้าพัฒนา  LNG Hub เพื่อเสริมความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ

ในระยะยาว เป็นการดำเนินการเพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานยั่งยืน โดยจะมีการลงทุนในพัฒนาเทคโนโลยีการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) และพลังงานไฮโดรเจร

สำหรับธุรกิจปิโตรเคมีนั้น บริษัทฯ มีการเจรจากับพันธมิตรหลายราย และมีแนวโน้มที่ดี ในขณะที่ธุรกิจสำรวจและผลิตทรัพยากรธรรมชาตินั้น ยังมีความต้องการในการแสวงหาพันธมิตรมาร่วมลงทุนในโครงการต่าง ๆ ที่ใช้งบประมาณสูง

สำหรับธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นนั้น อยู่ในระหว่างการแสวงหาพันธมิตรเพื่อการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก เพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยในเวลานี้กำลังเจรจากับหลายรายซึ่งรวมไปถึงจีน และตะวันออกกลาง ซึ่งจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้

ทั้งนี้ PTT กลับมาดำเนินการตามกลยุทธ์ใหม่ ที่มุ่งเน้นที่ธุรกิจ Hydrocarbon ซึ่งเป็นความถนัดและเชี่ยวชาญของ PTT อีกทั้งยังมุ่งเน้นให้กลุ่มบริษัทในเครือ สร้างความเข้มแข็งจากภายใน ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน บริหารต้นทุนด้วยการทำ Operational Excellence โดยอาศัยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล

เนื่องจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งนั้น มาจากการบริหารจัดการและรวมพลังในองค์กร และบริษัทมีกำไรจากธุรกิจต้นน้ำ (Upstream) เป็นหลัก ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายภาครัฐในธุรกิจปลายน้ำ (Downstream) ที่ได้รับแรงกดดันจากปัจจัยด้านราคา

แต่สิ่งสำคัญคือการบริหารต้นทุน, การควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของทั้งกลุ่ม ปตท., การบริหารรายการพิเศษ และบริหารผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและเงินกู้

สำหรับในปี 2568 นี้ บริษัทฯ วางงบลงทุน วงเงิน 25,000 ล้านบาท โดยเน้นที่ธุรกิจก๊าซ และโครงสร้างพื้นฐานสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติ ในขณะที่บางส่วนจัดสรรงบให้กับธุรกิจ Trading

ทั้งนี้ บริษัทยังคงมุ่งมั่นกับการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน สร้างการเติบโตควบคู่กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านการสร้างความแข็งแรงภายในองค์กร ลดความเสี่ยง รักษาเสถียรภาพให้กับธุรกิจ พิจารณาการลงทุนด้วยความระมัดระวัง พร้อมดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนอย่างสมดุล พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน

ด้าน นายรัฐกร กัมปนาทแสนยากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ความยั่งยืนองค์กร PTT กล่าวว่า บริษัทฯ จะพยายามรักษาระดับการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงต่อไป

ซึ่งตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา PTT ปันผลปีละ 2 ครั้ง โดยในช่วงปี 2564 – 2566 PTT จ่ายเงินปันผลที่ระดับ 2 บาทต่อหุ้น แต่ในปี 2567 มีการปันผลที่ระดับ 2.1 บาทต่อหุ้น ซึ่งถือเป็นนิวไฮของบริษัท

โดยบริษัทฯ มีนโยบายที่จะจ่ายเงินปันผล ไม่น้อยกว่า 25% ของกำไรสุทธิที่เหลือหลังหักเงินสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทที่กฎหมายและบริษัทได้กำหนดไว้ โดยพิจารณาจากกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมของบริษัท


https://www.facebook.com/share/p/15WBpcpJor/?mibextid=wwXIfr

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่