เกลียดตัว-ทัวร์ลง-ธุรกิจเจ๊ง-หุ้นตก : โลกในมุมมองของ Value Investor โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

สำหรับนักลงทุนแนว VI รวมถึงผมเองนั้น นอกเหนือจากความรู้เรื่อง “จิตวิทยา” การลงทุนหรือจิตวิทยาสังคมอื่น ๆ ที่ได้ศึกษาร่ำเรียนมานั้น ถึงวันนี้คงต้อง “อัพเดท” ความรู้ใหม่อีกข้อหนึ่งที่ผมคิดว่าสำคัญและจะสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกที่ข้อมูลข่าวสารกระจายไปรวดเร็วทั่วโลกผ่านเครือข่ายสื่อสังคมดิจิทัลซึ่งสามารถ “สร้างกระแส” หรือกระตุ้นความรู้สึกหรือความคิดของคนให้รุนแรงขึ้นมากจนทำให้เกิดการตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่อาจจะกระทบกับการลงทุนของเราทั้งในทางที่ดีและร้าย แต่ในบทความนี้ผมจะพูดในทางที่ร้ายเป็นหลัก เพราะผลกระทบมันแรงเนื่องจากคนจะตอบสนองกับเรื่องที่ร้ายมากกว่าดี

ประเด็นที่จะพูดก็คือเรื่องของ “Hate Speech” หรือคำพูดที่โจมตี ใส่ร้าย คนอื่นหรือกลุ่มคนอื่นในประเด็นสารพัดทั้งทางร่ายกาย จิตใจ ความคิด เชื้อชาติ ไม่ว่าสิ่งที่พูดหรือเขียนในสื่อนั้นจะจริงหรือถูกต้องหรือไม่ หรือเป็นการพูดที่อคติหรือเป็นเรื่องของการอิจฉาริษยาหรือไม่ โดยในเวอร์ชั่นของไทยซึ่งเรารู้จักกันดีก็คือ ปรากฎการณ์ที่เรียกว่า “ทัวร์ลง” นั่นก็คือ มีคอมเม้นต์จำนวนมากมายที่ด่าว่าคนบางคนที่พวกเขา “เกลียด” ไม่เห็นชอบกับสิ่งที่เจ้าตัวทำหรือแสดงความคิดเห็น บ่อยครั้งพวกเขาก็จะเรียกร้องให้ “แอนตี้” กิจกรรมหรือกิจการที่เจ้าตัวทำอยู่

ในกรณีที่รุนแรง ผลกระทบกับเจ้าตัวก็จะหนักจนแทบ “หายนะ” ตัวอย่างเช่น หากเจ้าตัวเป็น “ดารา” ที่ต้องอาศัยลูกค้าที่เป็น “คนดู” จำนวนมาก คนจำนวนหนึ่งซึ่งบางทีก็อาจจะมากที่ “เกลียด” เขาก็จะไม่ดูและเลิกดู ผู้สร้างภาพยนต์ก็กลัวว่าหนังจะไม่ได้รับการยอมรับเพราะมีดาราคนนั้นก็จะเลิกจ้าง บริษัทที่ต้องการโฆษณาก็จะไม่จ้างดาราที่ถูกคนจำนวนมากแอนตี้แม้ว่าเจ้าตัวจะมีความสามารถและเหมาะสมกับงาน แต่บังเอิญไปทำให้คนเกลียดและแสดงออกผ่านสื่อสังคมที่กระจายออกไปอย่างกว้างขวาง

ตัวอย่างของธุรกิจหรือบริษัทเองนั้น ในกรณีของไทยก็มีปรากฎการณ์ “ทัวร์ลง” อยู่บ้าง แต่ก็มักจะไม่รุนแรงเท่ากับกรณีของบุคคลธรรมดา เหตุผลอาจจะเป็นเพราะมัน “ไม่มีตัวตน” หรือ “ชีวิต” ที่คนทั่ว ๆ ไปจะ “เกลียด” ได้มากเท่ากับคน แต่บางครั้งมันก็ส่งผลต่อธุรกิจได้บ้างโดยที่ผู้บริหารบริษัทอาจจะไม่รู้หรือไม่ยอมรับ

แต่เรื่องราวของอีลอน มัสก์และบริษัทเทสลาที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงนี้คงจะทำให้ความคิดเกี่ยวกับ “จิตวิทยาของความเกลียด” ในหมู่นักธุรกิจและนักลงทุนเปลี่ยนไปมาก และวันหนึ่งอาจจะเป็น “บทเรียน” ที่ถูกสอนในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดว่าทำไมบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกบริษัทหนึ่งประสบกับ “ภัยพิบัติ” จนเอาตัวแทบไม่รอดเนื่องจากความคิดและกิจกรรมของผู้บริหารที่ไม่ได้เกี่ยวกับงานของบริษัทเลย แต่เป็นสิ่งที่กระทบหรือทำร้ายจิตใจของลูกค้า “ทั่วโลก” ทำให้พวกเขา “เกลียด” และไม่ยอมซื้อหรือใช้สินค้าของเทสลาที่เขาเป็นเจ้าของและผู้บริหาร

คนในเน็ตหรือในสื่อสังคมที่มีความคิดแบบเสรีนิยมประชาธิปไตยที่ “รุนแรง” ที่ “เกลียดมัสก์” มากพอ เพราะเขาแสดงตัวเป็นฝ่าย “ขวาจัด” ตั้งแต่เริ่มเข้าไปช่วยเหลือประธานาธิบดีทรัมป์หาเสียงและเข้ามาเป็นทีมงานที่ขจัดความด้อยประสิทธิภาพของรัฐบาลโดยการปลดคนและข้าราชการออก ต่างก็เข้ามาคอมเม้นต์และด่าว่ามัสก์และชักชวนให้คนประท้วงโดยการไม่ซื้อรถเทสลา บางคนถึงขนาดทำลายหรือขายรถทิ้งในราคาขาดทุน สิ่งเหล่านี้ทำให้คนที่เห็นด้วยและมีความคิดรุนแรงซึ่งมีจำนวนมาก “เกลียด” มัสก์และเทสลาที่เป็นตัวแทนที่พวกเขาจะแก้แค้นและทำลายได้

ยอดขายรถเทสลาในเยอรมันซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ตกลงมาถึง 76% เทียบกับปีก่อน เช่นเดียวกับยอดขายในยุโรปอื่น ๆ ที่ตกลงมาหลายสิบเปอร์เซ็นต์ และแม้แต่ในสหรัฐที่คนเลือกทรัมป์เป็นประธานาธิบดี ยอดขายรถเทสลาก็ตกลงมาติดต่อกัน 2 เดือนแล้ว ดังนั้น กำไรของบริษัทเทสลาคงจะลดลงมากในช่วงต่อไป คนคงมีความรู้สึกว่า ความเกลียดนั้นมีมากกว่าการที่จะได้รถที่ดีขึ้นจากการซื้อรถเทสลา สุภาษิตไทยที่ว่า “เกลียดตัว กินไข่” นั้นใช้ไม่ได้ ในกรณีนี้ต้องเป็น “เกลียดมัสก์-ไม่ซื้อรถเทสลา”

ราคาหุ้นเทสลาเองก็ถูกขาย นอกจากเกลียดมัสก์แล้ว ยังเกลียดหุ้นเทสลาด้วย แต่คนที่ขายหุ้นเทสลานั้นมักจะเป็นนักลงทุนที่ “ไม่ลำเอียง” พวกเขาอาจจะไม่ได้ขายหุ้นเพราะเกลียดมัสก์ หลายคนอาจจะเชียร์มัสก์เพราะเขาโปร์หรือสนับสนุนธุรกิจและตลาดหุ้น แต่ที่ขายก็เพราะกำไรบริษัทเทสลาตกหนักและพื้นฐานอาจจะเปลี่ยนไปด้วย เพราะคนเกลียดและเกลียดแรง มีมากเกินไป ในขณะที่รถคู่แข่งก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น เลิกใช้รถเทสลาดีกว่า

ราคาหุ้นเทสลาตกจากช่วงพีกในเดือนธันวาคมปี 2024 กว่า 40% และนับจากต้นปีนี้ก็ตกลงมาประมาณ 30% ในขณะที่ดัชนี NASDAQ 100 ลดลงเพียง 5-6% และดัชนี S&P 500 ลดลงแค่ 1-2% แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คนน่าจะ “เกลียด” มัสก์ และคอมเม้นต์ในสื่อสังคมเป็นลักษณะ “ทัวร์ลง” ทำให้คนลดการซื้อรถเทสลาซึ่งทำให้ธุรกิจ “เจ๊ง” กำไรของบริษัทลดลงอย่างแรง ซึ่งทำให้นักลงทุนขายหุ้นอย่างแรงซึ่งทำให้ “หุ้นตก” ลงไปมาก

หุ้น “ระดับโลก” อีกตัวหนึ่งที่มีอาการ คน “เกลียด” “ทัวร์ลง” ธุรกิจ “เจ๊ง” และ “หุ้นตก” แต่ในระดับที่อ่อนกว่าเทสลามาก อาจจะพูดได้ว่า คนไม่ได้ถึงกับเกลียดแต่อาจจะ “อิจฉาริษยา” แต่ทัวร์ก็ลง แต่อาจจะเฉพาะใน “กลุ่มคนพิเศษเฉพาะกลุ่มหนึ่งที่สำคัญ” ทำให้ธุรกิจไม่ถึงกับเจ๊ง แต่ก็ถดถอยลงบ้างจากที่ดีเลิศ และสุดท้ายก็คือหุ้น ที่ไม่ถึงกับหายนะแต่ก็หนักเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกันที่ไม่ได้มีปัญหา

และนั่นก็คือหุ้น LVMH เจ้าของสินค้าหรูหลุยส์วิตตองที่เริ่มปรากฏข่าวที่เชื่อถือได้เมื่อซักประมาณ 1 ปี มาแล้วว่าลูกเจ้าของบริษัทเป็นแฟนกับนักร้อง K-Pop ระดับซุปตาร์ของโลก เรื่องนี้คงไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยเพราะทั้งคู่ต่างก็มีสถานะที่โดดเด่นในระดับโลกอยู่แล้ว

แต่ปัญหาอาจจะอยู่ที่ว่านักร้องคนนั้นเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ของหลุยส์อยู่แล้วและก็ทำโฆษณาให้กับสินค้าของหลุยส์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็มีส่วนทำให้กลุ่ม “แฟนคลับ” ของตนเองซื้อสินค้าหลุยส์เพิ่มขึ้นมากมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนี่ก็ยังไม่มีปัญหาอะไร ว่าที่จริงแฟนคลับอาจจะซื้อสินค้าหลุยส์เพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้คนอาจจะคิดว่าไอดอลของตนเองกำลังจะกลายเป็นเจ้าของสินค้าด้วยซ้ำ ดังนั้น ก็ต้องช่วยกันอุดหนุนเพิ่มขึ้นไปอีก

ถึงจุดนี้ ชื่อเสียงของนักร้องยิ่งโดดเด่นขึ้นไปอีก และก็ได้ออกงานหรือมีงานประชาสัมพันธ์สินค้าในเครือข่ายของหลุยส์เพิ่มขึ้นมาก รวมถึงงานอิเว้นท์ต่าง ๆ ที่หลุยส์เป็นสปอนเซอร์ เช่น งานแข่งขันกีฬาดัง งานเกี่ยวกับรถยนต์ และงานในแวดวงบันเทิงระดับโลกต่าง ๆ

และนั่นก็อาจจะทำให้เกิดปัญหา โดยเฉพาะกับ “แฟนคลับของนักร้องและดารากลุ่มอื่น” ที่เคยซื้อสินค้าของหลุยส์เพราะนักร้องและดาราเหล่านั้นก็เป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ให้กับหลุยส์เหมือนกัน เพราะหลุยส์นั้นใหญ่มากหรือเรียกว่ายักษ์เลยก็ได้ในด้านของสินค้าแบรนด์หรู ว่าที่จริงนักร้องดังนั้นเป็นเพียงหนึ่งในคนดังจำนวนมากที่โฆษณาให้หลุยส์

แฟนคลับของนักร้องดาราดังแต่ละกลุ่มนั้น ว่ากันว่าต่างก็เชียร์ไอดอลของตนเอง และก็แข่งขันกับไอดอลของกลุ่มอื่น วิธีเชียร์ก็คือการช่วยอุดหนุนสินค้าที่ไอดอลตนเองเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ การซื้อสินค้าคือการสนับสนุนไอดอลของตนเองให้เด่นดังขึ้น

แฟนคลับกลุ่มอื่น ๆ นั้นเริ่มมองว่านักร้องดังที่ดังขึ้นมากและมีคนเชิญไปแสดงตัวนั้น เป็นเพราะได้รับอภิสิทธิ์จากหลุยส์มากกว่าที่จะเกิดจากความสามารถหรือความโดดเด่นของตนเอง พูดง่าย ๆ เขาคิดว่านักร้องดังนั้น “ไม่ได้มีอะไรดีกว่าไอดอลของตนเอง” ดังนั้น พวกเขาก็ไม่พอใจและบางคนก็อาจจะ “เกลียด” และเริ่มคอมเมนต์สารพัดเช่น “หน้าตาก็ไม่ดี” “เสียงใช้ไม่ได้” “ที่ได้ไปออกงานโชว์ตัวก็เพราะหลุยส์” กลายเป็น “ทัวร์ลง” ระดับโลก
หลายคนในหลายกลุ่มแฟนคลับคนอื่นอาจจะเริ่มประท้วง ไม่ซื้อสินค้าของหลุยส์ เพราะถ้าซื้อก็เท่ากับสนับสนุนนักร้องดังให้ดังขึ้นไปกว่าไอดอลของตนเอง สินค้าของหลุยส์มียอดขายลดลง และก็ไม่น่าจะลดลงเพราะภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยลงโดยเฉพาะที่จีน เพราะยอดขายสินค้าของคู่แข่งระดับเดียวกันอย่างแอร์เมสก็ยังเพิ่มขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ “ทัวร์ลง” เกี่ยวกับนักร้องดังที่จีนก็แรงเหมือนกัน แฟนคลับของดาราจีนคอมเม้นต์ว่า ทำไมไอดอลของตนเองถูกจัดให้ดูโดดเด่นน้อยกว่านักร้องดัง?

นอกจากธุรกิจที่ไม่ถึงระดับที่เรียกว่า “เจ๊ง” แต่ก็ “แย่” เช่นเดียวกัน หุ้น LVMH เองก็ “ตก” แม้ว่าจะไม่ถึงหายนะ มองย้อนหลังไปประมาณ 1 ปี หุ้นหลุยส์ตกลงไปถึงประมาณ 25% ในขณะที่หุ้นแอร์เมสเพิ่มขึ้น 9%

เรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับหลุยส์นั้น ยังไม่ชัดเจน 100% ว่าเป็นเรื่องของ “ความเกลียด” ของคนที่เป็นลูกค้าหรือมีศักยภาพเป็นลูกค้าของหลุยส์แบบเดียวกับกรณีของเทสลาหรือไม่ แต่ในฐานะของนักลงทุนแบบ VI เราก็ต้องระวัง เพราะถ้ามันเป็นจริงแล้วเราไม่เข้าใจเข้าไปลงทุน เราก็อาจจะเจ็บตัวได้ ว่าที่จริงหุ้นหลุยส์เองนั้น เป็นหุ้นระดับซุปเปอร์สต็อกที่ผมคิดจะซื้อเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมโดยเฉพาะในเรื่องของราคาที่มันย่อลง ตอนนี้ผมก็ต้องระวังประเด็นที่ผมไม่เคยคิดถึงมาก่อน

8 มี.ค 2568
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

https://board.thaivi.org/viewtopic.php?t=66346

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่