เคยไหมที่รู้สึกไม่เบื่อหน่ายก็เครียดจากการเรียนหรือทำงาน? บางครั้งก็รู้สึกง่วงและขาดแรงจูงใจในการทำงาน แต่บางครั้งก็กลับรู้สึกกดดันจนทำอะไรไม่ถูก อะไรเป็นสิ่งที่กระตุ้นทำให้เราประสบกับสภาวะแบบนั้นกันนะ?
Yerkes และ Dodson นักจิตวิทยาทั้งสองคนก็ได้เกิดความสงสัยเช่นนั้น จึงได้ทดลองตั้งสมมติฐานว่า ระดับความเข้มของสิ่งเร้าที่จะไปส่งผลต่อระดับความตื่นตัว (Arousal) อาจส่งผลต่อความสามารถในการเรียนรู้บางอย่าง นั่นทำให้ทั้งสองได้ลองทดลองสร้างกล่องโดยมีรูปแบบดังแผนภาพด้านล่าง
เมื่อสร้างเสร็จกล่องเสร็จแล้ว พวกเขาก็นำหนูหริ่งนาหางยาวมาฝึกเพื่อให้มันเรียนรู้การเลือกเดินผ่านช่องเดินสีขาวแทนช่องเดินสีดำ ด้วยการปล่อยกระแสไฟฟ้าเฉพาะในช่องเดินสีดำเพื่อลงโทษเมื่อหนูเดินผิด
ตัวแปรต้นที่นักจิตวิทยาเลือกใช้จะมีอยู่ 2 ตัว โดยที่ตัวแปรต้นแรกจะเป็นความเข้มของการกระตุ้นจากการถูกช็อตด้วยไฟฟ้า ในขณะที่ตัวแปรต้นที่สองจะเป็นความยากของโจทย์ ซึ่งมีตั้งแต่ระดับง่ายที่สีของช่องเดินระหว่างทั้งสองมีความเข้มที่แตกต่างกันชัดเจนแบบขาวกับดำ จนไปถึงระดับยากที่ความเข้มระหว่างสีของช่องเดินทั้งสองแทบไม่แตกต่างกัน
ตัวแปรตามที่นักจิตวิทยาต้องการคือ จำนวนรอบที่หนูต้องฝึกจนกว่าจะเรียนรู้ว่าการเดินผ่านช่องสีขาวเป็นสิ่งที่ถูกต้อง กล่าวคือถ้าจำนวนรอบที่หนูต้องใช้มีค่าต่ำลง นั่นหมายความว่าหนูจะสามารถเรียนรู้ในสถานการณ์นั้น ๆ ได้เร็วมากขึ้น หรือก็คือมีประสิทธิภาพในการเรียนรู้ที่สูงขึ้น
ผลการทดลองที่นักจิตวิทยาทั้งสองคนได้รู้ก็คือ โจทย์ที่ง่าย หนูจะสามารถเรียนรู้ได้ไวกว่าโจทย์ที่ยาก ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจเท่าใด แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ หนูจะมีแนวโน้มเรียนรู้ได้ไวที่สุดเมื่อการกระตุ้นจากการช็อตไฟฟ้านั้นต้องไม่ต่ำและไม่สูงจนเกินไป กล่าวคือถ้าหนูถูกกระตุ้นต่ำเกินไป หนูจะขาดแรงจูงใจที่จะเลือกช่องเดินที่ถูกต้อง แต่ถ้าหากการกระตุ้นนั้นสูงเกินไป หนูจะเครียดจนเรียนรู้ได้น้อยลง
นั่นจึงทำให้นักจิตวิทยาทั้งสอง ได้คิดกฎ Yerkes-Dodson ขึ้นมา เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความตื่นตัวที่ได้จากการกระตุ้น กับความเร็วในการเรียนรู้ ดังภาพข้างล่าง
นั่นทำให้พวกเราสามารถสรุปได้ว่า ถ้าหากการกระตุ้นมีปริมาณที่น้อยเกินไป จะเกิดความไม่ใส่ใจในการเรียนรู้ ส่งผลให้เรียนรู้ได้ช้า แต่ถ้าหากมีการกระตุ้นที่มากจนเกินไป จะเกิดความเครียดและความกดดัน ก็สามารถส่งผลให้เรียนรู้ได้ช้าลงเช่นนั้น ฉะนั้นปริมาณการกระตุ้นที่เหมาะสมที่สุดจะต้องพอดี
แล้วทีนี้เราจะสามารถนำกฎ Yerkes-Dodson มาใช้อย่างไรได้บ้าง? ถ้าหากเป็นเรื่องการเรียน อาทิ การฝึกภาษา เราควรตั้งเป้าหมายจำคำศัพท์วันละ 10 คำ เพื่อให้มีอะไรมาคอยกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวเพื่อใส่ใจในการฝึก แต่ก็ไม่ควรตั้งเป้าหมายที่หนักเกินกว่าตัวเราจะรับไหวแบบ จำคำศัพท์วันละ 1000 คำ เพื่อไม่ให้เครียดและกดดันเกินไปจนไม่มีกำลังใจเรียนรู้
ส่วนถ้าเเป็นเรื่องของการทำงาน อาจใช้วิธีกำหนด deadline เพื่อให้กระตุ้นให้ตัวเราไม่ผัดวันประกันพรุ่ง แต่ก็อย่าท้าทายตัวเองด้วยการกำหนด deadline ให้กระชั้นชิดจนตนเองต้องคิดเรื่องงานตลอดเวลา เป็นต้น
อ้างอิง:
Yerkes, R. M., & Dodson, J. D. (1908). The relation of strength of stimulus to rapidity of habit-formation. Journal of Comparative Neurology and Psychology, 18(5), 459–482. Retrieved from
ลิงก์นี้.
กฎ Yerkes-Dodson กับการใช้ชีวิต
Yerkes และ Dodson นักจิตวิทยาทั้งสองคนก็ได้เกิดความสงสัยเช่นนั้น จึงได้ทดลองตั้งสมมติฐานว่า ระดับความเข้มของสิ่งเร้าที่จะไปส่งผลต่อระดับความตื่นตัว (Arousal) อาจส่งผลต่อความสามารถในการเรียนรู้บางอย่าง นั่นทำให้ทั้งสองได้ลองทดลองสร้างกล่องโดยมีรูปแบบดังแผนภาพด้านล่าง
ตัวแปรต้นที่นักจิตวิทยาเลือกใช้จะมีอยู่ 2 ตัว โดยที่ตัวแปรต้นแรกจะเป็นความเข้มของการกระตุ้นจากการถูกช็อตด้วยไฟฟ้า ในขณะที่ตัวแปรต้นที่สองจะเป็นความยากของโจทย์ ซึ่งมีตั้งแต่ระดับง่ายที่สีของช่องเดินระหว่างทั้งสองมีความเข้มที่แตกต่างกันชัดเจนแบบขาวกับดำ จนไปถึงระดับยากที่ความเข้มระหว่างสีของช่องเดินทั้งสองแทบไม่แตกต่างกัน
ตัวแปรตามที่นักจิตวิทยาต้องการคือ จำนวนรอบที่หนูต้องฝึกจนกว่าจะเรียนรู้ว่าการเดินผ่านช่องสีขาวเป็นสิ่งที่ถูกต้อง กล่าวคือถ้าจำนวนรอบที่หนูต้องใช้มีค่าต่ำลง นั่นหมายความว่าหนูจะสามารถเรียนรู้ในสถานการณ์นั้น ๆ ได้เร็วมากขึ้น หรือก็คือมีประสิทธิภาพในการเรียนรู้ที่สูงขึ้น
ผลการทดลองที่นักจิตวิทยาทั้งสองคนได้รู้ก็คือ โจทย์ที่ง่าย หนูจะสามารถเรียนรู้ได้ไวกว่าโจทย์ที่ยาก ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจเท่าใด แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ หนูจะมีแนวโน้มเรียนรู้ได้ไวที่สุดเมื่อการกระตุ้นจากการช็อตไฟฟ้านั้นต้องไม่ต่ำและไม่สูงจนเกินไป กล่าวคือถ้าหนูถูกกระตุ้นต่ำเกินไป หนูจะขาดแรงจูงใจที่จะเลือกช่องเดินที่ถูกต้อง แต่ถ้าหากการกระตุ้นนั้นสูงเกินไป หนูจะเครียดจนเรียนรู้ได้น้อยลง
นั่นจึงทำให้นักจิตวิทยาทั้งสอง ได้คิดกฎ Yerkes-Dodson ขึ้นมา เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความตื่นตัวที่ได้จากการกระตุ้น กับความเร็วในการเรียนรู้ ดังภาพข้างล่าง
แล้วทีนี้เราจะสามารถนำกฎ Yerkes-Dodson มาใช้อย่างไรได้บ้าง? ถ้าหากเป็นเรื่องการเรียน อาทิ การฝึกภาษา เราควรตั้งเป้าหมายจำคำศัพท์วันละ 10 คำ เพื่อให้มีอะไรมาคอยกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวเพื่อใส่ใจในการฝึก แต่ก็ไม่ควรตั้งเป้าหมายที่หนักเกินกว่าตัวเราจะรับไหวแบบ จำคำศัพท์วันละ 1000 คำ เพื่อไม่ให้เครียดและกดดันเกินไปจนไม่มีกำลังใจเรียนรู้
ส่วนถ้าเเป็นเรื่องของการทำงาน อาจใช้วิธีกำหนด deadline เพื่อให้กระตุ้นให้ตัวเราไม่ผัดวันประกันพรุ่ง แต่ก็อย่าท้าทายตัวเองด้วยการกำหนด deadline ให้กระชั้นชิดจนตนเองต้องคิดเรื่องงานตลอดเวลา เป็นต้น
อ้างอิง:
Yerkes, R. M., & Dodson, J. D. (1908). The relation of strength of stimulus to rapidity of habit-formation. Journal of Comparative Neurology and Psychology, 18(5), 459–482. Retrieved from ลิงก์นี้.