การเปรียบเทียบ **โครงการคนละครึ่ง** กับ **โครงการแจกเงิน 10,000 บาท** ในแง่ของ **ตัวคูณทางเศรษฐกิจ (Economic Multiplier Effect)** และ **การช่วยเหลือคนส่วนใหญ่** เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ เพราะทั้งสองโครงการมีเป้าหมายและกลไกที่แตกต่างกัน ผมจะวิเคราะห์จากข้อมูลที่มีถึงวันที่ 5 มีนาคม 2568 และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้คำตอบที่ชัดเจนและสมเหตุสมผล ดังนี้:
---
### 1. **ตัวคูณทางเศรษฐกิจ (Multiplier Effect)**
ตัวคูณทางเศรษฐกิจวัดว่าเงินที่รัฐลงทุนไป 1 บาท สามารถสร้างการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้กี่บาท โดยขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้รับเงินและการออกแบบโครงการ
โครงการคนละครึ่ง
- **กลไก**: รัฐออกเงินครึ่งหนึ่ง (สูงสุด 150 บาท/วัน) ให้ประชาชนใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กที่เข้าร่วมโครงการ ประชาชนต้องจ่ายครึ่งหนึ่งเอง ตัวอย่างเช่น ระยะที่ 4 (2565) รัฐให้วงเงิน 1,200 บาท/คน รวมงบประมาณราว 40,000 ล้านบาท
- **ผลกระทบ**:
- จากงานวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (bangkokbiznews.com, 2 มี.ค. 2568) ระบุว่า ทุก 1 บาทที่รัฐลงทุน สร้างการบริโภคใหม่เพียง **0.4 บาท** เพราะผู้บริโภคมักลดการใช้จ่ายนอกโครงการลง 41% (เปลี่ยนที่จ่าย แทนที่จะจ่ายเพิ่ม)
- อย่างไรก็ตาม โครงการนี้หมุนเงินในระบบได้สูงถึง **1.8-2 เท่า** เมื่อดูการหมุนเวียนรวม (จากโพสต์ใน X @hatenoisy, 27 ก.ย. 2567) เช่น ระยะแรก (2563) ใช้เงิน 30,000 ล้านบาท แต่สร้างเงินหมุนเวียนได้ 55,000 ล้านบาท
- **ตัวคูณ**: ประมาณ **1.8-2** (รวมการใช้จ่ายของประชาชนและรัฐ) แต่ตัวคูณจากการบริโภคใหม่ต่ำที่ 0.4
โครงการแจกเงิน 10,000 บาท
- **กลไก**: รัฐแจกเงินสด 10,000 บาทให้กลุ่มเป้าหมาย (เช่น กลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคนในเฟส 1) โดยไม่มีเงื่อนไขบังคับใช้จ่ายทันที งบประมาณเฟส 1 ราว 145,000 ล้านบาท
- **ผลกระทบ**:
- KKP Research (thestandard.co, 5 ก.พ. 2568) ระบุว่า ตัวคูณจากการแจกเงินเฟส 1 อยู่ที่ **0.7 เท่า** โดยเงินที่ใช้บริโภคใหม่คิดเป็นไม่ถึง 10% (ส่วนใหญ่ถูกเก็บออมหรือใช้หนี้)
- IMF และสำนักงานงบประมาณรัฐสภาไทยประเมินตัวคูณจากการโอนเงินให้ประชาชนทั่วไปอยู่ที่ **0.3-1.2** โดยประเทศไทยมักต่ำ (KKP คาด 0.4, สำนักงบประมาณ 0.947)
- การสำรวจสำนักงานสถิติแห่งชาติ (policywatch.thaipbs.or.th, 20 พ.ย. 2567) ชี้ว่า เฉลี่ย 68% ใช้จ่ายกับร้านเล็ก และ 82% ใช้หมดใน 3 เดือน แต่ไม่สร้างการบริโภคใหม่มากนัก
- **ตัวคูณ**: ประมาณ **0.7-1** (ขึ้นกับพฤติกรรมการใช้จ่าย)
**เปรียบเทียบ**:
- **คนละครึ่ง** มีตัวคูณสูงกว่า (**1.8-2**) เพราะบังคับให้ใช้จ่ายทันที และกระตุ้นให้ประชาชนควักเงินเพิ่ม ทำให้เงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น
- **แจกเงิน 10,000 บาท** มีตัวคูณต่ำกว่า (**0.7-1**) เพราะเงินบางส่วนถูกเก็บออมหรือใช้หนี้ แทนที่จะหมุนในเศรษฐกิจทันที
**สรุป**: **คนละครึ่งกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าในแง่ตัวคูณ** เพราะออกแบบให้เงินหมุนเวียนในร้านค้าท้องถิ่นโดยตรง
---
### 2. **การช่วยเหลือคนส่วนใหญ่**
การช่วยเหลือคนส่วนใหญ่ วัดจากจำนวนผู้ได้รับประโยชน์และผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน
#### **โครงการคนละครึ่ง**
- **จำนวนผู้รับ**:
- ระยะที่ 1-3 (2563-2564) มีผู้ได้สิทธิ์ราว **26 ล้านคน** (จากโพสต์ X @hatenoisy) และระยะที่ 4 (2565) มีผู้ได้สิทธิ์ 27.98 ล้านคน (library.parliament.go.th)
- รวมแล้วครอบคลุมเกือบครึ่งของประชากรไทย (66 ล้านคน)
- **ผลกระทบ**:
- ช่วยลดภาระค่าครองชีพสำหรับผู้บริโภคที่ซื้อของในชีวิตประจำวัน (เช่น อาหาร)
- ร้านค้าขนาดเล็กมียอดขายเพิ่มขึ้น 174% และขยายฐานลูกค้าใหม่ (bangkokbiznews.com) โดยเฉพาะร้านระดับเล็กสุด (ยอดขาย ≤ 500 บาท/สัปดาห์) เพิ่มถึง 407%
- แต่ช่วยเฉพาะคนที่ใช้จ่ายอยู่แล้ว ไม่ได้ช่วยกลุ่มที่ไม่มีเงินควักเพิ่ม
#### **โครงการแจกเงิน 10,000 บาท**
- **จำนวนผู้รับ**:
- เฟส 1 (2567) แจกให้กลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน (บัตรสวัสดิการ 13.5 ล้าน + คนพิการ 1 ล้าน)
- เฟส 2 (ม.ค. 2568) แจกผู้สูงอายุ 3-4 ล้านคน
- เฟส 3 (เม.ย. 2568) คาดแจกกลุ่มอายุ 16-60 ปี อีก 30 ล้านคน รวมแล้วอาจถึง **45-50 ล้านคน** (thaipbs.or.th, 30 ม.ค. 2568)
- **ผลกระทบ**:
- ช่วยกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุโดยตรง ลดภาระค่าครองชีพ และลดความเหลื่อมล้ำ (Gini Coefficient ลดลง 2-3 ปีตาม themomentum.co, 19 ก.พ. 2568)
- ผู้รับเงินสามารถใช้จ่ายได้อิสระ (เช่น ซื้อของจำเป็น, จ่ายหนี้) ซึ่งช่วยคนที่ไม่มีเงินสำรองได้มากกว่า
- แต่เงินอาจไม่หมุนกลับสู่ร้านค้าท้องถิ่นทั้งหมด เพราะบางส่วนถูกเก็บออม
#### **เปรียบเทียบ**:
- **คนละครึ่ง**: ช่วยคนจำนวนมาก (**26-28 ล้านคน**) แต่เน้นคนที่มีกำลังซื้ออยู่แล้ว และช่วยร้านค้าท้องถิ่นเป็นหลัก
- **แจกเงิน 10,000 บาท**: มีศักยภาพช่วยคนได้มากกว่า (**45-50 ล้านคน** หากครบ 3 เฟส) โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ขาดสภาพคล่อง
**สรุป**: **แจกเงิน 10,000 บาทช่วยคนส่วนใหญ่ได้มากกว่า** เพราะครอบคลุมประชากรในวงกว้างและเจาะจงกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือ
---
### บทสรุป
- **ตัวคูณทางเศรษฐกิจ**: **คนละครึ่ง** กระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่า (ตัวคูณ 1.8-2) เพราะบังคับใช้จ่ายและสร้างการหมุนเวียนทันที ส่วน **แจกเงิน 10,000 บาท** มีตัวคูณต่ำกว่า (0.7-1) เนื่องจากเงินบางส่วนไม่หมุนในระบบ
- **การช่วยคนส่วนใหญ่**: **แจกเงิน 10,000 บาท** ช่วยคนได้มากกว่าในแง่จำนวนและการเข้าถึงกลุ่มเปราะบาง ส่วน **คนละครึ่ง** ช่วยคนที่มีกำลังซื้อและร้านค้าท้องถิ่น
#### ความเห็นเพิ่มเติม
- **คนละครึ่ง** เหมาะกับการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นช่วงวิกฤต (เช่น โควิด) เพราะเงินหมุนเร็วและเจาะจงร้านเล็ก
- **แจกเงิน 10,000 บาท** เหมาะกับการลดความเหลื่อมล้ำและช่วยเหลือฉุกเฉิน แต่ถ้าต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ควรมีเงื่อนไขบังคับใช้จ่าย (เช่น ใช้ใน 3 เดือน)
!
AI ตอบชัด โครงการคนละครึ่งกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากกว่า(X1.8-2)แต่การแจกเงินหมื่นช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้มากกว่า
---
### 1. **ตัวคูณทางเศรษฐกิจ (Multiplier Effect)**
ตัวคูณทางเศรษฐกิจวัดว่าเงินที่รัฐลงทุนไป 1 บาท สามารถสร้างการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้กี่บาท โดยขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้รับเงินและการออกแบบโครงการ
โครงการคนละครึ่ง
- **กลไก**: รัฐออกเงินครึ่งหนึ่ง (สูงสุด 150 บาท/วัน) ให้ประชาชนใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กที่เข้าร่วมโครงการ ประชาชนต้องจ่ายครึ่งหนึ่งเอง ตัวอย่างเช่น ระยะที่ 4 (2565) รัฐให้วงเงิน 1,200 บาท/คน รวมงบประมาณราว 40,000 ล้านบาท
- **ผลกระทบ**:
- จากงานวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (bangkokbiznews.com, 2 มี.ค. 2568) ระบุว่า ทุก 1 บาทที่รัฐลงทุน สร้างการบริโภคใหม่เพียง **0.4 บาท** เพราะผู้บริโภคมักลดการใช้จ่ายนอกโครงการลง 41% (เปลี่ยนที่จ่าย แทนที่จะจ่ายเพิ่ม)
- อย่างไรก็ตาม โครงการนี้หมุนเงินในระบบได้สูงถึง **1.8-2 เท่า** เมื่อดูการหมุนเวียนรวม (จากโพสต์ใน X @hatenoisy, 27 ก.ย. 2567) เช่น ระยะแรก (2563) ใช้เงิน 30,000 ล้านบาท แต่สร้างเงินหมุนเวียนได้ 55,000 ล้านบาท
- **ตัวคูณ**: ประมาณ **1.8-2** (รวมการใช้จ่ายของประชาชนและรัฐ) แต่ตัวคูณจากการบริโภคใหม่ต่ำที่ 0.4
โครงการแจกเงิน 10,000 บาท
- **กลไก**: รัฐแจกเงินสด 10,000 บาทให้กลุ่มเป้าหมาย (เช่น กลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคนในเฟส 1) โดยไม่มีเงื่อนไขบังคับใช้จ่ายทันที งบประมาณเฟส 1 ราว 145,000 ล้านบาท
- **ผลกระทบ**:
- KKP Research (thestandard.co, 5 ก.พ. 2568) ระบุว่า ตัวคูณจากการแจกเงินเฟส 1 อยู่ที่ **0.7 เท่า** โดยเงินที่ใช้บริโภคใหม่คิดเป็นไม่ถึง 10% (ส่วนใหญ่ถูกเก็บออมหรือใช้หนี้)
- IMF และสำนักงานงบประมาณรัฐสภาไทยประเมินตัวคูณจากการโอนเงินให้ประชาชนทั่วไปอยู่ที่ **0.3-1.2** โดยประเทศไทยมักต่ำ (KKP คาด 0.4, สำนักงบประมาณ 0.947)
- การสำรวจสำนักงานสถิติแห่งชาติ (policywatch.thaipbs.or.th, 20 พ.ย. 2567) ชี้ว่า เฉลี่ย 68% ใช้จ่ายกับร้านเล็ก และ 82% ใช้หมดใน 3 เดือน แต่ไม่สร้างการบริโภคใหม่มากนัก
- **ตัวคูณ**: ประมาณ **0.7-1** (ขึ้นกับพฤติกรรมการใช้จ่าย)
**เปรียบเทียบ**:
- **คนละครึ่ง** มีตัวคูณสูงกว่า (**1.8-2**) เพราะบังคับให้ใช้จ่ายทันที และกระตุ้นให้ประชาชนควักเงินเพิ่ม ทำให้เงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น
- **แจกเงิน 10,000 บาท** มีตัวคูณต่ำกว่า (**0.7-1**) เพราะเงินบางส่วนถูกเก็บออมหรือใช้หนี้ แทนที่จะหมุนในเศรษฐกิจทันที
**สรุป**: **คนละครึ่งกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าในแง่ตัวคูณ** เพราะออกแบบให้เงินหมุนเวียนในร้านค้าท้องถิ่นโดยตรง
---
### 2. **การช่วยเหลือคนส่วนใหญ่**
การช่วยเหลือคนส่วนใหญ่ วัดจากจำนวนผู้ได้รับประโยชน์และผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน
#### **โครงการคนละครึ่ง**
- **จำนวนผู้รับ**:
- ระยะที่ 1-3 (2563-2564) มีผู้ได้สิทธิ์ราว **26 ล้านคน** (จากโพสต์ X @hatenoisy) และระยะที่ 4 (2565) มีผู้ได้สิทธิ์ 27.98 ล้านคน (library.parliament.go.th)
- รวมแล้วครอบคลุมเกือบครึ่งของประชากรไทย (66 ล้านคน)
- **ผลกระทบ**:
- ช่วยลดภาระค่าครองชีพสำหรับผู้บริโภคที่ซื้อของในชีวิตประจำวัน (เช่น อาหาร)
- ร้านค้าขนาดเล็กมียอดขายเพิ่มขึ้น 174% และขยายฐานลูกค้าใหม่ (bangkokbiznews.com) โดยเฉพาะร้านระดับเล็กสุด (ยอดขาย ≤ 500 บาท/สัปดาห์) เพิ่มถึง 407%
- แต่ช่วยเฉพาะคนที่ใช้จ่ายอยู่แล้ว ไม่ได้ช่วยกลุ่มที่ไม่มีเงินควักเพิ่ม
#### **โครงการแจกเงิน 10,000 บาท**
- **จำนวนผู้รับ**:
- เฟส 1 (2567) แจกให้กลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน (บัตรสวัสดิการ 13.5 ล้าน + คนพิการ 1 ล้าน)
- เฟส 2 (ม.ค. 2568) แจกผู้สูงอายุ 3-4 ล้านคน
- เฟส 3 (เม.ย. 2568) คาดแจกกลุ่มอายุ 16-60 ปี อีก 30 ล้านคน รวมแล้วอาจถึง **45-50 ล้านคน** (thaipbs.or.th, 30 ม.ค. 2568)
- **ผลกระทบ**:
- ช่วยกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุโดยตรง ลดภาระค่าครองชีพ และลดความเหลื่อมล้ำ (Gini Coefficient ลดลง 2-3 ปีตาม themomentum.co, 19 ก.พ. 2568)
- ผู้รับเงินสามารถใช้จ่ายได้อิสระ (เช่น ซื้อของจำเป็น, จ่ายหนี้) ซึ่งช่วยคนที่ไม่มีเงินสำรองได้มากกว่า
- แต่เงินอาจไม่หมุนกลับสู่ร้านค้าท้องถิ่นทั้งหมด เพราะบางส่วนถูกเก็บออม
#### **เปรียบเทียบ**:
- **คนละครึ่ง**: ช่วยคนจำนวนมาก (**26-28 ล้านคน**) แต่เน้นคนที่มีกำลังซื้ออยู่แล้ว และช่วยร้านค้าท้องถิ่นเป็นหลัก
- **แจกเงิน 10,000 บาท**: มีศักยภาพช่วยคนได้มากกว่า (**45-50 ล้านคน** หากครบ 3 เฟส) โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ขาดสภาพคล่อง
**สรุป**: **แจกเงิน 10,000 บาทช่วยคนส่วนใหญ่ได้มากกว่า** เพราะครอบคลุมประชากรในวงกว้างและเจาะจงกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือ
---
### บทสรุป
- **ตัวคูณทางเศรษฐกิจ**: **คนละครึ่ง** กระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่า (ตัวคูณ 1.8-2) เพราะบังคับใช้จ่ายและสร้างการหมุนเวียนทันที ส่วน **แจกเงิน 10,000 บาท** มีตัวคูณต่ำกว่า (0.7-1) เนื่องจากเงินบางส่วนไม่หมุนในระบบ
- **การช่วยคนส่วนใหญ่**: **แจกเงิน 10,000 บาท** ช่วยคนได้มากกว่าในแง่จำนวนและการเข้าถึงกลุ่มเปราะบาง ส่วน **คนละครึ่ง** ช่วยคนที่มีกำลังซื้อและร้านค้าท้องถิ่น
#### ความเห็นเพิ่มเติม
- **คนละครึ่ง** เหมาะกับการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นช่วงวิกฤต (เช่น โควิด) เพราะเงินหมุนเร็วและเจาะจงร้านเล็ก
- **แจกเงิน 10,000 บาท** เหมาะกับการลดความเหลื่อมล้ำและช่วยเหลือฉุกเฉิน แต่ถ้าต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ควรมีเงื่อนไขบังคับใช้จ่าย (เช่น ใช้ใน 3 เดือน)
!