JJNY : ชาวนาพิจิตรปักหลักทำเนียบ│ถึงคิว‘กะทิกล่อง’ ขึ้นราคา│ศาลยังไม่ชี้ขาดความผิด│ทรัมป์ระงับความช่วยเหลือทางทหารยูเครน

ชาวนาพิจิตรกว่า 300 คน มุ่งหน้าเข้ากรุง รวมอีก 12 จังหวัด ปักหลักทำเนียบ ร้อง รบ.แก้ปัญหาข้าวราคาตกต่ำ
https://www.matichon.co.th/region/news_5075234
 
 
ชาวนาพิจิตรกว่า 300 คน มุ่งหน้าเข้ากรุง ร่วมอีก 12 จังหวัด ปักหลักทำเนียบ ร้อง รบ.แก้ปัญหาข้าวราคาตกต่ำ

เมื่อเวลา 23.30 นวันที่ 3 มีนาคม มีกลุ่มเกษตรกร ชาวนาจาก 12 อำเภอ ในจังหวัดพิจิตร ได้เริ่มทยอยกันไปรวมตัวที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง บริเวณสี่แยกโพธิ์ไทรงาม อำเภอบึงนาราง จังหวัดพิจิตร โดยมีการเดินทางโดยรถส่วนตัว ทั้งใช้รถกระบะ และมีการเหมารถตู้  กว่า 300 คน เพื่อเดินทางไปที่ทำเนียบรัฐบาล ร่วมกับ อีก 12 จังหวัด ที่อยู่ภาคกลางและภาคเหนือตอนบน เพื่อยื่นข้อเสนอให้กับนายกรัฐมนตรีช่วยเหลือราคาข้าที่ตกต่ำเหลือเพียง 3,000-6,000บาทในขณะนี้
 
โดยชาวนาได้มีการเตรียมเสบียง ทั้งข้าวสารอาหารแห้ง รวมถึงเรี่ยไรเงิน เพื่อเป็นค่าพาหนะในการเดินทางในครั้งนี้ โดยมีชาวนา ที่ไม่ได้เดินทางไปด้วย ก็นำทั้งเงินสด และอาหารมามอบให้กับตัวแทนชาวนาที่เดินทางไปในครั้งนี้ด้วย
 
นายนายศรัญพงศ์ จันทร์บัว ชาวนาจาก ต.ดงป่าคำ อ.เมือง จ.พิจิตร ชาวนาที่เดินทางไปครั้งนี้ เปิดเผยว่า อยากเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือเนื่องจากต้นทุน การทำนาต่อไร่ใช้เงินกว่า 6,000 บาท แต่ขายข้าวได้ไม่ถูก 6,000 ทำให้ไม่มีเงินเหลือที่จะส่งลูกเรียน ส่งหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) และค่าเช่านา
 
ในขณะที่นายจักรถฤต บรรเจิดกิจ ตัวแทนชาวนา กล่าวว่า การเดินทางครั้งนี้มีการบริจาคทรัพย์ เพื่อใช้ในการเดินทาง สำหรับชาวนาที่ไม่ได้เดินทางไปพร้อมกับข้าวสารอาหารแห้ง จะมีชาวนาจากจังหวัดพิจิตร ไม่ต่ำกว่า 300 คน ไปรวมตัวกับชาวนาอีก 12 จังหวัดจากภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และชาวนาจากภาคกลาง ทยอยเดินทางแบบกองทัพมด เพื่อเข้ากรุงเทพ โดยคาดว่าจะมีชาวนาไม่ต่ำกว่า 3,500 คน โดยจะเป็นการเรียกร้องด้วยความสงบ สันติอหิงสา
 
สำหรับการเดินทางครั้งนี้ของชาวนา จะมีการเดินทางแบบกองทัพมด เพื่อหลีกเลี่ยงการกดดันจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นแบบในอดีต เช่น จับผู้ที่นั่งในกระบะรถ หรือนั่งในแคป และจะไม่มีการรวมตัวกันตามจังหวัดต่างๆที่ผ่าน เช่น นครสวรรค์ หรืออยุธยา แต่จะไปรวมตัวกันที่ทำเนียบรัฐบาล เพียงอย่างเดียวเท่านั้น


 
ถึงคิว ‘กะทิกล่อง’ ขึ้นราคา มี.ค. ผู้ผลิตทุกยี่ห้อ ปรับ2รอบ
https://www.matichon.co.th/economy/news_5074957
 
ถึงคิว ‘กะทิกล่อง’ ขึ้นราคา ‘โชห่วย’ เผยผู้ผลิตทุกยี่ห้อ แจ้งมี.ค.นี้ ปรับ 2 รอบ
 
วันที่ 3 มีนาคม นายมิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จำกัด ผู้ประกอบการค้าปลีกและค้าส่ง จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากผู้ผลิตและจำหน่ายกะทิสำเร็จรูป(กล่อง) ทุกยี่ห้อ จะปรับราคาขายกะทิกล่อง ขึ้น 2 ครั้ง ภายในเดือนมีนาคม 2568 นี้ แต่ยังไม่ระบุว่าจะปรับขึ้นอีกเท่าไหร่ สาเหตุคงจะเกิดจากแล้งที่ทำให้มะพร้าวที่ใช้ผลิตขาดแคลน
 
นายสมชาย พรรัตนเจริญ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย กล่าวว่า สาเหตุที่กะทิกล่องต้องปรับราคาขายขึ้นนั้น เนื่องจากมะพร้าวซึ่งเป็นวัตถุดิบใช้ผลิตขาดตลาด ในประเทศไม่มีขาย ต้องมีการนำเข้ามาจากต่างประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ เป็นต้น อย่างไรก็ดีในปัจจุบันทางผู้ผลิตได้มีการแบ่งโควต้าให้กับร้านค้าเพื่อเป็นการกระจายสินค้า ไม่ให้กระจุกตัว ทั้งนี้การปรับราคาขายในครั้งนี้ อาจจะส่งผลต่อราคาอาหารและขนมหวานที่ปรุงด้วยกะทิ สำหรับกะทิกล่องปัจจุบันมีจำหน่ายขนาด 1000 มล. 500 มล. และ250 มล.และหากมีการปรับราคาคงต้องปรับขึ้นทุกขนาด



ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ อนุญาตดำเนินคดีแบบกลุ่ม กรณีปลาหมอคางดำ แต่ยังไม่ชี้ขาดความผิด
https://www.matichon.co.th/economy/news_5075386

ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ อนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม กรณีปลาหมอคางดำ แต่ยังไม่ชี้ขาดความผิด
 
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 4 มีนาคม 2568 ศาลแพ่งกรุงเทพใต้มีคำสั่งอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม ในกรณีที่กลุ่มเกษตรกรยื่นฟ้อง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ โดยกลุ่มเกษตรกรกล่าวหาว่า การดำเนินธุรกิจของบริษัทส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและการประกอบอาชีพ อย่างไรก็ตาม คำสั่งนี้เป็นเพียงการรับรองให้คดีสามารถดำเนินไปในรูปแบบของคดีแบบกลุ่มเท่านั้น ยังไม่ได้เป็นการพิจารณาว่าซีพีเอฟมีความผิดตามข้อกล่าวหา
 
ทั้งนี้ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าคดีนี้มีประเด็นข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่เหมือนกันหรือคล้ายกันในกลุ่มผู้เสียหายจำนวนมาก อีกทั้งการดำเนินคดีแบบกลุ่มจะช่วยลดภาระให้กับศาลและผู้ฟ้องคดีที่อาจไม่มีทรัพยากรเพียงพอในการดำเนินคดีเป็นรายบุคคล ศาลจึงอนุญาตให้การฟ้องร้องดำเนินไปในลักษณะของคดีแบบกลุ่ม
 
อย่างไรก็ตาม คำสั่งนี้ไม่ได้หมายความว่าซีพีเอฟมีความผิดตามข้อกล่าวหา แต่เป็นเพียงการเปิดทางให้มีการพิจารณาคดีในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การตัดสินความผิดหรือความรับผิดของบริษัทจะต้องผ่านกระบวนการพิจารณาพยานหลักฐานในชั้นศาลต่อไป
ด้านผู้แทนของซีพีเอฟแจงหลังคำสั่งศาล ระบุว่า บริษัทดำเนินธุรกิจตามมาตรฐานและให้ความสำคัญกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมยืนยันว่า การดำเนินงานของบริษัทไม่ได้เป็นสาเหตุของปัญหาดังกล่าว โดยบริษัทจะอุทธรณ์ตามสิทธิที่มี และจะสู้คดีด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และข้อมูลเชิงประจักษ์ ตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่