ความจริงที่โหดร้าย-ความรู้สึกที่สิ้นหวัง : โลกในมุมมองของ Value Investor โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ครบ 2 เดือนของปี 2568 ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1204 จุดหรือตกลงไปประมาณ 14% ซึ่งก็เป็นตลาดหุ้นที่ “แย่ที่สุดในโลก” นับจากต้นปี ราคาของหุ้นจำนวนมาก รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่ที่สุดของตลาดตกลงมาแรงมาก บางตัวระดับหายนะแบบ “คอร์เนอร์แตก”

การตกลงมาของหุ้นนั้น ดูเหมือนจะไม่เลือกว่าเป็นหุ้นแบบไหน และบางทีก็ไม่รู้ว่ามาจากสาเหตุใดชัดเจน ตัวอย่างเช่น เรื่องของผลประกอบการซึ่งแน่นอนว่ามีผลต่อการขึ้นหรือลงของราคาหุ้น หุ้นที่ผลประกอบการตกต่ำลงมากนั้น ราคาก็มักจะ “ถล่ม” ทันที แต่หุ้นบางตัวที่มีผลประกอบการที่ดี บางทีดีมากจนน่าประทับใจ แต่หุ้นก็ยังตกลงไปอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อมีการประกาศผลประกอบการ

นั่นเป็น “ความจริงที่โหดร้าย” สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนโดยอิงกับพื้นฐานของกิจการรวมถึงเหล่า VI ที่ประเมินและคาดการณ์ผลการดำเนินการของบริษัท และมักจะจดจ้องกับการประกาศผลการดำเนินงานของบริษัททุกไตรมาศ ถ้าประกาศออกมาดีตอนปิดตลาด ปกติพวกเขาก็จะมีความสุขและนอนหลับสบายทั้งคืนและบางทีก็ฝันว่า “พรุ่งนี้หุ้นจะขึ้นไปกี่เปอร์เซ็นต์หนอ?”

แต่เมื่อตลาดเปิด สิ่งที่พบกลับกลายเป็นว่าราคาหุ้นร่วงลงไปแรง ทั้ง ๆ ที่ 2 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้นก็ทยอยตกลงมาเรื่อย ๆ อยู่แล้ว บางทีการประกาศผลประกอบการที่ดีอาจจะทำให้มีคนสนใจเข้ามาไล่ราคากันมาก และนั่นอาจจะเป็นโอกาสที่คนที่ “จ้องขายหุ้น” ตัวนั้นมาอย่างต่อเนื่อง ถือโอกาส “เทขาย” หุ้นจำนวนมากจนทำให้ราคาหุ้นตกลงไปทั้ง ๆ ที่ผลประกอบการดูดีหรือดีมากก็ได้

อาการของการที่หุ้นมีข่าวดี ไม่ว่าจะเป็นการประกาศผลประกอบการที่ดีหรือมีเรื่องราวดีดี หรือแม้แต่ข่าวในภาพใหญ่เช่น การประกาศลดดอกเบี้ยอ้างอิง แล้วตลาดหุ้นโดยรวมกลับตกลงไปนั้น ทำให้นักลงทุนจำนวนมากรู้สึก “เจ็บปวด” และ “สิ้นหวัง” เพราะเขาไม่รู้ว่าอะไรจะทำให้หุ้นเขาขึ้นได้ถ้าไม่ใช่ผลประกอบการหรือข่าวดีของเศรษฐกิจที่จะทำให้บริษัทดีขึ้นไปในอนาคต ในใจของเขานั้น คงมีคำถามที่เขาตอบไม่ได้ว่า “รออะไรอยู่?” หรือ “หวังอะไร?” จากการถือหุ้นลงทุน ควรจะขายหุ้นหรือซื้อหุ้นในช่วงแห่งความโหดร้ายหรือสิ้นหวังนี้?

แต่ก่อนที่จะตอบคำถามนั้น ผมอยากบรรยายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเร็ว ๆ นี้ก่อนเพื่อให้เราเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นและเราควรปฏิบัติหรือตอบสนองอย่างไรที่จะไม่ทำให้เราเสียหายจากสถานการของตลาดหุ้นที่กำลังอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ - จากการ “เก็งกำไร” อย่างรุนแรง เป็นการลงทุนแบบที่เรียกว่า “VI” จริง ๆ ที่เน้นการลงทุนระยะยาว ที่ไม่ได้สนใจเรื่องราวสั้น ๆ และแม้แต่ผลประกอบการสั้น ๆ แค่รายไตรมาศหรือแม้แต่รายปี

ประเด็นแรกก็คือ นโยบายรัฐที่มีการประกาศออกมาหรือที่คาดว่าจะมีมาตรการส่งเสริมตลาดหุ้นออกมานั้น แทบจะไม่ได้มีผลต่อตลาดหุ้น อุตสาหกรรมหรือตัวหุ้นเลย บางทีหรือบ่อยครั้งตลาดหุ้นก็ปรับตัวขึ้นพอสมควร เพราะนักลงทุน “มีความหวัง” ว่าโครงการจะแก้ปัญหาที่ทำให้หุ้นตกต่ำได้ แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันหรือแค่เดือนสองเดือน ตลาดก็มักจะตกลงไปที่เดิมหรือต่ำกว่าเดิม ยกตัวอย่างเช่น การตั้งกองทุนวายุภักดิ์เพื่อให้เข้ามาซื้อหุ้นเพื่อพยุงราคา เป็นต้น
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่นักธุรกิจและนักลงทุนเรียกร้องกันมากนั้น เคยทำมาแล้วเมื่อหลายเดือนก่อนและที่เพิ่งจะประกาศลดอีกครั้งเมื่อไม่กี่วันมานี้ ดูเหมือนว่าแทบไม่มีผลต่อราคาหรือดัชนีหุ้นเลย

จริงอยู่ หุ้นบางกลุ่มหรือบางตัวอาจจะได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ซึ่งก็ทำให้หุ้นบางกลุ่มขึ้นและบางกลุ่มลง โดยรวมแล้วก็อาจจะทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นไปได้บ้าง แต่ผ่านไปเพียง 2-3 วัน ดัชนีก็กลับมาที่เก่า แน่นอนว่าในภาคของเศรษฐกิจจริงก็คงมีผลอยู่บ้าง แต่ในตลาดหุ้นของไทยวันนี้ อัตราดอกเบี้ยที่ลงมาแค่นี้ ไม่มีทางที่จะไปคัดง้างประเด็นอื่น ๆ ที่ใหญ่กว่าได้

การประกาศกำไรรายไตรมาศหรือรายปีของบริษัทจดทะเบียนที่ดีหรือเลวร้ายนั้น แน่นอนว่าต้องมีผลต่อราคาหุ้นในทางทฤษฎี ว่าที่จริงคำว่า “กำไรเป็นพ่อของทุกสถาบัน” หรือเป็น “เจ้ามือตัวจริง” นั้น ในอดีตที่การเก็งกำไรในตลาดหุ้นสูงมาก และ/หรือมีการปั่นหุ้นโดยการคอร์เนอร์หุ้นจำนวนมาก กำไรที่ประกาศออกมาดีนั้น การันตีได้เลยว่าหุ้นจะต้อง “วิ่งระเบิด” โดยเฉพาะหุ้นที่เรียกว่าหุ้น Growth หรือหุ้นโตเร็วที่เป็นหุ้นยอดนิยมของนักลงทุนส่วนบุคคล
แต่ในช่วงแห่งการ “เปลี่ยนผ่าน” เมื่อเร็ว ๆ นี้ ตัวเลขและอัตราการเติบโตของกำไรอาจจะไม่มีความหมาย ต่อให้มีกำไรเพิ่มขึ้น 30% แต่ถ้าค่า PE ของหุ้นยังสูงลิ่วระดับเกิน 50-60 เท่าขึ้นไป หุ้นก็ตก เพราะนักลงทุนอาจจะมองว่าอนาคตกำไรคงจะเติบโตช้าลง อานิสงค์จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกหรือเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น ค่า PE ที่สูงในระดับนั้นก็จะต้องลดลง ซึ่งนั่นก็คือ ราคาหุ้นจะต้องตกลงมา กำไรที่เพิ่มขึ้น 30% ก็เอาไม่อยู่

ว่าที่จริง “หุ้นโตเร็ว” หลายตัวนั้น กำไรยังเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อาจจะประมาณไม่เกิน 10% จากปีก่อน แต่ราคาหุ้นกลับ “ทิ้งดิ่ง” แทบจะเป็นหายนะ เพราะค่า PE ที่สูงลิ่ว 40-50 นั้น นักลงทุนมองว่าอยู่ไม่ได้อีกต่อไป บริษัทเปลี่ยนไปแล้ว จากกิจการที่โตเร็ว กลายเป็นกิจการที่โตช้าหรืออิ่มตัว ค่า PE จะต้องปรับลงมาเหลือแค่อย่างมากก็ 20 เท่า เป็นต้น

หุ้นของกิจการที่อิงกับเทคโนโลยี หุ้นพลังงาน หรือหุ้นเกี่ยวกับสุขภาพรวมถึงหุ้นที่เกี่ยวกับความสวยงาม เป็นกลุ่มที่ได้รับความสนใจและได้คุณค่าสูงจากนักลงทุนที่ “ก้าวหน้า” มองไปถึงอนาคตที่สดใสของธุรกิจที่จะเติบโตเร็วขึ้น และที่ผ่านมาราคาหุ้นก็ปรับตัวขึ้นสะท้อนกับความสนใจนั้น เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผลประกอบการที่ผ่านมาก็เติบโตดีมาก อย่างไรก็ตาม หุ้นก็แพงขึ้นเรื่อย ๆ จนมีค่า PE เทียบเท่ากับบริษัท “ระดับโลก” ทั้ง ๆ ที่กิจการก็เพียงแค่เป็นผู้ผลิตหรือนำความรู้หรืออุปกรณ์ไฮเท็คเข้ามาใช้

นาทีนี้เมื่อทุกอย่างเริ่ม “เย็นลง” หุ้นเท็คระดับโลกก็ปรับตัวลงโดยธรรมชาติเมื่อความกระตือรือร้นเริ่มจางลง รวมถึงผลประกอบการที่ออกมาที่ไม่ได้โดดเด่นมากอย่างที่เคย นักลงทุนต่างก็ลดความเสี่ยงโดยการขายหุ้นที่อาจจะมีกำไรสูงลิ่ว พวกเขากลัวว่า “เดี๋ยวคอร์เนอร์จะแตก” จะขายไม่ทัน และนั่นก็อาจจะทำให้คอร์เนอร์แตกทันทีเมื่อมีการประกาศผลประกอบการทั้ง ๆ ที่กำไรก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายมาก แต่ค่า PE ที่สูงถึง 50-60 เท่าขึ้นไปในยามนี้ราคาหุ้นจะอยู่ได้อย่างไร?

ประเด็นสุดท้ายที่จะพูดถึงก็คือ เรื่องความหวังว่านักลงทุนต่างประเทศจะนำเงินกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยหลังจากที่ขายสุทธิติดต่อกันมานับ 10 ปี เป็นเงินกว่าล้านล้านบาท นักวิเคราะห์ไปพูดถึงประเด็นที่ว่านักลงทุนสถาบันใหญ่ ๆ ของโลกหลังจากนี้ที่ได้กำไรจากตลาดหุ้นสหรัฐน่าจะโยกเงินมาตลาดหุ้นเกิดใหม่รวมถึงไทย ซึ่งก็จะทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น

ว่าที่จริงในช่วงเร็ว ๆ นี้ก็มีบางวันที่นักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อสุทธิจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม พวกเขาเข้ามาวันสองวันแล้วก็มักจะออกไปสองสามสัปดาห์ในปริมาณที่มากกว่ามาก ดังนั้นอย่าไปหวังอะไรจากนักลงทุนต่างชาติที่เขาน่าจะยังไม่เห็นว่าจะมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยด้วยเหตุผลใด?
สำหรับประเด็นนี้ผมเองได้รับข้อมูลมาว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้มีการจัด “งานสัมมนาการลงทุนประจำปี” ที่เวียตนาม มีคนเข้าร่วม 550 คน จาก 300 กว่ากองทุน ในขณะที่งานแบบเดียวกันของไทยเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีคนมา 100 คนและมีกองทุนต่างประเทศเพียง 50 กอง เพราะฉะนั้น ปีนี้นักลงทุนต่างประเทศก็น่าจะยังคงขายหนักอีกเช่นเคย อย่าไปหวังเลยว่าจะมา

มาถึงประเด็นสุดท้าย แล้วตกลงเราจะเลือกลงทุนในหุ้นแบบไหนและตัวไหน?

คำตอบของผมคงจะใช้ “Rule of Thumb” หรือ “กฎหัวแม่มือ” มาตอบนั่นก็คือ เป็นเกณฑ์แบบคร่าว ๆ ง่าย ๆ ที่พอจะนำไปประเมินว่าหุ้นแต่ละตัวนั้นควรมีมูลค่าที่เหมาะสมไม่เกินกี่บาทโดนใช้สูตรความถูกความแพงที่อิงกับค่า PE ของหุ้นแต่ละตัว โดยที่การประกาศงบหรือข่าวดีต่าง ๆ ที่อาจจะเข้ามานั้น เป็นประเด็นที่แทบไม่ถูกนำมาใช้ ยกเว้นแต่ว่ากำไรที่ประกาศออกมานั้นจะถูกนำมาคำนวณหาค่า PE เท่านั้น

สูตรของผมก็คือ หุ้นที่มีคุณภาพปานกลาง มีขนาดใหญ่พอและอยู่ในธุรกิจมานาน ไม่ถูกดิสรัปท์ด้วยเทคโนโลยีใหม่ ตัวอย่างเช่น หุ้นแบ้งค์และสถาบันการเงินทั้งหลาย ถ้ามีค่า PE ปกติไม่เกิน 10 เท่าเศษ ๆ ก็อยู่ในเกณฑ์ลงทุนได้ ถ้าเกินไปในระดับ 15 เท่าต้องถือว่าแพงมากก็ขายทิ้ง ไม่ต้องดูว่ากำไรล่าสุดเพิ่มขึ้นหรือลดลงด้วยซ้ำ

หุ้นที่ค่อนข้างดีในด้านของคุณภาพ คือเป็นบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันเหนือกว่าคู่แข่งในระดับหนึ่งในช่วงเวลานี้ เช่น เป็นหมายเลข 1 หรือ 2 ในอุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยการตลาดในการแข่งขัน ตัวอย่างเช่น สินค้าอุปโภคและบริโภคที่ขายให้กับคนทั่วไป แบบนี้ก็ให้ค่า PE ไม่เกิน 15 เท่า ถ้าจะซื้อลงทุน และก็ต้องเป็นค่า PE “ปกติ” ซึ่งเราต้องประเมินและอาจจะคำนวณได้ เช่น เอากำไร 5 ปีเฉลี่ยมาใช้ หรืออาจจะใช้ “กำไรต่อยอดขาย” ของอุตสาหกรรมมาคำนวณว่ากำไรควรจะเป็นเท่าไร เป็นต้น

สุดท้ายคือ หุ้นของกิจการที่โดดเด่นมาก มีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน เป็นแนวซุปเปอร์สต็อกที่ชัดเจน คู่แข่ง “แพ้ขาด” ไปแล้วและผู้เล่นใหม่ก็แทบจะเข้ามาแข่งไม่ได้ แบบนี้ก็ให้ค่า PE ไม่เกิน 20 เท่า

ทั้งหมดนั้นก็ต้องบอกว่าเป็นเกณฑ์ที่อนุรักษ์นิยม เน้นความปลอดภัยสูงในยามที่โลกปั่นป่วนและวิกฤติอาจจะเกิดขึ้นได้ในเวลาไม่นาน

1 มี.ค 2568
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

อ้างอิง https://www.blockdit.com/posts/67c30f7b331621f850a33a18

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่