บทความนี้เผยแพร่ใน วันที่ 20 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
หลังการประกาศงบการเงินไตรมาศ 1 ปี 2561 สิ่งที่เกิดขึ้นกับหุ้นโดยเฉพาะตัวเล็กและกลางหลายตัวนั้นน่าสนใจทีเดียว เพราะมันเป็นเหมือนสัญญาณที่บอกว่า “ฟองสบู่” ของหุ้นเหล่านั้นกำลัง “แตก” ว่าที่จริงหุ้นขนาดเล็กและกลางหลายตัวที่มีราคาปรับขึ้นมากจนทำให้ค่า PE สูงเกินกว่าพื้นฐานไปมากขนาดเป็น 50-100 เท่า ได้ทยอยตกลงมาเป็นระยะอยู่แล้วเพราะสาเหตุต่าง ๆ รวมถึงการถูกเปิดเผยว่ามีการ “โกง” การแต่งบัญชี Story หรือโครงการไม่ประสบความสำเร็จ และผลประกอบการที่แย่ลง อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า “หุ้นดาวเด่น” ที่มีมูลค่าสูงลิ่วอีกหลายตัวก็ยังสามารถรักษาระดับราคาในระดับสูงไว้ได้จนกระทั่งการประกาศงบการเงินงวดนี้ที่ทำให้หุ้นกลายเป็น “นางฟ้าตกสวรรค์”
ถ้าจะลองไล่เรียงดูว่าบริษัทที่หุ้นมีราคาตกลงมามากขนาดที่อาจเรียกว่า “ฟองสบู่แตก” นั้นอยู่ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจอะไรบ้างนั้น คงต้องเริ่มจากกลุ่มพลังงานทดแทนที่หลายตัวนั้นราคาหุ้นตกลงมาเกิน 50% บางตัวอาจจะกลายเป็นศูนย์ ต่อมาก็เป็นหุ้นกลุ่มผู้บริโภครวมถึงอาหารที่เป็นขนม และเครื่องดื่มที่ตกลงมาหลายสิบเปอร์เซ็นต์ ที่ตัวใหญ่ขึ้นมาก็เป็นเรื่องของธุรกิจการเงินที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของแบ้งค์ชาติที่ตกลงมาบางตัวเป็นหายนะ และธุรกิจเครื่องสำอางค์และบันเทิงที่เริ่ม “เห็นอาการ” ในช่วงหลัง ๆ ที่มีการประกาศผลประกอบการที่ถดถอยลงหรือไม่เข้าเป้าของนักวิเคราะห์หรือนักลงทุนที่คาดหวังผลประกอบการที่ดีเลิศเกินกว่าที่จะทำได้
ในอดีตย้อนหลังไป 2-3 ปีนั้น หุ้นตัวเล็กและกลางที่มีผลประกอบการที่ “เติบโต” อย่างโดดเด่น ซึ่งก็คืออุตสาหกรรมดังที่กล่าวข้างต้นนั้น ปรับตัวขึ้นไปสูงมากจนแทบจะ “เป็นไปไม่ได้” เพราะค่า PE ของหุ้นขึ้นไปสูงมากคล้าย ๆ กับหุ้นซุปเปอร์สต็อกระดับโลกอย่างอะเมซอนหรือเฟซบุค บ่อยครั้งค่า PE สูงเป็น 3-4 เท่าของค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งเมื่อประกอบกับกำไรที่โตขึ้นจากฐานที่ต่ำถึง 40-50% ก็ทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไป บางที 2-3 เท่าในเวลาอันสั้น หุ้นบางตัวยอดขายก็ไม่ได้สูงนัก ระดับแค่พันหรือไม่กี่พันล้านบาทแต่มีมูลค่าตลาดหลายหมื่นล้านบาท บางตัวเกือบแสนล้านบาท มองอย่างไรก็ยากที่บริษัทจะโตไปได้ถึงขนาดนั้น สิ่งที่โตขึ้นไปมันคือ “ฟองสบู่” ที่ในที่สุดก็จะต้อง “แตก” เพียงแต่ไม่รู้ว่า “เมื่อไร”
ภาวะที่ “ฟองสบู่แตก” นั้น บางครั้งก็เกิดจากภาพ Macro หรือภาพใหญ่ของเศรษฐกิจ เช่น การปรับตัวขึ้นของเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วหรือการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่ทำให้เม็ดเงินหายไปจากตลาดหุ้นและทำให้การ “เก็งกำไร” หายไป เมื่อหุ้นถูกขายโดยที่ไม่มีนักลงทุนระยะยาวที่เน้น “พื้นฐาน”ของกิจการเข้ามารับซื้อ หุ้นก็จะปรับตัวลงมามาก แต่นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ทำให้หุ้นตัวเล็กและกลางตกลงมาในช่วงนี้
ฟองสบู่ของหุ้นตัวเล็กและกลางที่ “แตก” ในช่วงนี้นั้น ผมคิดว่าเกิดขึ้นจากเรื่องของผลประกอบการที่ไม่เป็นไปตามที่คาดเป็นหลัก โดยที่มีเรื่องของการโกงและความไม่โปร่งใสของผู้บริหารรวมถึงการปั่นหุ้นของนักลงทุนเป็นประเด็นรอง โดยที่ทั้งหมดนั้นก่อให้เกิดความไม่มั่นใจในหมู่นักลงทุนและนักเก็งกำไรถึงอนาคตของบริษัทว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่นตามที่พวกเขาเคยเชื่อหรือไม่ ว่าที่จริง ก่อนหน้านี้ 2-3 ไตรมาศ หลายบริษัทก็ประกาศตัวเลขผลประกอบการที่ไม่เป็นไปตามที่คาดอยู่บ้างแล้วเพียงแต่ผู้บริหารก็มักจะสามารถ “แก้ตัว” หรือมีข้ออ้างว่าเกิดจากอุปสรรคบางประการและ “อนาคต” จะต้องดีแน่นอนเนื่องจากเหตุผลที่ฟังดูน่าเชื่อถือ พูดง่าย ๆ บริษัทยังมี Story ที่สดใสและนักลงทุนรวมถึงนักวิเคราะห์ก็ยังยอมรับ พวกเขาบอกว่างวดต่อไปกำไรจะกลับมาโต 50% และดังนั้นค่า PE ที่ 50 เท่าก็ยังแนะนำให้ซื้อได้ แต่การประกาศงบงวดนี้ดูเหมือนจะสั่นคลอนความมั่นใจของนักลงทุนไปไม่น้อย
ดูเหมือนว่านักลงทุนและนักเก็งกำไรอาจจะมีขอบเขตความอดทนที่จำกัด ความหวาดระแวงว่าหุ้นตัวนี้จะ “ซ้ำรอย” หุ้นตัวก่อนที่ “ฟองสบู่แตกไปแล้ว” ประกอบกับผลประกอบการที่น่าผิดหวังและดูเหมือนว่า “อนาคตอันสดใส” ที่ผู้บริหารออกมารับรองนั้นจะไม่สามารถทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นได้ ดังนั้น การขายหุ้นออกมาอย่างหนักจึงเกิดขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ คนที่ขายหนักมากอาจจะเป็นคนที่ยังได้กำไรมหาศาลเพราะถือหุ้นในราคาที่ต่ำก่อนที่หุ้นจะวิ่งขึ้นไป “สูงเสียดฟ้า” ผลก็คือ หุ้นตกหนักจนไม่น่าเชื่อ บางตัวตกหลายสิบเปอร์เซ็นต์ในเวลาไม่กี่วันทั้ง ๆ ที่บริษัทก็ยังทำเหมือนเดิมทุกอย่าง พื้นฐานก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร
ผมเองก็ไม่รู้ว่าหุ้นที่ตกลงมาหนักแบบฟองสบู่แตกนั้น ราคาสมเหตุผลหรือยัง สิ่งที่ผมคิดก็คือ การตกของหุ้นตัวเล็กและกลางรอบนี้ก็ยังไม่ใช่การสูญเสียความมั่นใจในการเก็งกำไรของนักลงทุนส่วนบุคคลโดยสิ้นเชิง เพราะมันเกิดขึ้นกับหุ้นเฉพาะตัวที่ผลประกอบการ “น่าผิดหวัง” ส่วนหุ้นที่ผลประกอบการยังโดดเด่นนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ถูกกระทบ ราคาหุ้นไม่ได้ปรับตัวลดลง บางตัวราคาหุ้นก็ยังปรับตัวขึ้นไปได้พร้อม ๆ กับค่า PE ที่ไม่ลดลงหรือสูงขึ้นไปอีกเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมที่ใกล้เคียงกัน บางทีอาจจะเป็นเพราะนักเล่นหุ้นในตลาดหุ้นไทยนั้นยังไงก็ต้องหาหุ้นที่จะ “เล่น” ทุกวัน หุ้นตัวไหนที่ตกลงมาแรงและไม่น่าเล่นแล้วก็อาจจะถูกละเลย หุ้นตัวไหนที่ยังโตและมีสตอรี่ก็จะถูกเล่นต่อไป—จนกว่ามันจะ “เน่า” เหมือนตัวอื่น นี่เป็นความรู้สึกของผมที่อาจจะไม่จริงเลย เพียงแต่ผมเห็นว่าหุ้นหลายตัวก็เป็นอย่างนั้น ก่อนฟองสบู่จะแตก คนก็จะเล่นหุ้นตัวนั้นอย่าง “บ้าคลั่ง” ราคาหุ้นขึ้นไป “สุดขอบฟ้า” นักวิเคราะห์แนะนำให้ซื้อ “เซียน VI” เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ กองทุนชื่อดังเข้ามาเก็บ ผู้บริหารขายหุ้นบิ๊กล็อตให้นักลงทุนต่างประเทศหรือสถาบัน หุ้นยิ่งขึ้น ทุกอย่างก็ดูดีไปหมดเป็นเวลาหลายปีจนคนคิดว่าราคาหุ้นนั้นเหมาะสมกับพื้นฐานของบริษัท แต่แล้วหุ้นก็ตกอย่างแรงในชั่วเวลา “ข้ามคืน”
หุ้นตัวเล็กและกลางที่เป็น “ฟองสบู่” คือมีค่า PE สูงมากและมีราคาที่ปรับตัวขึ้นไปมากอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้นนั้น ผมคิดว่ายังมีอยู่มากในตลาดหุ้นไทย ถ้าให้ผมเดาก็คือ ในไม่ช้าก็จะค่อย ๆ “แตก” หรือถ้ามีการ “บริหารหุ้น” ที่ดีก็จะค่อย ๆ ปรับตัวลงไปเรื่อย ๆ จนมีราคาที่เหมาะสมนั่นก็คือ ถ้าประเมินจากพื้นฐานหรือผลประกอบการและการจ่ายปันผลในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นที่เราจ่ายนั้น “คุ้มค่า” ที่เราจะถือหุ้นไปเรื่อย ๆ โดยที่สำหรับภาวะดอกเบี้ยในปัจจุบันที่ 1-2% ต่อปีนั้น คำว่าคุ้มค่าก็คือ อย่างน้อยเราจะได้ผลตอบแทนประมาณ 5-6% ต่อปี ซึ่งถ้าแปลออกมาอย่างหยาบ ๆ ก็คือ บริษัทไม่ควรมีค่า PE ที่สูงเกินกว่า 20-30 เท่าถ้าบริษัทไม่ได้โตและแข็งแกร่งแบบไม่มีใครเทียบได้ในระยะยาว
นักลงทุนแทบทุกคนนั้นมักมีข้อยกเว้น ผมเองก็ทำอยู่บ่อย ๆ วอเร็น บัฟเฟตต์เองก็ดูเหมือนว่าจะลงทุนในสิ่งที่ดูเหมือนว่าไม่ตรงกับสิ่งที่เขาเชื่อและพูดอยู่เป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาอย่างลึกซึ้งก็จะพบว่า ข้อยกเว้นนั้นต้องเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักจริง ๆ และมักจะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ในกรณีของฟองสบู่หุ้นตัวเล็กและกลางของไทยนั้น ผมเองคิดว่าในที่สุดแล้ว หุ้นส่วนใหญ่ก็จะปรับตัวลงเมื่อ “ฟองสบู่แตก” อาจจะมีหุ้นบางตัวที่เป็น “ข้อยกเว้น” คือกิจการดีและแข็งแกร่งจริง ๆ ที่หุ้นยังรักษาระดับความแพง “ระดับเทพ” ได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากรณีไหน ผมคิดว่าการที่จะหวังให้หุ้นเหล่านั้นยังปรับตัวขึ้นเรื่อย ๆ และให้ผลตอบแทนดีเยี่ยมอย่างที่เคยเป็นในช่วงที่เป็นฟองสบู่นั้น ค่อนข้างยากมาก
“ฟองสบู่ที่กำลังแตก” มาดูความสุดยอดของ ดร. กัน
หลังการประกาศงบการเงินไตรมาศ 1 ปี 2561 สิ่งที่เกิดขึ้นกับหุ้นโดยเฉพาะตัวเล็กและกลางหลายตัวนั้นน่าสนใจทีเดียว เพราะมันเป็นเหมือนสัญญาณที่บอกว่า “ฟองสบู่” ของหุ้นเหล่านั้นกำลัง “แตก” ว่าที่จริงหุ้นขนาดเล็กและกลางหลายตัวที่มีราคาปรับขึ้นมากจนทำให้ค่า PE สูงเกินกว่าพื้นฐานไปมากขนาดเป็น 50-100 เท่า ได้ทยอยตกลงมาเป็นระยะอยู่แล้วเพราะสาเหตุต่าง ๆ รวมถึงการถูกเปิดเผยว่ามีการ “โกง” การแต่งบัญชี Story หรือโครงการไม่ประสบความสำเร็จ และผลประกอบการที่แย่ลง อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า “หุ้นดาวเด่น” ที่มีมูลค่าสูงลิ่วอีกหลายตัวก็ยังสามารถรักษาระดับราคาในระดับสูงไว้ได้จนกระทั่งการประกาศงบการเงินงวดนี้ที่ทำให้หุ้นกลายเป็น “นางฟ้าตกสวรรค์”
ถ้าจะลองไล่เรียงดูว่าบริษัทที่หุ้นมีราคาตกลงมามากขนาดที่อาจเรียกว่า “ฟองสบู่แตก” นั้นอยู่ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจอะไรบ้างนั้น คงต้องเริ่มจากกลุ่มพลังงานทดแทนที่หลายตัวนั้นราคาหุ้นตกลงมาเกิน 50% บางตัวอาจจะกลายเป็นศูนย์ ต่อมาก็เป็นหุ้นกลุ่มผู้บริโภครวมถึงอาหารที่เป็นขนม และเครื่องดื่มที่ตกลงมาหลายสิบเปอร์เซ็นต์ ที่ตัวใหญ่ขึ้นมาก็เป็นเรื่องของธุรกิจการเงินที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของแบ้งค์ชาติที่ตกลงมาบางตัวเป็นหายนะ และธุรกิจเครื่องสำอางค์และบันเทิงที่เริ่ม “เห็นอาการ” ในช่วงหลัง ๆ ที่มีการประกาศผลประกอบการที่ถดถอยลงหรือไม่เข้าเป้าของนักวิเคราะห์หรือนักลงทุนที่คาดหวังผลประกอบการที่ดีเลิศเกินกว่าที่จะทำได้
ในอดีตย้อนหลังไป 2-3 ปีนั้น หุ้นตัวเล็กและกลางที่มีผลประกอบการที่ “เติบโต” อย่างโดดเด่น ซึ่งก็คืออุตสาหกรรมดังที่กล่าวข้างต้นนั้น ปรับตัวขึ้นไปสูงมากจนแทบจะ “เป็นไปไม่ได้” เพราะค่า PE ของหุ้นขึ้นไปสูงมากคล้าย ๆ กับหุ้นซุปเปอร์สต็อกระดับโลกอย่างอะเมซอนหรือเฟซบุค บ่อยครั้งค่า PE สูงเป็น 3-4 เท่าของค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งเมื่อประกอบกับกำไรที่โตขึ้นจากฐานที่ต่ำถึง 40-50% ก็ทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไป บางที 2-3 เท่าในเวลาอันสั้น หุ้นบางตัวยอดขายก็ไม่ได้สูงนัก ระดับแค่พันหรือไม่กี่พันล้านบาทแต่มีมูลค่าตลาดหลายหมื่นล้านบาท บางตัวเกือบแสนล้านบาท มองอย่างไรก็ยากที่บริษัทจะโตไปได้ถึงขนาดนั้น สิ่งที่โตขึ้นไปมันคือ “ฟองสบู่” ที่ในที่สุดก็จะต้อง “แตก” เพียงแต่ไม่รู้ว่า “เมื่อไร”
ภาวะที่ “ฟองสบู่แตก” นั้น บางครั้งก็เกิดจากภาพ Macro หรือภาพใหญ่ของเศรษฐกิจ เช่น การปรับตัวขึ้นของเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วหรือการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่ทำให้เม็ดเงินหายไปจากตลาดหุ้นและทำให้การ “เก็งกำไร” หายไป เมื่อหุ้นถูกขายโดยที่ไม่มีนักลงทุนระยะยาวที่เน้น “พื้นฐาน”ของกิจการเข้ามารับซื้อ หุ้นก็จะปรับตัวลงมามาก แต่นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ทำให้หุ้นตัวเล็กและกลางตกลงมาในช่วงนี้
ฟองสบู่ของหุ้นตัวเล็กและกลางที่ “แตก” ในช่วงนี้นั้น ผมคิดว่าเกิดขึ้นจากเรื่องของผลประกอบการที่ไม่เป็นไปตามที่คาดเป็นหลัก โดยที่มีเรื่องของการโกงและความไม่โปร่งใสของผู้บริหารรวมถึงการปั่นหุ้นของนักลงทุนเป็นประเด็นรอง โดยที่ทั้งหมดนั้นก่อให้เกิดความไม่มั่นใจในหมู่นักลงทุนและนักเก็งกำไรถึงอนาคตของบริษัทว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่นตามที่พวกเขาเคยเชื่อหรือไม่ ว่าที่จริง ก่อนหน้านี้ 2-3 ไตรมาศ หลายบริษัทก็ประกาศตัวเลขผลประกอบการที่ไม่เป็นไปตามที่คาดอยู่บ้างแล้วเพียงแต่ผู้บริหารก็มักจะสามารถ “แก้ตัว” หรือมีข้ออ้างว่าเกิดจากอุปสรรคบางประการและ “อนาคต” จะต้องดีแน่นอนเนื่องจากเหตุผลที่ฟังดูน่าเชื่อถือ พูดง่าย ๆ บริษัทยังมี Story ที่สดใสและนักลงทุนรวมถึงนักวิเคราะห์ก็ยังยอมรับ พวกเขาบอกว่างวดต่อไปกำไรจะกลับมาโต 50% และดังนั้นค่า PE ที่ 50 เท่าก็ยังแนะนำให้ซื้อได้ แต่การประกาศงบงวดนี้ดูเหมือนจะสั่นคลอนความมั่นใจของนักลงทุนไปไม่น้อย
ดูเหมือนว่านักลงทุนและนักเก็งกำไรอาจจะมีขอบเขตความอดทนที่จำกัด ความหวาดระแวงว่าหุ้นตัวนี้จะ “ซ้ำรอย” หุ้นตัวก่อนที่ “ฟองสบู่แตกไปแล้ว” ประกอบกับผลประกอบการที่น่าผิดหวังและดูเหมือนว่า “อนาคตอันสดใส” ที่ผู้บริหารออกมารับรองนั้นจะไม่สามารถทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นได้ ดังนั้น การขายหุ้นออกมาอย่างหนักจึงเกิดขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ คนที่ขายหนักมากอาจจะเป็นคนที่ยังได้กำไรมหาศาลเพราะถือหุ้นในราคาที่ต่ำก่อนที่หุ้นจะวิ่งขึ้นไป “สูงเสียดฟ้า” ผลก็คือ หุ้นตกหนักจนไม่น่าเชื่อ บางตัวตกหลายสิบเปอร์เซ็นต์ในเวลาไม่กี่วันทั้ง ๆ ที่บริษัทก็ยังทำเหมือนเดิมทุกอย่าง พื้นฐานก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร
ผมเองก็ไม่รู้ว่าหุ้นที่ตกลงมาหนักแบบฟองสบู่แตกนั้น ราคาสมเหตุผลหรือยัง สิ่งที่ผมคิดก็คือ การตกของหุ้นตัวเล็กและกลางรอบนี้ก็ยังไม่ใช่การสูญเสียความมั่นใจในการเก็งกำไรของนักลงทุนส่วนบุคคลโดยสิ้นเชิง เพราะมันเกิดขึ้นกับหุ้นเฉพาะตัวที่ผลประกอบการ “น่าผิดหวัง” ส่วนหุ้นที่ผลประกอบการยังโดดเด่นนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ถูกกระทบ ราคาหุ้นไม่ได้ปรับตัวลดลง บางตัวราคาหุ้นก็ยังปรับตัวขึ้นไปได้พร้อม ๆ กับค่า PE ที่ไม่ลดลงหรือสูงขึ้นไปอีกเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมที่ใกล้เคียงกัน บางทีอาจจะเป็นเพราะนักเล่นหุ้นในตลาดหุ้นไทยนั้นยังไงก็ต้องหาหุ้นที่จะ “เล่น” ทุกวัน หุ้นตัวไหนที่ตกลงมาแรงและไม่น่าเล่นแล้วก็อาจจะถูกละเลย หุ้นตัวไหนที่ยังโตและมีสตอรี่ก็จะถูกเล่นต่อไป—จนกว่ามันจะ “เน่า” เหมือนตัวอื่น นี่เป็นความรู้สึกของผมที่อาจจะไม่จริงเลย เพียงแต่ผมเห็นว่าหุ้นหลายตัวก็เป็นอย่างนั้น ก่อนฟองสบู่จะแตก คนก็จะเล่นหุ้นตัวนั้นอย่าง “บ้าคลั่ง” ราคาหุ้นขึ้นไป “สุดขอบฟ้า” นักวิเคราะห์แนะนำให้ซื้อ “เซียน VI” เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ กองทุนชื่อดังเข้ามาเก็บ ผู้บริหารขายหุ้นบิ๊กล็อตให้นักลงทุนต่างประเทศหรือสถาบัน หุ้นยิ่งขึ้น ทุกอย่างก็ดูดีไปหมดเป็นเวลาหลายปีจนคนคิดว่าราคาหุ้นนั้นเหมาะสมกับพื้นฐานของบริษัท แต่แล้วหุ้นก็ตกอย่างแรงในชั่วเวลา “ข้ามคืน”
หุ้นตัวเล็กและกลางที่เป็น “ฟองสบู่” คือมีค่า PE สูงมากและมีราคาที่ปรับตัวขึ้นไปมากอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้นนั้น ผมคิดว่ายังมีอยู่มากในตลาดหุ้นไทย ถ้าให้ผมเดาก็คือ ในไม่ช้าก็จะค่อย ๆ “แตก” หรือถ้ามีการ “บริหารหุ้น” ที่ดีก็จะค่อย ๆ ปรับตัวลงไปเรื่อย ๆ จนมีราคาที่เหมาะสมนั่นก็คือ ถ้าประเมินจากพื้นฐานหรือผลประกอบการและการจ่ายปันผลในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นที่เราจ่ายนั้น “คุ้มค่า” ที่เราจะถือหุ้นไปเรื่อย ๆ โดยที่สำหรับภาวะดอกเบี้ยในปัจจุบันที่ 1-2% ต่อปีนั้น คำว่าคุ้มค่าก็คือ อย่างน้อยเราจะได้ผลตอบแทนประมาณ 5-6% ต่อปี ซึ่งถ้าแปลออกมาอย่างหยาบ ๆ ก็คือ บริษัทไม่ควรมีค่า PE ที่สูงเกินกว่า 20-30 เท่าถ้าบริษัทไม่ได้โตและแข็งแกร่งแบบไม่มีใครเทียบได้ในระยะยาว
นักลงทุนแทบทุกคนนั้นมักมีข้อยกเว้น ผมเองก็ทำอยู่บ่อย ๆ วอเร็น บัฟเฟตต์เองก็ดูเหมือนว่าจะลงทุนในสิ่งที่ดูเหมือนว่าไม่ตรงกับสิ่งที่เขาเชื่อและพูดอยู่เป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาอย่างลึกซึ้งก็จะพบว่า ข้อยกเว้นนั้นต้องเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักจริง ๆ และมักจะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ในกรณีของฟองสบู่หุ้นตัวเล็กและกลางของไทยนั้น ผมเองคิดว่าในที่สุดแล้ว หุ้นส่วนใหญ่ก็จะปรับตัวลงเมื่อ “ฟองสบู่แตก” อาจจะมีหุ้นบางตัวที่เป็น “ข้อยกเว้น” คือกิจการดีและแข็งแกร่งจริง ๆ ที่หุ้นยังรักษาระดับความแพง “ระดับเทพ” ได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากรณีไหน ผมคิดว่าการที่จะหวังให้หุ้นเหล่านั้นยังปรับตัวขึ้นเรื่อย ๆ และให้ผลตอบแทนดีเยี่ยมอย่างที่เคยเป็นในช่วงที่เป็นฟองสบู่นั้น ค่อนข้างยากมาก