SHORTS PROGRAM 2

1. WHO LOVES THE SUN (2024) Director. By Arshia Shakiba
เพิ่งเข้ามาดูเอาตอนที่เห็นภาพคนขนหรือขุดหาอะไรบางอย่างอยู่ใต้ดินจากนั้นภาพก็เลื่อนฉากไปดูวิธีการกลั่นน้ำมันผ่านสายพานที่ระโยงระยางเป็นราวรถไฟอยู่ภายในโรงงานหนึ่งที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศซีเรียเข้าให้ พอได้หย่อนก้นลงบนเก้าอี้พร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลาเพื่อนำมาประมวลผลจึงทราบว่าตัวหนังได้ Run ไปเกินครึ่งเรื่องแล้วทั้งที่มีเวลาเพียงแค่ 20 นาที ถึงดูไม่ทันก่อนหน้านั้นก็พอไล่ตามประติดประต่อ Details ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะเห็นชีวิตของ มะห์มูด ผ่านความเป็นคนงานและความเป็นพ่อที่คอยสอนลูกชายของเขาให้รู้งานท่ามกลางสภาพอากาศที่แห้งแล้งได้โล่เหมือนกึ่งอยู่ในทะเลทรายที่มีแต่บรรดาเศษสิ่งปลูกสร้างปรักพังประดับอย่างกะอยู่ในยุค Apolcalypse ไหนจะสภาพเศรษฐกิจในบ้านจนผมดูไปก็คิดตามไปไม่ได้กับสิ่งที่เห็นโดยเฉพาะในเรื่องสิ่งแวดล้อม แม้ฉาก Long Take ในช่วงท้ายที่เป็นวิวข้างทางบน Highway ก่อนที่ตะวันจะลับขอบฟ้าจนในหัวคิดถึงเรื่อง Lost Highway (1997) จะสละสวยงามตาแค่ไหน ? แต่ถ้าให้มาสัมผัสหรือใช้ชีวิตจริงก็อดที่จะมองมุมอื่นไปไม่ได้

2. ภูเขาคำราม (MOUNTAIN ROARS) (2568) กำกับโดย : ภพวรัท มาประสพ , ชนม์ชนก ธนัสทีปต์วงษ์
ขออภัยผู้กำกับคุณภพวรัท กับ คุณชนม์ชนก อย่างสูงที่เผลอวูบหลับไปตั้งแต่เปิดเรื่องได้ไม่เกิน 1 นาทีเพราะ Effect สะสมจากตอนเดินทางมาแล้ววูบ ๆ ตื่น ๆ สะสมตลอดทางจนมาตื่นอีกทีก็เกือบจะจบเรื่องแล้วแต่ในช่วงที่ลืมตาตื่นก็พอจะประติดประต่อแล้วเรียบเรียงได้คร่าว ๆ ในมุมผมจนจำได้ขึ้นใจอยู่อย่างเดียวคืองานภาพที่ Design มาตลอดเวลา 20 นาทีสวยงามมากเหมือนนั่ง Lecture วิชา Anatomy ภาควิชาธรณีวิทยาสำรวจโครงสร้างภายในภูเขาลูกหนึ่งที่มีขนาดมหึมาด้วย Theme Film X-Ray ผสม เทคนิค Visual Arts 4 มิติจนคิดถึงผลงานของคุณเข้ จุฬญาณนนท์ ในความโชว์วิสัยทัศน์อยู่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ต่างคือการใช้เสียง Effect คำรามอย่างกับแผ่นดินไหวเป็นระยะนอกจากช่วยปลุกสติให้ฟื้นขึ้นจากภวังค์ในนาทีท้าย ๆ แล้วยังทำให้เรานึกภาพแล้วเกิดการเปรียบเทียบถึงแรงกระเตื้องในหลักทางภูมิศาสตร์ก็ดีหรือความหมายที่ซ่อนเร้นผ่านการเคลื่อนไหวว่าต้องการจะสื่อสารหรือส่งสัญญาณบอกอะไรกับมนุษย์อย่างเราได้ตระหนักว่า Activity ที่ทำอยู่ส่งผลกระทบต่อสรรพสิ่งบนโลกใบนี้มากน้อยแค่ไหน ?

3. SALT SELLERS (2023) Director By : Maryam Samadi
เป็นหนังสั้นที่เล่าถึงการเผชิญอุปสรรครายล้อมของ 2 สามีภรรยาที่ประกอบอาชีพขายเกลือในชุมชนแห่งหนึ่งริมทะเลสาบอูร์เมีย ประเทศอีหร่านได้อ้อยอิ่งไปหน่อย ทั้งที่มีปมที่น่าสนใจชวนตั้งคำถามและเค้นหาความหมาย อาทิเช่น ภาวะขาดเฟืองของกิจการจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปจนส่งผลกระทบต่อชีวิตทั้งคู่ อย่างนี้ ให้เกิดอารมณ์ร่วมตามได้ไม่ยากเมื่อผู้เป็นเมียกำลังเผชิญภาวะความเสี่ยงในการแท้งบุตรเพราะผลจากพายุเกลือ ด้วยการใช้ภาพโทนสีฟ้าขาวอมเทาอ่อนอย่างกะเรื่อง Dune (2021) ที่เล่นปูตลอดทั้งเรื่องด้วยคิดว่ามีส่วนทำให้ทุกสิ่งที่เห็นรวมถึงตัวบทมีความสายกลางไม่เข้าข้างใครใน Feel ดูหนังยุโรปจนแลเห็นถึงความไม่ชัดเจนในทุกสิ่งที่พยายามสื่อกับคนดูอย่างเห็นได้ชัดแม้กระทั่งตอนจบที่เลือกตัดให้เป็นปลายเปิดเป็นการบ้านกับคนดูไปอีก ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะน่าเบื่อถึงขั้นวูบหลับไปอีกรอบ เพราะความที่มีเวลาจำกัดแค่ 14 นาทีและผ่านไปด้วยความไวแสง อย่างน้อยการได้จ้องภาพกองภูเขานาเกลือสีขาวโพลนก็สะท้อนถึงความไม่มั่นคงทางภูมิอากาศที่กลมกลืนกับสภาวะการดิ้นรนปากกัดตรีนถีบของตัวละครได้เรียบนิ่งแต่เย็นชาในจิตใจไม่ต่างกับโทนสีที่ใช้ปูทาง

4. BENDEN SANA (OVER TO YOU) (2024) Director By : Tao Farren-Hefer
มาไวและไปอย่างด้วยเร็วสูงซะจนเกือบคว้า Details ไม่ทันว่าตลอดระยะเวลา 8 นาทีที่ Run ไปได้เล่าถึงอะไรบ้าง ? .ในมุมผมภาพรวมที่จับความได้จะเล่าถึง Life ส่วนตัวของคุณป้าอิลค์นูร ที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็ก ๆ ริมชายฝั่งทะเลดำประเทศตุรกีตลอดทั้งเรื่องว่าเป็นใคร ? มาจากไหน ? ทำอาชีพอะไร ? ทำไมมาอยู่ที่นี้ ? ในลักษณะพรรณนาผสม Reality ใน way Relax ที่เราดูไปค่อย ๆ ทำความเข้าใจตัวป้าพร้อมกับซึมซับบรรยากาศที่ปกคลุมด้วยผืนทรายและทะเลในท่าทีสบาย ขนาดว่าถึงช่วงเผยจุดประสงค์ของป้าที่ต้องการปกป้องสิ่งแวดล้อมในชุมชนเพื่อไม่ให้ทุนนิยมเข้ามารุกรานเพื่อเอาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตนเองหรือช่วงท้ายที่คุณป้าบอกความในใจกับหลานชายในขณะเดินลุยกอหญ้าเป็นการส่งต่อมรดกทางอุดมการณ์เมื่อเธอไม่อยู่แล้วก็ยัง Happy เล่นน้ำต่อได้สบายบรื้อ แม้ฟังจบจะทำทรงว่ากูเข็มแข็งแต่ดูออกว่าลับหลังเพื่อนสีหน้ากลั้นน้ำตาไม่อยู่แล้ว

5. THE LAST OBSERVERS (2024) Director By : Maja Mikkelsen
มีความเป็น Fire of Love (2022) + The Lighthouse (2019) + 45 Years (2015) ที่ไม่ต้องหาทำตะลุยไปในสถานที่อันตรายให้เสี่ยงแก่ชีวิต ไม่ต้องหลอนกับการเฝ้าประภาคารกัน 2 ต่อ 2 แล้วมโนเห็นใครไม่รู้วิ่งผ่านต่อหน้าในยามค่ำคืนที่ดาวเต็มฟ้าจนขวัญกระเจิง และ ไม่ต้องไปขุดคุ้ยหาอดีตโดยเฉพาะเรื่องคาวบนเตียงที่ผ่านไปชาตินึงแล้วให้เสียสุขภาพจิต แค่ดู Activity ของคารินและเลนนาร์ต คู่สามีภรรยาวัยดึกสังเกตุการณ์บนท้องนภาและบันทึกสภาพอากาศบนประภาคารที่ตั้งอยู่ในเมืองฟัลสเตอร์โบ ประเทศสวีเดนอย่างเรียบง่ายก็ทำให้เราตื่นตาไปตลอดเวลา 24 นาทีได้ตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ต้องพึ่งสิ่งบันเทิงให้กระตุ้นต่อมอารมณ์แต่อย่างใด แม้วิธีการเล่าที่อุดมไปด้วยคำสัมภาษณ์จากการนั่งซักถามหรือการแทรก Footage ด้วยภาพอดีตในแต่ละช่วงวัยสำทับตาม way หนังสารคดีแต่ไม่มีวินาทีไหนทำให้อารมณ์ผม Drop ลงไปเลย เพราะได้ดนตรีประกอบฉากบรรเลงเสริมด้วยเลยทำให้เราซึมซับในความรักความสัมพันธ์ของทั้งคู่ผ่านวิวทัศน์ที่เห็นแล้วเป็นใจให้มาสัมผัสดูสักครั้ง แม้สิ่งที่ทำจะเป็นกิจวัตรซ้ำ ๆ ตั้งแต่ปี 1987 กระทั่งเกษียณจากตำแหน่งแล้วยังมีความสุขดีจนผมอดที่จะหันมาดูในดินแดนคนดีย์ที่เป็นอยู่ไม่ได้ว่าทำไมคุณภาพชีวิตมันช่างต่างกันราวกับหน้ามือเป็นหลังตรีนขนาดนี้วะ
SHORTS PROGRAM 1

6. เรื่องราวสีดำจากทะเลสีคราม (CHRONICLE OF BLUE) (2567) กำกับโดย : อิสรีย์ อรุณประเสริฐ
แม้จะเพลินตาไปกับการส่องบรรดาน้อนปูหลากหลายชีวิตเดินเตร่เป็นกองทัพขุดรูนี้โผล่รูนั้นไปทั่วผืนทรายปนกรวดหินจนพรุนทั้งเกาะแล้ว สิ่งที่เด่นชัดคืองานภาพหรือการวาดเส้นที่ใช้ระบบทำมือควบกับเทคนิคถ่ายทำแบบ Animation Stopmotion ที่ดูแล้วสามารถเทียบชั้นงานระดับอินเตอร์ได้ไม่ยากในเวลาเพียงแค่ 10 นาทีนอกจากเห็นถึงความอุตสาหะของผู้กำกับคุณอิสรีย์และทีมงาน ไม่ว่าจะในแง่ของขั้นตอนการเตรียมงานหรือเนื้อหาที่ตั้งใจสื่อในเวลาจำกัดแล้วหนังสามารถสอดแทรกประเด็นอย่างเรื่องของภาวะโลกร้อนที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้ผ่านการเคลื่อนตัวของกองทัพปูก็ดีหรือการโชว์เทคนิคที่กล่าวข้างต้นไปสร้างการกระเพื่อมตัวของคลื่นทะเลสีครามได้น่าติดตามจนเห็นภาพในแง่ของวัฏจักรไปทีละ Step โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูว่ากี่นาทีหนังจะจบ

7. MURK! (EXPLORING SINGAPORE FROM BELOW) (2024) Director By : Nikki Tan
เป็นสารคดีแนว Adventure ผสม Extreme ที่ช่วยเปิดโลกทัศน์ให้เราได้รู้จักอีกมุมในประเทศสิงคโปร์ที่ไม่เคยทราบมาก่อนว่ามีไปกับ Mission ของ 3 นักว่ายน้ำหัวใจ Action ใน Theme Save โลกด้วยการนั่งสัมภาษณ์รายคนว่าใครเป็นใครสลับลงพื้นที่สำรวจเกาะนึง (จำชื่อไม่ได้) ที่อยู่กลางทะเลก่อนในเวลาต่อมาทั้งหมดจะดำน้ำลงไปเก็บขยะที่อยู่ใต้ท้องทะเลลึกจนตกใจกับตนเองว่าทำไมมันเยอะขนาดนี้วะ ด้วยผลจากการเติบโตของกองขยะก็ดีหรือเศรษฐกิจก็ตามมีส่วนทำให้เกิดภาวะโลกเปลี่ยน ถ้าตราบใดยังมีการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของคนที่ถูกขับเคลื่อนด้วยกระแสทุนนิยมก็จะเจอกับสภาพการณ์ที่เริ่มจะคาดคเนไม่ได้เช่นนี้ต่อไป ทำให้ตลอดเวลาที่ดูไป 15 นาที นอกจากจะดื่มดำไปกับใต้ท้องทะเลสีครามสดใสจนกลืนเต็มกระเพาะแล้วภาพจำที่เคยนึกถึงแต่ความเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่มีเศรษฐกิจเป็นจุดเด่นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปในเชิงกว้างขวางขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ว่า บ้านเมืองเขาก็มีสถานที่ Unseen ไม่ต่างกับบ้านเราเหมือนกันแฮะ

8. RED OCEAN (2567) กำกับโดย : เจษฎา ขิมสุข
เปิดเรื่องมาด้วยความระทึกนิด ๆ ไปกับการตามติด Life ของคุณสัตวแพทย์สาวผ่านการถ่ายโดยผู้กำกับคุณเจษฎาขณะกำลังเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในชุมชนแห่งหนึ่งที่ติดชายทะเล จ.ตรัง เพราะในหนังบอกไว้จนได้พบกับน้อนเต่าร่างยักษ์ตัวหนึ่งนอนเกยตื้นอยู่ชายฝั่งโดยที่มือทั้ง 2 ข้างยังคงเกาะขอนไม้ในสภาพหายใจรวยรินจึงรีบเข้าไปช่วยยกร่างน้อนพร้อมกับเจ้าหน้าที่ที่ตามมาด้วยราว 2-3 คนขึ้นไปในรถกระบะแล้วรีบส่งตัวน้อนไปยังศูนย์วิจัยที่สัตวแพทย์สาวประจำการอยู่เพื่อ save ชีวิตน้อนเป็นการด่วน ตลอดเวลา 15 นาทีโดยรวมจะเล่าตาม way สารคดีที่มีการสัมภาษณ์ตัวสัตวแพทย์ตั้งแต่เริ่มต้นแนะนำตัวว่าเป็นใคร ? มาจากไหน ? ทำไมถึงมาประกอบอาชีพและประจำการที่ศูนย์แห่งนี้สลับกับแวะไปดูวิธีการรักษาน้อนเต่าโน้นนั่นนี่ให้เราทราบไปลุ้นไปว่าจะช่วยน้อนได้มั้ย ? แม้จะมีอุปสรรคเข้ามาระหว่างการรักษาแต่ในใจก็ยังหวังว่าเผื่อจะพลิกสถานการณ์ให้ดีขึ้นล่ะวะจนกระทั่งทราบผลจากคุณสัตวแพทย์สาวเท่านั้นแหล่ะ ผมนี้อึ้งจนจุกพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
หลังจากดูโปรแกรมหนังสั้นชุด 1-2 ไปทั้งหมด 5 + 3 จบในเวลาอันราว 1 ชั่วโมง 30 นาทีนิด ๆ ทำให้ผมตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น น้ำท่วมก็ดี , ไฟป่าก็ดี หรือ ปัญหาขยะล้นโลกก็ดี อย่างจริงจังอีกขั้นว่านอกจากมันใกล้ตัวจนแทบหายใจรดต้นคอแล้วมันยังค่อย ๆ ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนเข้าไปทุกทีจนเกินคาดเดาได้ทันว่าจะให้ตั้งรับกี่โมง ? ก็ด้วยจากการใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลนำมาผลิตสินค้าหรือสร้างสิ่งปลูกสร้างไว้รองรับชีวิตของคนที่เน้นความหรูหราสะดวกสบายทางสถานะจนลืมคำนึงหรือมองข้ามไปว่าที่ทำมันส่งผลกระทบต่อสัตว์บก สัตว์น้ำรวมถึงสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเช่นกัน ถึงแม้สังคมจะเล็งเห็นถึงปัญหาแล้วใช้หลัก 5 Re มากขึ้นก็ไม่พอที่จะฟื้นฟูในส่วนที่เสียไปที่มีมากกว่า ซึ่งทราบแก่ใจว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะรอให้ทั้งหมดปฏิบัติพร้อมกัน ดังนั้นเริ่มเปิดที่ตัวเราเป็นอย่างแรก
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ : EMistique
[CR] No.143 Changing Climate Changing Lives Film Festival 2025
SHORTS PROGRAM 2
1. WHO LOVES THE SUN (2024) Director. By Arshia Shakiba
เพิ่งเข้ามาดูเอาตอนที่เห็นภาพคนขนหรือขุดหาอะไรบางอย่างอยู่ใต้ดินจากนั้นภาพก็เลื่อนฉากไปดูวิธีการกลั่นน้ำมันผ่านสายพานที่ระโยงระยางเป็นราวรถไฟอยู่ภายในโรงงานหนึ่งที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศซีเรียเข้าให้ พอได้หย่อนก้นลงบนเก้าอี้พร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลาเพื่อนำมาประมวลผลจึงทราบว่าตัวหนังได้ Run ไปเกินครึ่งเรื่องแล้วทั้งที่มีเวลาเพียงแค่ 20 นาที ถึงดูไม่ทันก่อนหน้านั้นก็พอไล่ตามประติดประต่อ Details ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะเห็นชีวิตของ มะห์มูด ผ่านความเป็นคนงานและความเป็นพ่อที่คอยสอนลูกชายของเขาให้รู้งานท่ามกลางสภาพอากาศที่แห้งแล้งได้โล่เหมือนกึ่งอยู่ในทะเลทรายที่มีแต่บรรดาเศษสิ่งปลูกสร้างปรักพังประดับอย่างกะอยู่ในยุค Apolcalypse ไหนจะสภาพเศรษฐกิจในบ้านจนผมดูไปก็คิดตามไปไม่ได้กับสิ่งที่เห็นโดยเฉพาะในเรื่องสิ่งแวดล้อม แม้ฉาก Long Take ในช่วงท้ายที่เป็นวิวข้างทางบน Highway ก่อนที่ตะวันจะลับขอบฟ้าจนในหัวคิดถึงเรื่อง Lost Highway (1997) จะสละสวยงามตาแค่ไหน ? แต่ถ้าให้มาสัมผัสหรือใช้ชีวิตจริงก็อดที่จะมองมุมอื่นไปไม่ได้
2. ภูเขาคำราม (MOUNTAIN ROARS) (2568) กำกับโดย : ภพวรัท มาประสพ , ชนม์ชนก ธนัสทีปต์วงษ์
ขออภัยผู้กำกับคุณภพวรัท กับ คุณชนม์ชนก อย่างสูงที่เผลอวูบหลับไปตั้งแต่เปิดเรื่องได้ไม่เกิน 1 นาทีเพราะ Effect สะสมจากตอนเดินทางมาแล้ววูบ ๆ ตื่น ๆ สะสมตลอดทางจนมาตื่นอีกทีก็เกือบจะจบเรื่องแล้วแต่ในช่วงที่ลืมตาตื่นก็พอจะประติดประต่อแล้วเรียบเรียงได้คร่าว ๆ ในมุมผมจนจำได้ขึ้นใจอยู่อย่างเดียวคืองานภาพที่ Design มาตลอดเวลา 20 นาทีสวยงามมากเหมือนนั่ง Lecture วิชา Anatomy ภาควิชาธรณีวิทยาสำรวจโครงสร้างภายในภูเขาลูกหนึ่งที่มีขนาดมหึมาด้วย Theme Film X-Ray ผสม เทคนิค Visual Arts 4 มิติจนคิดถึงผลงานของคุณเข้ จุฬญาณนนท์ ในความโชว์วิสัยทัศน์อยู่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ต่างคือการใช้เสียง Effect คำรามอย่างกับแผ่นดินไหวเป็นระยะนอกจากช่วยปลุกสติให้ฟื้นขึ้นจากภวังค์ในนาทีท้าย ๆ แล้วยังทำให้เรานึกภาพแล้วเกิดการเปรียบเทียบถึงแรงกระเตื้องในหลักทางภูมิศาสตร์ก็ดีหรือความหมายที่ซ่อนเร้นผ่านการเคลื่อนไหวว่าต้องการจะสื่อสารหรือส่งสัญญาณบอกอะไรกับมนุษย์อย่างเราได้ตระหนักว่า Activity ที่ทำอยู่ส่งผลกระทบต่อสรรพสิ่งบนโลกใบนี้มากน้อยแค่ไหน ?
3. SALT SELLERS (2023) Director By : Maryam Samadi
เป็นหนังสั้นที่เล่าถึงการเผชิญอุปสรรครายล้อมของ 2 สามีภรรยาที่ประกอบอาชีพขายเกลือในชุมชนแห่งหนึ่งริมทะเลสาบอูร์เมีย ประเทศอีหร่านได้อ้อยอิ่งไปหน่อย ทั้งที่มีปมที่น่าสนใจชวนตั้งคำถามและเค้นหาความหมาย อาทิเช่น ภาวะขาดเฟืองของกิจการจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปจนส่งผลกระทบต่อชีวิตทั้งคู่ อย่างนี้ ให้เกิดอารมณ์ร่วมตามได้ไม่ยากเมื่อผู้เป็นเมียกำลังเผชิญภาวะความเสี่ยงในการแท้งบุตรเพราะผลจากพายุเกลือ ด้วยการใช้ภาพโทนสีฟ้าขาวอมเทาอ่อนอย่างกะเรื่อง Dune (2021) ที่เล่นปูตลอดทั้งเรื่องด้วยคิดว่ามีส่วนทำให้ทุกสิ่งที่เห็นรวมถึงตัวบทมีความสายกลางไม่เข้าข้างใครใน Feel ดูหนังยุโรปจนแลเห็นถึงความไม่ชัดเจนในทุกสิ่งที่พยายามสื่อกับคนดูอย่างเห็นได้ชัดแม้กระทั่งตอนจบที่เลือกตัดให้เป็นปลายเปิดเป็นการบ้านกับคนดูไปอีก ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะน่าเบื่อถึงขั้นวูบหลับไปอีกรอบ เพราะความที่มีเวลาจำกัดแค่ 14 นาทีและผ่านไปด้วยความไวแสง อย่างน้อยการได้จ้องภาพกองภูเขานาเกลือสีขาวโพลนก็สะท้อนถึงความไม่มั่นคงทางภูมิอากาศที่กลมกลืนกับสภาวะการดิ้นรนปากกัดตรีนถีบของตัวละครได้เรียบนิ่งแต่เย็นชาในจิตใจไม่ต่างกับโทนสีที่ใช้ปูทาง
4. BENDEN SANA (OVER TO YOU) (2024) Director By : Tao Farren-Hefer
มาไวและไปอย่างด้วยเร็วสูงซะจนเกือบคว้า Details ไม่ทันว่าตลอดระยะเวลา 8 นาทีที่ Run ไปได้เล่าถึงอะไรบ้าง ? .ในมุมผมภาพรวมที่จับความได้จะเล่าถึง Life ส่วนตัวของคุณป้าอิลค์นูร ที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็ก ๆ ริมชายฝั่งทะเลดำประเทศตุรกีตลอดทั้งเรื่องว่าเป็นใคร ? มาจากไหน ? ทำอาชีพอะไร ? ทำไมมาอยู่ที่นี้ ? ในลักษณะพรรณนาผสม Reality ใน way Relax ที่เราดูไปค่อย ๆ ทำความเข้าใจตัวป้าพร้อมกับซึมซับบรรยากาศที่ปกคลุมด้วยผืนทรายและทะเลในท่าทีสบาย ขนาดว่าถึงช่วงเผยจุดประสงค์ของป้าที่ต้องการปกป้องสิ่งแวดล้อมในชุมชนเพื่อไม่ให้ทุนนิยมเข้ามารุกรานเพื่อเอาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตนเองหรือช่วงท้ายที่คุณป้าบอกความในใจกับหลานชายในขณะเดินลุยกอหญ้าเป็นการส่งต่อมรดกทางอุดมการณ์เมื่อเธอไม่อยู่แล้วก็ยัง Happy เล่นน้ำต่อได้สบายบรื้อ แม้ฟังจบจะทำทรงว่ากูเข็มแข็งแต่ดูออกว่าลับหลังเพื่อนสีหน้ากลั้นน้ำตาไม่อยู่แล้ว
5. THE LAST OBSERVERS (2024) Director By : Maja Mikkelsen
มีความเป็น Fire of Love (2022) + The Lighthouse (2019) + 45 Years (2015) ที่ไม่ต้องหาทำตะลุยไปในสถานที่อันตรายให้เสี่ยงแก่ชีวิต ไม่ต้องหลอนกับการเฝ้าประภาคารกัน 2 ต่อ 2 แล้วมโนเห็นใครไม่รู้วิ่งผ่านต่อหน้าในยามค่ำคืนที่ดาวเต็มฟ้าจนขวัญกระเจิง และ ไม่ต้องไปขุดคุ้ยหาอดีตโดยเฉพาะเรื่องคาวบนเตียงที่ผ่านไปชาตินึงแล้วให้เสียสุขภาพจิต แค่ดู Activity ของคารินและเลนนาร์ต คู่สามีภรรยาวัยดึกสังเกตุการณ์บนท้องนภาและบันทึกสภาพอากาศบนประภาคารที่ตั้งอยู่ในเมืองฟัลสเตอร์โบ ประเทศสวีเดนอย่างเรียบง่ายก็ทำให้เราตื่นตาไปตลอดเวลา 24 นาทีได้ตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ต้องพึ่งสิ่งบันเทิงให้กระตุ้นต่อมอารมณ์แต่อย่างใด แม้วิธีการเล่าที่อุดมไปด้วยคำสัมภาษณ์จากการนั่งซักถามหรือการแทรก Footage ด้วยภาพอดีตในแต่ละช่วงวัยสำทับตาม way หนังสารคดีแต่ไม่มีวินาทีไหนทำให้อารมณ์ผม Drop ลงไปเลย เพราะได้ดนตรีประกอบฉากบรรเลงเสริมด้วยเลยทำให้เราซึมซับในความรักความสัมพันธ์ของทั้งคู่ผ่านวิวทัศน์ที่เห็นแล้วเป็นใจให้มาสัมผัสดูสักครั้ง แม้สิ่งที่ทำจะเป็นกิจวัตรซ้ำ ๆ ตั้งแต่ปี 1987 กระทั่งเกษียณจากตำแหน่งแล้วยังมีความสุขดีจนผมอดที่จะหันมาดูในดินแดนคนดีย์ที่เป็นอยู่ไม่ได้ว่าทำไมคุณภาพชีวิตมันช่างต่างกันราวกับหน้ามือเป็นหลังตรีนขนาดนี้วะ
SHORTS PROGRAM 1
6. เรื่องราวสีดำจากทะเลสีคราม (CHRONICLE OF BLUE) (2567) กำกับโดย : อิสรีย์ อรุณประเสริฐ
แม้จะเพลินตาไปกับการส่องบรรดาน้อนปูหลากหลายชีวิตเดินเตร่เป็นกองทัพขุดรูนี้โผล่รูนั้นไปทั่วผืนทรายปนกรวดหินจนพรุนทั้งเกาะแล้ว สิ่งที่เด่นชัดคืองานภาพหรือการวาดเส้นที่ใช้ระบบทำมือควบกับเทคนิคถ่ายทำแบบ Animation Stopmotion ที่ดูแล้วสามารถเทียบชั้นงานระดับอินเตอร์ได้ไม่ยากในเวลาเพียงแค่ 10 นาทีนอกจากเห็นถึงความอุตสาหะของผู้กำกับคุณอิสรีย์และทีมงาน ไม่ว่าจะในแง่ของขั้นตอนการเตรียมงานหรือเนื้อหาที่ตั้งใจสื่อในเวลาจำกัดแล้วหนังสามารถสอดแทรกประเด็นอย่างเรื่องของภาวะโลกร้อนที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้ผ่านการเคลื่อนตัวของกองทัพปูก็ดีหรือการโชว์เทคนิคที่กล่าวข้างต้นไปสร้างการกระเพื่อมตัวของคลื่นทะเลสีครามได้น่าติดตามจนเห็นภาพในแง่ของวัฏจักรไปทีละ Step โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูว่ากี่นาทีหนังจะจบ
7. MURK! (EXPLORING SINGAPORE FROM BELOW) (2024) Director By : Nikki Tan
เป็นสารคดีแนว Adventure ผสม Extreme ที่ช่วยเปิดโลกทัศน์ให้เราได้รู้จักอีกมุมในประเทศสิงคโปร์ที่ไม่เคยทราบมาก่อนว่ามีไปกับ Mission ของ 3 นักว่ายน้ำหัวใจ Action ใน Theme Save โลกด้วยการนั่งสัมภาษณ์รายคนว่าใครเป็นใครสลับลงพื้นที่สำรวจเกาะนึง (จำชื่อไม่ได้) ที่อยู่กลางทะเลก่อนในเวลาต่อมาทั้งหมดจะดำน้ำลงไปเก็บขยะที่อยู่ใต้ท้องทะเลลึกจนตกใจกับตนเองว่าทำไมมันเยอะขนาดนี้วะ ด้วยผลจากการเติบโตของกองขยะก็ดีหรือเศรษฐกิจก็ตามมีส่วนทำให้เกิดภาวะโลกเปลี่ยน ถ้าตราบใดยังมีการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของคนที่ถูกขับเคลื่อนด้วยกระแสทุนนิยมก็จะเจอกับสภาพการณ์ที่เริ่มจะคาดคเนไม่ได้เช่นนี้ต่อไป ทำให้ตลอดเวลาที่ดูไป 15 นาที นอกจากจะดื่มดำไปกับใต้ท้องทะเลสีครามสดใสจนกลืนเต็มกระเพาะแล้วภาพจำที่เคยนึกถึงแต่ความเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่มีเศรษฐกิจเป็นจุดเด่นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปในเชิงกว้างขวางขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ว่า บ้านเมืองเขาก็มีสถานที่ Unseen ไม่ต่างกับบ้านเราเหมือนกันแฮะ
8. RED OCEAN (2567) กำกับโดย : เจษฎา ขิมสุข
เปิดเรื่องมาด้วยความระทึกนิด ๆ ไปกับการตามติด Life ของคุณสัตวแพทย์สาวผ่านการถ่ายโดยผู้กำกับคุณเจษฎาขณะกำลังเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในชุมชนแห่งหนึ่งที่ติดชายทะเล จ.ตรัง เพราะในหนังบอกไว้จนได้พบกับน้อนเต่าร่างยักษ์ตัวหนึ่งนอนเกยตื้นอยู่ชายฝั่งโดยที่มือทั้ง 2 ข้างยังคงเกาะขอนไม้ในสภาพหายใจรวยรินจึงรีบเข้าไปช่วยยกร่างน้อนพร้อมกับเจ้าหน้าที่ที่ตามมาด้วยราว 2-3 คนขึ้นไปในรถกระบะแล้วรีบส่งตัวน้อนไปยังศูนย์วิจัยที่สัตวแพทย์สาวประจำการอยู่เพื่อ save ชีวิตน้อนเป็นการด่วน ตลอดเวลา 15 นาทีโดยรวมจะเล่าตาม way สารคดีที่มีการสัมภาษณ์ตัวสัตวแพทย์ตั้งแต่เริ่มต้นแนะนำตัวว่าเป็นใคร ? มาจากไหน ? ทำไมถึงมาประกอบอาชีพและประจำการที่ศูนย์แห่งนี้สลับกับแวะไปดูวิธีการรักษาน้อนเต่าโน้นนั่นนี่ให้เราทราบไปลุ้นไปว่าจะช่วยน้อนได้มั้ย ? แม้จะมีอุปสรรคเข้ามาระหว่างการรักษาแต่ในใจก็ยังหวังว่าเผื่อจะพลิกสถานการณ์ให้ดีขึ้นล่ะวะจนกระทั่งทราบผลจากคุณสัตวแพทย์สาวเท่านั้นแหล่ะ ผมนี้อึ้งจนจุกพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
หลังจากดูโปรแกรมหนังสั้นชุด 1-2 ไปทั้งหมด 5 + 3 จบในเวลาอันราว 1 ชั่วโมง 30 นาทีนิด ๆ ทำให้ผมตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น น้ำท่วมก็ดี , ไฟป่าก็ดี หรือ ปัญหาขยะล้นโลกก็ดี อย่างจริงจังอีกขั้นว่านอกจากมันใกล้ตัวจนแทบหายใจรดต้นคอแล้วมันยังค่อย ๆ ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนเข้าไปทุกทีจนเกินคาดเดาได้ทันว่าจะให้ตั้งรับกี่โมง ? ก็ด้วยจากการใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลนำมาผลิตสินค้าหรือสร้างสิ่งปลูกสร้างไว้รองรับชีวิตของคนที่เน้นความหรูหราสะดวกสบายทางสถานะจนลืมคำนึงหรือมองข้ามไปว่าที่ทำมันส่งผลกระทบต่อสัตว์บก สัตว์น้ำรวมถึงสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเช่นกัน ถึงแม้สังคมจะเล็งเห็นถึงปัญหาแล้วใช้หลัก 5 Re มากขึ้นก็ไม่พอที่จะฟื้นฟูในส่วนที่เสียไปที่มีมากกว่า ซึ่งทราบแก่ใจว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะรอให้ทั้งหมดปฏิบัติพร้อมกัน ดังนั้นเริ่มเปิดที่ตัวเราเป็นอย่างแรก
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ : EMistique
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้