KEY POINTS
"LANNA - TISCO - NER - PHOL - TTW" โชว์ฟอร์มแกร่ง! ผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีสุดปัง
ROE ทะลุ 15% แถมปันผลสูงเกิน 6%!
"วิจิตร อารยะพิศิษฐ" กูรูจาก บล.ลิเบอเรเตอร์ ชี้ "TTW" ครองแชมป์หุ้นรายได้มั่นคง ส่วน "TISCO" น่าสะสมหลัง XD
แจก 4 กลยุทธ์เลือกหุ้นอย่างชาญฉลาดในช่วงตลาดขาลง!
ผลการคัดเลือกจากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ย้อนหลัง 3 ปี นับตั้งแต่ พ.ศ.2564-2566 พบ 5 หุ้นเด่นที่สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยแข็งแกร่ง ตอบโจทย์นักลงทุนสายปันผลและเติบโต
โดยผ่านเกณฑ์ "อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity หรือ ROE) ตั้งแต่ 15% ขึ้นไป และ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ตั้งแต่ 6% ขึ้นไป"
อันดับแรก คือ "บริษัท ลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) หรือ LANNA" ผลิตและจำหน่ายถ่านหินทั้งในประเทศและต่างประเทศ แบ่งเป็น "ธุรกิจถ่านหินในประเทศ" นำเข้าถ่านหินจากเหมืองร่วมทุนและจากแหล่งอื่นในประเทศอินโดนีเซียมาจำหน่าย
"ธุรกิจถ่านหินในต่างประเทศ" เข้าไปร่วมลงทุนทำเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย โดยนำเข้าถ่านหินจากเหมืองร่วมทุนมาจำหน่ายให้กับลูกค้าในประเทศและส่งไปจำหน่ายยังประเทศอื่นในแถบภูมิภาคเอเชีย
LANNA ตลอดระยะเวลา 3 ปี ROE เฉลี่ย 34.41% และเงินปันผลเฉลี่ย 14.40%
ต่อมาคือ "บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO" ประกอบธุรกิจการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ของกลุ่มธุรกิจทางการเงินทิสโก้ โดยมีธนาคารทิสโก้เป็นหลัก ซึ่งได้รับอนุมัติให้เป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ
ปัจจุบันให้บริการทางด้านการเงินอันประกอบด้วย บริการสินเชื่อลูกค้ารายย่อยและสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม บริการสินเชื่อพาณิชย์ธนกิจ บริการเงินฝากรายย่อย บริการลูกค้าธนบดีธนกิจ บริการตัวแทนขายประกันผ่านธนาคาร บริการจัดการการเงินและบริการคัสโตเดียน
หุ้น TISCO ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง ROE เฉลี่ย 17.05% และเงินปันผลเฉลี่ย 7.61%
อันดับสามคือ "บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER" ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ผลตอบแทนปี 64-66 ROE เฉลี่ย 30.51% และเงินปันผลเฉลี่ย 7.13%
อันดับสี่ คือ "บริษัท ผลธัญญะ จำกัด (มหาชน) หรือ PHOL" ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม และผู้จัดจำหน่ายและให้บริการออกแบบ ผลิต รับก่อสร้าง ให้บริการเกี่ยวกับระบบบำบัดน้ำเพื่ออุปโภคและบริโภค ROE เฉลี่ย 18.50% และเงินปันผลเฉลี่ย 8.42%
และอันดับสุดท้าย คือ "บริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) หรือ TTW" ประกอบกิจการสาธารณูปโภคในการผลิตและจ่ายน้ำประปา ROE เฉลี่ย 20.82% และเงินปันผลเฉลี่ย 6.61%
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุนฝ่ายวิจัย บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวกับ "โพสต์ทูเดย์" ว่า จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้นมองว่าหุ้นที่น่าสนใจมากที่สุดคือ "TTW" ด้วยความเป็นหุ้นสาธารณูปโภค มีรายได้สม่ำเสมอ กำไรเฉลี่ยต่อปีแตะระดับ 3,000 ล้านบาท ค่าพี/อี 12-15 เท่า จ่ายปันผลต่อเนื่อง
จังหวะที่ราคาหุ้นย่อตัวลงมาแถว 8.40 บาทสะสมได้ แต่หากราคาปรับขึ้นไปทดสอบ 10.5 บาทขายทำกำไร ราคาเป้าหมายเฉลี่ยแถว 10 บาท
รองมาคือหุ้น "TISCO" ถือเป็นหุ้นปันผลสูงอีกหนึ่งตัว แต่ข้อเสียคือสัญญาณการเติบโตไม่เยอะ ด้วยธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับรถยนต์อาจยังเผชิญแรงกดดัน หากแต่นักลงทุนที่สนใจสามารถเล่นรอบ รอซื้อหลังขึ้นเครื่องหมาย XD ได้
อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนหนัก นักลงทุนควรเลือกหุ้น โดยควรให้ความสำคัญใน 4 ประเด็น ดังนี้คือ
เรื่องแรก คือ "เทรนด์กำไร" ถ้าหุ้นยังมีกำไรขาขึ้น กำไรเติบโตถือว่าดี ชอบหุ้น Growth
รองลงมา คือ "ราคาไม่แพง" เมื่อเติบโตแล้วต้องมีราคาสมเหตุผลเมื่อเทียบราคาในอดีตและกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน
เรื่องที่สาม คือ "กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีสตอรี่ขับเคลื่อน"
สุดท้าย คือ "ปันผลดี" ถือเป็นส่วนแถม หรือสตอรี่สั้นที่ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับหุ้น
หากพิจารณาทั้ง 4 ประเด็นสำคัญดังกล่าวข้างต้น มองว่ากลุ่มที่เข้าเกณฑ์ คือ "กลุ่มไฟแนนซ์" ด้วยสัญญาณดอกเบี้ยมีเพียงทรงตัวกับลดลง หากมีการประกาศลดดอกเบี้ย แน่นอนว่าหุ้นไฟแนนซ์สดใสและคุณภาพสินทรัพย์ทรงดีขึ้น ราคาไม่แพง พี/อี 10 กว่าเท่า หุ้นหลายตัวอยู่โซนเติบโต แนะนำ SAWAD
อีกกลุ่มที่น่าสนใจคือ "กลุ่มเทคโนโลยี คอนซัลแทนท์" เนื่องด้วยค่าพี/อีปรับตัวลงมาค่อนข้างมากจนน่าสนใจ แนะนำ BBIK
ท้ายที่สุดคือ "กลุ่มโรงพยาบาล" จากเดิมเล่นพี/อี 20-30 เท่า ปัจจุบันเหลือเพียง 10 กว่าเท่า ผลพวงจากปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากผู้ป่วยต่างชาติยังไม่จบเรื่องคูเวตว่าจะส่งคนเข้ามาโรงพยาบาลใดบ้าง
ขณะที่ปีนี้มีใช้ประกันแบบ "โคเพย์" (Co-pay หรือ Co-payment) คือรูปแบบของการประกันสุขภาพที่ผู้ถือกรมธรรม์ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายบางส่วนของค่ารักษาพยาบาลเมื่อเข้ารับบริการในสถานพยาบาลที่กำหนด โดยที่บริษัทประกันจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือ หุ้นที่น่าสนใจแนะนำ BH
Cr.
https://www.posttoday.com/business/stockholder/720043
5 หุ้นสุดแกร่ง! ผลตอบแทน 3ปีพุ่ง ROEสูง ปันผลเด่น
"LANNA - TISCO - NER - PHOL - TTW" โชว์ฟอร์มแกร่ง! ผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีสุดปัง
ROE ทะลุ 15% แถมปันผลสูงเกิน 6%!
"วิจิตร อารยะพิศิษฐ" กูรูจาก บล.ลิเบอเรเตอร์ ชี้ "TTW" ครองแชมป์หุ้นรายได้มั่นคง ส่วน "TISCO" น่าสะสมหลัง XD
แจก 4 กลยุทธ์เลือกหุ้นอย่างชาญฉลาดในช่วงตลาดขาลง!
ผลการคัดเลือกจากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ย้อนหลัง 3 ปี นับตั้งแต่ พ.ศ.2564-2566 พบ 5 หุ้นเด่นที่สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยแข็งแกร่ง ตอบโจทย์นักลงทุนสายปันผลและเติบโต
โดยผ่านเกณฑ์ "อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity หรือ ROE) ตั้งแต่ 15% ขึ้นไป และ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ตั้งแต่ 6% ขึ้นไป"
อันดับแรก คือ "บริษัท ลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) หรือ LANNA" ผลิตและจำหน่ายถ่านหินทั้งในประเทศและต่างประเทศ แบ่งเป็น "ธุรกิจถ่านหินในประเทศ" นำเข้าถ่านหินจากเหมืองร่วมทุนและจากแหล่งอื่นในประเทศอินโดนีเซียมาจำหน่าย
"ธุรกิจถ่านหินในต่างประเทศ" เข้าไปร่วมลงทุนทำเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย โดยนำเข้าถ่านหินจากเหมืองร่วมทุนมาจำหน่ายให้กับลูกค้าในประเทศและส่งไปจำหน่ายยังประเทศอื่นในแถบภูมิภาคเอเชีย
LANNA ตลอดระยะเวลา 3 ปี ROE เฉลี่ย 34.41% และเงินปันผลเฉลี่ย 14.40%
ต่อมาคือ "บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO" ประกอบธุรกิจการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ของกลุ่มธุรกิจทางการเงินทิสโก้ โดยมีธนาคารทิสโก้เป็นหลัก ซึ่งได้รับอนุมัติให้เป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ
ปัจจุบันให้บริการทางด้านการเงินอันประกอบด้วย บริการสินเชื่อลูกค้ารายย่อยและสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม บริการสินเชื่อพาณิชย์ธนกิจ บริการเงินฝากรายย่อย บริการลูกค้าธนบดีธนกิจ บริการตัวแทนขายประกันผ่านธนาคาร บริการจัดการการเงินและบริการคัสโตเดียน
หุ้น TISCO ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง ROE เฉลี่ย 17.05% และเงินปันผลเฉลี่ย 7.61%
อันดับสามคือ "บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER" ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ผลตอบแทนปี 64-66 ROE เฉลี่ย 30.51% และเงินปันผลเฉลี่ย 7.13%
อันดับสี่ คือ "บริษัท ผลธัญญะ จำกัด (มหาชน) หรือ PHOL" ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม และผู้จัดจำหน่ายและให้บริการออกแบบ ผลิต รับก่อสร้าง ให้บริการเกี่ยวกับระบบบำบัดน้ำเพื่ออุปโภคและบริโภค ROE เฉลี่ย 18.50% และเงินปันผลเฉลี่ย 8.42%
และอันดับสุดท้าย คือ "บริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) หรือ TTW" ประกอบกิจการสาธารณูปโภคในการผลิตและจ่ายน้ำประปา ROE เฉลี่ย 20.82% และเงินปันผลเฉลี่ย 6.61%
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุนฝ่ายวิจัย บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวกับ "โพสต์ทูเดย์" ว่า จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้นมองว่าหุ้นที่น่าสนใจมากที่สุดคือ "TTW" ด้วยความเป็นหุ้นสาธารณูปโภค มีรายได้สม่ำเสมอ กำไรเฉลี่ยต่อปีแตะระดับ 3,000 ล้านบาท ค่าพี/อี 12-15 เท่า จ่ายปันผลต่อเนื่อง
จังหวะที่ราคาหุ้นย่อตัวลงมาแถว 8.40 บาทสะสมได้ แต่หากราคาปรับขึ้นไปทดสอบ 10.5 บาทขายทำกำไร ราคาเป้าหมายเฉลี่ยแถว 10 บาท
รองมาคือหุ้น "TISCO" ถือเป็นหุ้นปันผลสูงอีกหนึ่งตัว แต่ข้อเสียคือสัญญาณการเติบโตไม่เยอะ ด้วยธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับรถยนต์อาจยังเผชิญแรงกดดัน หากแต่นักลงทุนที่สนใจสามารถเล่นรอบ รอซื้อหลังขึ้นเครื่องหมาย XD ได้
อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนหนัก นักลงทุนควรเลือกหุ้น โดยควรให้ความสำคัญใน 4 ประเด็น ดังนี้คือ
เรื่องแรก คือ "เทรนด์กำไร" ถ้าหุ้นยังมีกำไรขาขึ้น กำไรเติบโตถือว่าดี ชอบหุ้น Growth
รองลงมา คือ "ราคาไม่แพง" เมื่อเติบโตแล้วต้องมีราคาสมเหตุผลเมื่อเทียบราคาในอดีตและกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน
เรื่องที่สาม คือ "กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีสตอรี่ขับเคลื่อน"
สุดท้าย คือ "ปันผลดี" ถือเป็นส่วนแถม หรือสตอรี่สั้นที่ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับหุ้น
หากพิจารณาทั้ง 4 ประเด็นสำคัญดังกล่าวข้างต้น มองว่ากลุ่มที่เข้าเกณฑ์ คือ "กลุ่มไฟแนนซ์" ด้วยสัญญาณดอกเบี้ยมีเพียงทรงตัวกับลดลง หากมีการประกาศลดดอกเบี้ย แน่นอนว่าหุ้นไฟแนนซ์สดใสและคุณภาพสินทรัพย์ทรงดีขึ้น ราคาไม่แพง พี/อี 10 กว่าเท่า หุ้นหลายตัวอยู่โซนเติบโต แนะนำ SAWAD
อีกกลุ่มที่น่าสนใจคือ "กลุ่มเทคโนโลยี คอนซัลแทนท์" เนื่องด้วยค่าพี/อีปรับตัวลงมาค่อนข้างมากจนน่าสนใจ แนะนำ BBIK
ท้ายที่สุดคือ "กลุ่มโรงพยาบาล" จากเดิมเล่นพี/อี 20-30 เท่า ปัจจุบันเหลือเพียง 10 กว่าเท่า ผลพวงจากปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากผู้ป่วยต่างชาติยังไม่จบเรื่องคูเวตว่าจะส่งคนเข้ามาโรงพยาบาลใดบ้าง
ขณะที่ปีนี้มีใช้ประกันแบบ "โคเพย์" (Co-pay หรือ Co-payment) คือรูปแบบของการประกันสุขภาพที่ผู้ถือกรมธรรม์ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายบางส่วนของค่ารักษาพยาบาลเมื่อเข้ารับบริการในสถานพยาบาลที่กำหนด โดยที่บริษัทประกันจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือ หุ้นที่น่าสนใจแนะนำ BH
Cr. https://www.posttoday.com/business/stockholder/720043