หลังจากนอนกรอกตามองเพดานมาตลอดวัน ความทรงจำวัยเด็กก็ย้อนกลับคืนมา เมื่อครั้งยังเป็นเด้กนักเรียนชั้นประถมต้น วันเสาร์อาทิตย์ถ้าแม่มีธุระก็มักจะทิ้งให้ฉันอยู่บ้านคนเดียว
จะว่าไปมันก็ไม่เชิงคนเดียวหรอก เพราะเพื่อนบ้านรอบ ๆ ล้วนเป็นแต่ญาติพี่น้องของฉันทั้งนั้น พี่ป้าน้าอาเต็มไปหมด สายตาหลายสิบคู่พร้อมจะจับจ้องมาที่ฉันเสมอ ด้วยเหตุนี้กระมังแม่ถึงกล้าปล่อยให้เด็กยังไม่ถึงสิบขวบดีนอนตีพุงดูโทรทัศน์คนเดียว
นอกจากการนอนดูรายการโปรดอันเป็นกิจกรรมที่ไม่ค่อยได้ทำ เพราะโดยปกติน้องชายมักจะยึดครองกรรมสิทธิ์ผูกขาดช่องการ์ตูนอยู่เสมอ อีกกิจกรรมที่ฉันชื่นชอบสุด ๆ นั่นก็คือการออกไปเดินเล่น พูดคุยกับญาติพี่น้องอยู่เสมอ โดยเฉพาะพี่ปุ้ยและพี่ปุ้ม เพียงแต่ในเวลานั้นพี่ปุ้มยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ นาน ๆ ครั้งจึงจะได้เจอเธอ พี่ปุ้ยเลยต้องรับบทพี่เลี้ยงเฉพาะกิจอย่างเลี่ยงไม่ได้
พี่สาวคนนี้แม้จะมีศักดิ์เป็นพี่แต่ถ้าเทียบอายุกันจริง ๆ ฉันควรจะเรียกเธอว่าน้ามากกว่า เธอมีอายุน้อยกว่าแม้ของฉันประมาณ 10 ปีเท่านั้นเอง ฉันชอบเธอมาก เธออารมณ์ดี และใจดีมาก(แม้จะน้อยกว่าพี่ปุ้มก็เถอะ) วันหนึ่งระหว่างที่ฉันช่วยเฝ้าร้านขายของชำของตาบุญอยู่ ซึ่งก็คือตาของที่ปุ้ยนั่นแหละ งานที่ทำก็ไม่ได้มีอะไรมาก ช่วยทอนเงิน เติมของเข้าตู้เย็น กวาดหน้าร้าน งานง่าย ๆ เท่าที่เด็กประถมจะทำได้ พี่ปุ้ยที่กลับมาจากข้างนอกเห็นฉันก็รีบร้องเรียกทันที
พี่ปุ้ยเดินลงจากมอเตอร์ไซค์คู่ใจตรงมาที่ฉัน สองมือหอบหิ้วถุงหลายใบ ทั้งธูปเทียน ดอกไม้ ไปจนถึงขนมหวานหลากชนิด ข้าวของสาระพัดจับจองพื้นที่บนม้านั่งไม้หน้าร้าน ยังไม่ทันจะได้ออกปากถามอะไร
“วันนี้วันพระ ตาให้พี่ไปซื้อของมาไหว้ศาลพระภูมิ เดี๋ยวพี่จะแบ่งไปไหว้ก่อนแล้วจะให้กินที่เหลือ” พี่ปุ้ยตอบกลับราวกับรู้ใจ ฉันน่ะไม่ได้สนใจอะไรนอกจากขนมชั้นชิ้นโตมันเยิ้ม
เมื่อได้ยินแบบนั้นฉันก็กระวีกระวาดช่วยเติมน้ำ เปลี่ยนแจกัน พร้อมทั้งเช็ดถูจนเรี่ยม ก่อนจะไปนั่งประนมมือขมุบขมิบปากตามพี่สาวอยู่ไม่ไกล
และแน่นอนขนมที่เหลือก็ตกเป็นลาภปากของฉัน ระหว่างนั่งจ้วงขนมอย่างเมามันอยู่นั้น พี่ปุ้ยก็หันซ้ายหันขวาก่อนจะกระซิบถาม
“เคยเห็นตูมตามมั้ย?”
ฉันพยักหน้ารับด้วยนึกไปถึงขนมกรุบกรอบหวานหอมซองละ 5 บาทที่อยู่ในตู้กระจกของตาบุญ
“เขามาเล่นด้วยเหรอ?” เสียงของพี่ปุ้ยดูตื่นเต้นมาก ๆ
“ข้างหลังนี่ไง” ฉันชี้นิ้วไปยังตู้กระจกใสที่อัดแน่นไปด้วยขนมหลากหลายยี่ห้อ
“ไม่ใช่ขนม…ตูมตามน่ะ…เด็กผู้ชายในบ้านเคยเห็นมั้ย?” พี่ปุ้ยหลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะร้องถามอีกครั้ง
หลังจากเห็นหน้าตาเหรอหราของฉัน พี่ปุ้ยก็คงจะเข้าใจทุกอย่างดี เธอค่อย ๆ เล่าเรื่องของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เด็กผู้ชายที่อาศัยอยู่ในบ้านของฉัน เด็กผู้ชายที่มักจะปรากฎตัวให้ใครต่อใครเห็น เด็กผู้ชายอารมณ์ดีที่เคยเป็นเพื่อนเล่นของพี่ปุ้ยในวัยเด็ก
“พี่ไม่รู้หรอกว่าเขาชื่ออะไร แต่พวกพี่เรียกว่าตูมตาม” เธอพูดออกมายิ้ม ๆ แววตาทั้งสองเป็นประกาย แม้ฉันจะยังเด็กมากในตอนนั้น แต่ใจหนึ่งฉันก็คิดว่าเธอกำลังแกล้งให้ฉันกลัว ให้ฉันไม่กล้าอยู่บ้านคนเดียว จะได้ออกมาช่วยเฝ้าร้านแบ่งเบาหน้าที่ของเธอ
“ตอนพี่เป็นเด็ก ๆ พี่ พี่ปุ้ม พี่ป้อม แล้วก็พี่ปิ๋วเคยเล่นกับเขาทั้งนั้น ถ้าไปแอบปีนต้นมะเฟืองเมื่อไหร่ล่ะก็เงยหน้าขึ้นไปก็ได้เจอทุกที” พี่สาวของฉันยังคงเล่าเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนตัวน้อยต่อ แถมยังอ้างชื่อญาติพี่น้องคนอื่น ๆ เข้ามาอีก
“ไม่เคยเห็นเลย ปีนกี่ครั้งก็ไม่เคยเห็น” ฉันรีบเถียงทันที นึกโมโหพี่สาวที่มาหลอกกันได้ ต้นมะเฟืองยักษ์หน้าบ้านน่ะฉันปีนมาเป็นร้อย ๆ ครั้ง แม้จะโดนห้ามโดนตีกี่ทีก็ไม่เข็ด เอาเป็นว่าถ้าทางสะดวกเมื่อไหร่ ฉันจะมักจะไปนั่งแกว่งขาที่ปลายกิ่งอวบอ้วนเสมอ
“นั่นน่ะสิ พี่ก็เลยสงสัยว่าไม่เคยเหรอ?” พี่ปุ้ยก้มหน้าลงมาถามเสียงจริงจัง
“ไม่เห็นจะมีเลย ไม่เคยเจอ อยู่คนเดียวก็ไม่เคยเห็น” ฉันยังคงยืนยันเสียงหนักแน่น
“พวกพี่เรียกเขาว่าตูมตาม” แม้ฉันจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เชื่อ แต่เธอก็ยังคงเล่าต่อ
“ชื่อมีตั้งเยอะ เขาไม่ชอบหรือเปล่าเลยหนีไปน่ะ” ฉันเอ่ยแซวติดตลก
“เขาชอบกินขนมตูมตาม”
“พี่รู้ได้ยังไง คุยกันรู้เรื่องเหรอ?”
“เขาเคยเข้าฝันที่ปุ้ยกับพี่ป้อม” พี่ปุ้ยเล่าเสียงจริงจัง
“เอาไว้ถ้าเขามาเข้าฝันหนูแล้วหนูจะถามให้นะ” และนั่นก็เป็นอันจบบทสนทนาเกี่ยวกับเด็กชายปริศนา
ฉันเองก็เริ่มจะลืมเรื่องราวในวันนั้นไปแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งที่แม่สั่งให้ฉันไปตามน้องชายที่กำลังเรียนชั้นอนุบาล 1 ที่กำลังเล่นอยู่กับญาติวัยไล่เลี่ยกันอยู่ใต้ต้นมะเฟืองหน้าบ้าน
ภาพเด็กชายตัวน้อย 2 คน กำลังชี้ไม้ชี้มือไปบนต้นมะเฟือง ทำให้ฉันต้องรีบเดินจ้ำไปดูด้วยกลัวว่าเด็กแสบทั้งสองจะสร้างเรื่องอะไรอีก
“ลงมา…ลงมา” เสียงตะโกนของน้อง ๆ ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่มองตามนิ้วป้อม ๆ ที่ชี้ขึ้นไปยอดไม้ หากแต่ไม่พบอะไรเลย บนต้นไม้ไม่มีอะไรสอดคล้องกับคำพูดของเด็ก ๆ เลย
ฉันพยายามกึ่งลากกึ่งจูงน้องทั้งสองให้ไปที่ครัว เสียงตะโกนของแม่แทรกขึ้นมาเป็นระยะ ร้องเรียกให้พวกเรารีบมากินข้าวเที่ยง ก่อนที่อาหารจะเย็นชืดไปเสียหมด
แต่เด็กชายทั้งสองไม่ให้ความร่วมมือเลย ยังคงสนใจแต่ยอดไม้อยู่นั่น เด็ก ๆ เริ่มหัวเราะเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ ตบมือตะโกนร้องเรียกให้ใครบางคน
ระหว่างนั้นเองแม่ที่คงจะหมดความอดทน ก็เดินถทึงหน้าตึงออกมา เมื่อเห็นแบบนั้นฉันก็รีบเอาตัวรอดฟ้องทุกอย่างทันที
แม่นิ่งไปก่อนจะมองตามไปบนยอดไม้ สองมือก็โอบไหลน้องชายและญาติเอาไว้คนละข้าง ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างที่ฉันแทบจะไม่เชื่อหูออกมา
“ให้น้องไปกินข้าวก่อนนะ แล้วแม่จะซื้อขนมมาให้” แม่เงยหน้าไปมองยอดไม้ พร้อมกับพูดออกมาเสียงอ่อนหวาน
น้อง ๆ ของฉันจะยอมเดินกลับเข้าบ้านไปพร้อมกับแม่ ฉันค่อย ๆ เหลือบตาขึ้นไปมองที่ต้นมะเฟืองอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่พบอะไรนอกจากความว่างเปล่า
ฉันพยายามค้นหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ แน่นอนเมื่อถามแม่แม่ก็ไม่ยอมเปิดปากเล่าอะไรให้ฉันฟัง หนำซ้ำยังบอกให้ฉันเลิกสนใจเรื่องไร้สาระ พร้อมทั้งบอกว่าถ้าว่างมากก็ให้ไปอ่านหนังสือเรียน
เมื่อทุกอย่างเป็นแบบนี้ ทางออกเดียวของฉันก็คือการสืบหาความจริงจากน้องชาย ฉันพยายามตะล่อมถามจากเขา แต่แน่นอนเด็ก 4 ขวบจะเล่าอะไรได้มากมาย
ฉันรู้เพียงแค่น้องชายของฉันมีเพื่อนลับ ๆ อีกคน ที่มักจะมาเล่นด้วยเสมอ บางครั้งก็มาวิ่งเล่นไล่จับ บางครั้งก็จะมาตีลังกาให้ดู และที่ที่เพื่อนปริศนาคนนั้นชอบอยู่นั่นก็คือยอดต้นมะเฟืองนั่นเอง
ฉันเริ่มปะติดปะต่อเพื่อนของน้องชายเข้ากับพี่ตูมตามเพื่อนวัยเด็กของพี่ปุ้ย แม้จะไม่รู้แน่ชัดแต่ฉันก็เริ่มมั่นใจว่าทั้งสองจะต้องเกี่ยวข้องกันแน่นอน
หลังจากนั้นเวลาถูกทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียว ฉันก็แทบจะไปสิงอยู่บ้านตาบุญเสมอ แม้ปากจะบอกว่าไม่ได้กลัว แต่หลาย ๆ ครั้งฉันก็รู้สึกวูบวาบเสมอยามอยู่ลำพังในบ้าน แม้ฉันจะยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตาพี่ตูมตามอย่างใคร ๆ แต่ก็เริ่มเชื่อและรับรู้ถึงการมีอยู่ของพี่เขาแล้ว
หลายปีผ่านไปพี่ตูมตามก็ยังไม่เคยโผล่หน้ามาให้ฉันเห็นสักครั้ง ประกอบกับหลัง ๆ มานี้น้องชายก็ไม่เคยพูดถึงเพื่อนคนนั้นอีกเลย พี่ตูมตามเลยเริ่มจะจางหายไปจากความทรงจำของฉัน
คืนหนึ่งระหว่างเก็บข้างของไปนอนเฝ้าย่าทวดที่กำลังป่วยหนักที่บ้านอีกหลัง ฉันจำได้ดีวันนั้นเป็นคืนที่พระจันทร์สวยมาก
แสงจันทร์สว่างจนท้องฟ้าแทบจะกลายเป็นสีฟ้า แสงเงาจันทร์กระทบต้นมะเฟืองประกอบกับเสาไฟจนแทบจะดูเหมือนกลางวันแสก ๆ ฉันยืนรอแม่ที่รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดนอกรั้ว แม่กำลังหอบหิ้วน้องชายพร้อมกับสาระพัดของเล่น ฉันเหลือบไปมองพระจันทร์กลมโตอีกครั้งฆ่าเวลา
หางตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง และเมื่อหันไปมองฉันก็แทบจะยืนไม่อยู่ เด็กชายอายุประมาณ 4 - 5 ขวบ กำลังยืนเท้าสะเอวยิ้มกว้างให้กับฉัน ฉันเห็นว่าเขากำลังหัวเราะร่วนออกมา แต่หูกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แขนขาก็แทบจะประคองตัวเองไม่อยู่
ฉันยืนอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้นจนแม่เดินมาสะกิด ตอนนั้นเองที่สมองกลับมาทำงานอีกครั้ง ฉันหลับตาแน่น ก่อนจะหันกลับไปยังกิ่งอวบที่ตอนนี้มีเพียงแสงจันทร์สาดกระทบอยู่
ฉันไม่พูดอะไรรีบคร่อมมอเตอร์ไซค์ ออกปากเร่งให้แม่รีบขับออกไปทันที ลมหนาวที่เย็นยะเยือกทำให้หัวใจของฉันเต้นระรัวมากกว่าเก่า ฉันนั่งมอเตอร์ไซค์ตัวแข็งทื่อไม่กล้าหันกลับไปมอง สมองที่มีอยู่น้อยนิดก็พยายามคิดร้อยแปดพันเก้า แต่ไม่ว่าอย่างไรชื่อของ “พี่ตูมตาม” เพื่อนปริศนาก็ยังโผล่ขึ้นมาทุกที
เพื่อนปริศนา
จะว่าไปมันก็ไม่เชิงคนเดียวหรอก เพราะเพื่อนบ้านรอบ ๆ ล้วนเป็นแต่ญาติพี่น้องของฉันทั้งนั้น พี่ป้าน้าอาเต็มไปหมด สายตาหลายสิบคู่พร้อมจะจับจ้องมาที่ฉันเสมอ ด้วยเหตุนี้กระมังแม่ถึงกล้าปล่อยให้เด็กยังไม่ถึงสิบขวบดีนอนตีพุงดูโทรทัศน์คนเดียว
นอกจากการนอนดูรายการโปรดอันเป็นกิจกรรมที่ไม่ค่อยได้ทำ เพราะโดยปกติน้องชายมักจะยึดครองกรรมสิทธิ์ผูกขาดช่องการ์ตูนอยู่เสมอ อีกกิจกรรมที่ฉันชื่นชอบสุด ๆ นั่นก็คือการออกไปเดินเล่น พูดคุยกับญาติพี่น้องอยู่เสมอ โดยเฉพาะพี่ปุ้ยและพี่ปุ้ม เพียงแต่ในเวลานั้นพี่ปุ้มยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ นาน ๆ ครั้งจึงจะได้เจอเธอ พี่ปุ้ยเลยต้องรับบทพี่เลี้ยงเฉพาะกิจอย่างเลี่ยงไม่ได้
พี่สาวคนนี้แม้จะมีศักดิ์เป็นพี่แต่ถ้าเทียบอายุกันจริง ๆ ฉันควรจะเรียกเธอว่าน้ามากกว่า เธอมีอายุน้อยกว่าแม้ของฉันประมาณ 10 ปีเท่านั้นเอง ฉันชอบเธอมาก เธออารมณ์ดี และใจดีมาก(แม้จะน้อยกว่าพี่ปุ้มก็เถอะ) วันหนึ่งระหว่างที่ฉันช่วยเฝ้าร้านขายของชำของตาบุญอยู่ ซึ่งก็คือตาของที่ปุ้ยนั่นแหละ งานที่ทำก็ไม่ได้มีอะไรมาก ช่วยทอนเงิน เติมของเข้าตู้เย็น กวาดหน้าร้าน งานง่าย ๆ เท่าที่เด็กประถมจะทำได้ พี่ปุ้ยที่กลับมาจากข้างนอกเห็นฉันก็รีบร้องเรียกทันที
พี่ปุ้ยเดินลงจากมอเตอร์ไซค์คู่ใจตรงมาที่ฉัน สองมือหอบหิ้วถุงหลายใบ ทั้งธูปเทียน ดอกไม้ ไปจนถึงขนมหวานหลากชนิด ข้าวของสาระพัดจับจองพื้นที่บนม้านั่งไม้หน้าร้าน ยังไม่ทันจะได้ออกปากถามอะไร
“วันนี้วันพระ ตาให้พี่ไปซื้อของมาไหว้ศาลพระภูมิ เดี๋ยวพี่จะแบ่งไปไหว้ก่อนแล้วจะให้กินที่เหลือ” พี่ปุ้ยตอบกลับราวกับรู้ใจ ฉันน่ะไม่ได้สนใจอะไรนอกจากขนมชั้นชิ้นโตมันเยิ้ม
เมื่อได้ยินแบบนั้นฉันก็กระวีกระวาดช่วยเติมน้ำ เปลี่ยนแจกัน พร้อมทั้งเช็ดถูจนเรี่ยม ก่อนจะไปนั่งประนมมือขมุบขมิบปากตามพี่สาวอยู่ไม่ไกล
และแน่นอนขนมที่เหลือก็ตกเป็นลาภปากของฉัน ระหว่างนั่งจ้วงขนมอย่างเมามันอยู่นั้น พี่ปุ้ยก็หันซ้ายหันขวาก่อนจะกระซิบถาม
“เคยเห็นตูมตามมั้ย?”
ฉันพยักหน้ารับด้วยนึกไปถึงขนมกรุบกรอบหวานหอมซองละ 5 บาทที่อยู่ในตู้กระจกของตาบุญ
“เขามาเล่นด้วยเหรอ?” เสียงของพี่ปุ้ยดูตื่นเต้นมาก ๆ
“ข้างหลังนี่ไง” ฉันชี้นิ้วไปยังตู้กระจกใสที่อัดแน่นไปด้วยขนมหลากหลายยี่ห้อ
“ไม่ใช่ขนม…ตูมตามน่ะ…เด็กผู้ชายในบ้านเคยเห็นมั้ย?” พี่ปุ้ยหลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะร้องถามอีกครั้ง
หลังจากเห็นหน้าตาเหรอหราของฉัน พี่ปุ้ยก็คงจะเข้าใจทุกอย่างดี เธอค่อย ๆ เล่าเรื่องของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เด็กผู้ชายที่อาศัยอยู่ในบ้านของฉัน เด็กผู้ชายที่มักจะปรากฎตัวให้ใครต่อใครเห็น เด็กผู้ชายอารมณ์ดีที่เคยเป็นเพื่อนเล่นของพี่ปุ้ยในวัยเด็ก
“พี่ไม่รู้หรอกว่าเขาชื่ออะไร แต่พวกพี่เรียกว่าตูมตาม” เธอพูดออกมายิ้ม ๆ แววตาทั้งสองเป็นประกาย แม้ฉันจะยังเด็กมากในตอนนั้น แต่ใจหนึ่งฉันก็คิดว่าเธอกำลังแกล้งให้ฉันกลัว ให้ฉันไม่กล้าอยู่บ้านคนเดียว จะได้ออกมาช่วยเฝ้าร้านแบ่งเบาหน้าที่ของเธอ
“ตอนพี่เป็นเด็ก ๆ พี่ พี่ปุ้ม พี่ป้อม แล้วก็พี่ปิ๋วเคยเล่นกับเขาทั้งนั้น ถ้าไปแอบปีนต้นมะเฟืองเมื่อไหร่ล่ะก็เงยหน้าขึ้นไปก็ได้เจอทุกที” พี่สาวของฉันยังคงเล่าเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนตัวน้อยต่อ แถมยังอ้างชื่อญาติพี่น้องคนอื่น ๆ เข้ามาอีก
“ไม่เคยเห็นเลย ปีนกี่ครั้งก็ไม่เคยเห็น” ฉันรีบเถียงทันที นึกโมโหพี่สาวที่มาหลอกกันได้ ต้นมะเฟืองยักษ์หน้าบ้านน่ะฉันปีนมาเป็นร้อย ๆ ครั้ง แม้จะโดนห้ามโดนตีกี่ทีก็ไม่เข็ด เอาเป็นว่าถ้าทางสะดวกเมื่อไหร่ ฉันจะมักจะไปนั่งแกว่งขาที่ปลายกิ่งอวบอ้วนเสมอ
“นั่นน่ะสิ พี่ก็เลยสงสัยว่าไม่เคยเหรอ?” พี่ปุ้ยก้มหน้าลงมาถามเสียงจริงจัง
“ไม่เห็นจะมีเลย ไม่เคยเจอ อยู่คนเดียวก็ไม่เคยเห็น” ฉันยังคงยืนยันเสียงหนักแน่น
“พวกพี่เรียกเขาว่าตูมตาม” แม้ฉันจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เชื่อ แต่เธอก็ยังคงเล่าต่อ
“ชื่อมีตั้งเยอะ เขาไม่ชอบหรือเปล่าเลยหนีไปน่ะ” ฉันเอ่ยแซวติดตลก
“เขาชอบกินขนมตูมตาม”
“พี่รู้ได้ยังไง คุยกันรู้เรื่องเหรอ?”
“เขาเคยเข้าฝันที่ปุ้ยกับพี่ป้อม” พี่ปุ้ยเล่าเสียงจริงจัง
“เอาไว้ถ้าเขามาเข้าฝันหนูแล้วหนูจะถามให้นะ” และนั่นก็เป็นอันจบบทสนทนาเกี่ยวกับเด็กชายปริศนา
ฉันเองก็เริ่มจะลืมเรื่องราวในวันนั้นไปแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งที่แม่สั่งให้ฉันไปตามน้องชายที่กำลังเรียนชั้นอนุบาล 1 ที่กำลังเล่นอยู่กับญาติวัยไล่เลี่ยกันอยู่ใต้ต้นมะเฟืองหน้าบ้าน
ภาพเด็กชายตัวน้อย 2 คน กำลังชี้ไม้ชี้มือไปบนต้นมะเฟือง ทำให้ฉันต้องรีบเดินจ้ำไปดูด้วยกลัวว่าเด็กแสบทั้งสองจะสร้างเรื่องอะไรอีก
“ลงมา…ลงมา” เสียงตะโกนของน้อง ๆ ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่มองตามนิ้วป้อม ๆ ที่ชี้ขึ้นไปยอดไม้ หากแต่ไม่พบอะไรเลย บนต้นไม้ไม่มีอะไรสอดคล้องกับคำพูดของเด็ก ๆ เลย
ฉันพยายามกึ่งลากกึ่งจูงน้องทั้งสองให้ไปที่ครัว เสียงตะโกนของแม่แทรกขึ้นมาเป็นระยะ ร้องเรียกให้พวกเรารีบมากินข้าวเที่ยง ก่อนที่อาหารจะเย็นชืดไปเสียหมด
แต่เด็กชายทั้งสองไม่ให้ความร่วมมือเลย ยังคงสนใจแต่ยอดไม้อยู่นั่น เด็ก ๆ เริ่มหัวเราะเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ ตบมือตะโกนร้องเรียกให้ใครบางคน
ระหว่างนั้นเองแม่ที่คงจะหมดความอดทน ก็เดินถทึงหน้าตึงออกมา เมื่อเห็นแบบนั้นฉันก็รีบเอาตัวรอดฟ้องทุกอย่างทันที
แม่นิ่งไปก่อนจะมองตามไปบนยอดไม้ สองมือก็โอบไหลน้องชายและญาติเอาไว้คนละข้าง ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างที่ฉันแทบจะไม่เชื่อหูออกมา
“ให้น้องไปกินข้าวก่อนนะ แล้วแม่จะซื้อขนมมาให้” แม่เงยหน้าไปมองยอดไม้ พร้อมกับพูดออกมาเสียงอ่อนหวาน
น้อง ๆ ของฉันจะยอมเดินกลับเข้าบ้านไปพร้อมกับแม่ ฉันค่อย ๆ เหลือบตาขึ้นไปมองที่ต้นมะเฟืองอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่พบอะไรนอกจากความว่างเปล่า
ฉันพยายามค้นหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ แน่นอนเมื่อถามแม่แม่ก็ไม่ยอมเปิดปากเล่าอะไรให้ฉันฟัง หนำซ้ำยังบอกให้ฉันเลิกสนใจเรื่องไร้สาระ พร้อมทั้งบอกว่าถ้าว่างมากก็ให้ไปอ่านหนังสือเรียน
เมื่อทุกอย่างเป็นแบบนี้ ทางออกเดียวของฉันก็คือการสืบหาความจริงจากน้องชาย ฉันพยายามตะล่อมถามจากเขา แต่แน่นอนเด็ก 4 ขวบจะเล่าอะไรได้มากมาย
ฉันรู้เพียงแค่น้องชายของฉันมีเพื่อนลับ ๆ อีกคน ที่มักจะมาเล่นด้วยเสมอ บางครั้งก็มาวิ่งเล่นไล่จับ บางครั้งก็จะมาตีลังกาให้ดู และที่ที่เพื่อนปริศนาคนนั้นชอบอยู่นั่นก็คือยอดต้นมะเฟืองนั่นเอง
ฉันเริ่มปะติดปะต่อเพื่อนของน้องชายเข้ากับพี่ตูมตามเพื่อนวัยเด็กของพี่ปุ้ย แม้จะไม่รู้แน่ชัดแต่ฉันก็เริ่มมั่นใจว่าทั้งสองจะต้องเกี่ยวข้องกันแน่นอน
หลังจากนั้นเวลาถูกทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียว ฉันก็แทบจะไปสิงอยู่บ้านตาบุญเสมอ แม้ปากจะบอกว่าไม่ได้กลัว แต่หลาย ๆ ครั้งฉันก็รู้สึกวูบวาบเสมอยามอยู่ลำพังในบ้าน แม้ฉันจะยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตาพี่ตูมตามอย่างใคร ๆ แต่ก็เริ่มเชื่อและรับรู้ถึงการมีอยู่ของพี่เขาแล้ว
หลายปีผ่านไปพี่ตูมตามก็ยังไม่เคยโผล่หน้ามาให้ฉันเห็นสักครั้ง ประกอบกับหลัง ๆ มานี้น้องชายก็ไม่เคยพูดถึงเพื่อนคนนั้นอีกเลย พี่ตูมตามเลยเริ่มจะจางหายไปจากความทรงจำของฉัน
คืนหนึ่งระหว่างเก็บข้างของไปนอนเฝ้าย่าทวดที่กำลังป่วยหนักที่บ้านอีกหลัง ฉันจำได้ดีวันนั้นเป็นคืนที่พระจันทร์สวยมาก
แสงจันทร์สว่างจนท้องฟ้าแทบจะกลายเป็นสีฟ้า แสงเงาจันทร์กระทบต้นมะเฟืองประกอบกับเสาไฟจนแทบจะดูเหมือนกลางวันแสก ๆ ฉันยืนรอแม่ที่รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดนอกรั้ว แม่กำลังหอบหิ้วน้องชายพร้อมกับสาระพัดของเล่น ฉันเหลือบไปมองพระจันทร์กลมโตอีกครั้งฆ่าเวลา
หางตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง และเมื่อหันไปมองฉันก็แทบจะยืนไม่อยู่ เด็กชายอายุประมาณ 4 - 5 ขวบ กำลังยืนเท้าสะเอวยิ้มกว้างให้กับฉัน ฉันเห็นว่าเขากำลังหัวเราะร่วนออกมา แต่หูกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แขนขาก็แทบจะประคองตัวเองไม่อยู่
ฉันยืนอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้นจนแม่เดินมาสะกิด ตอนนั้นเองที่สมองกลับมาทำงานอีกครั้ง ฉันหลับตาแน่น ก่อนจะหันกลับไปยังกิ่งอวบที่ตอนนี้มีเพียงแสงจันทร์สาดกระทบอยู่
ฉันไม่พูดอะไรรีบคร่อมมอเตอร์ไซค์ ออกปากเร่งให้แม่รีบขับออกไปทันที ลมหนาวที่เย็นยะเยือกทำให้หัวใจของฉันเต้นระรัวมากกว่าเก่า ฉันนั่งมอเตอร์ไซค์ตัวแข็งทื่อไม่กล้าหันกลับไปมอง สมองที่มีอยู่น้อยนิดก็พยายามคิดร้อยแปดพันเก้า แต่ไม่ว่าอย่างไรชื่อของ “พี่ตูมตาม” เพื่อนปริศนาก็ยังโผล่ขึ้นมาทุกที