


รายได้ปี 2566 2356.52 ลบ หักต้นทุนซึ่งเป็นค่าเสื่อม 500.87 ลบ (กำไรสุทธิ 1001 ลบ)
รายได้ปี 2567 2496.95 ลบ หักต้นทุนซึ่งเป็นค่าเสื่อม 736.81 ลบ (กำไรสุทธิ 897 ลบ)
ทำให้กำไรสุทธิทางบัญชีน้อยลง(จ่ายภาษีเงินได้น้อยลง) แต่จริงๆแล้วแบบนี้บริษัทได้ประโยชน์ถูกต้องไหมครับ เพราะค่าเสื่อมถูกบวกกลับไปที่กระแสเงินสด (ไม่ได้เป็นต้นทุนจริงๆ)
งบแบบปี 66 หรือ 67 แบบไหนเฮลตี้กว่ากันครับ (ในเชิงคุณภาพ)
วอนพี่ๆช่วยแนะนำด้วย หัดแกะงบครับ ปล อันนี้ฝึกดูมาจากหุ้น DMT เพราะรายการน้อยดีครับ
หัดอ่านงบ พี่ๆสอนหน่อยครับ
รายได้ปี 2566 2356.52 ลบ หักต้นทุนซึ่งเป็นค่าเสื่อม 500.87 ลบ (กำไรสุทธิ 1001 ลบ)
รายได้ปี 2567 2496.95 ลบ หักต้นทุนซึ่งเป็นค่าเสื่อม 736.81 ลบ (กำไรสุทธิ 897 ลบ)
ทำให้กำไรสุทธิทางบัญชีน้อยลง(จ่ายภาษีเงินได้น้อยลง) แต่จริงๆแล้วแบบนี้บริษัทได้ประโยชน์ถูกต้องไหมครับ เพราะค่าเสื่อมถูกบวกกลับไปที่กระแสเงินสด (ไม่ได้เป็นต้นทุนจริงๆ)
งบแบบปี 66 หรือ 67 แบบไหนเฮลตี้กว่ากันครับ (ในเชิงคุณภาพ)
วอนพี่ๆช่วยแนะนำด้วย หัดแกะงบครับ ปล อันนี้ฝึกดูมาจากหุ้น DMT เพราะรายการน้อยดีครับ