ไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดธรรมดาเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่พบบ่อย
และมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโรคเดียวกัน เนื่องจากมีอาการคล้ายคลึงกัน
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองโรคมีสาเหตุ อาการ ความรุนแรง และแนวทางการรักษาที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
วันนี้พี่หมอฝั่งธน..จะมาให้ความรู้
ไข้หวัดใหญ่ vs ไข้หวัดธรรมดา: ความแตกต่างที่ควรรู้
สาเหตุของโรคไข้หวัดธรรมดา และไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดธรรมดา (Common Cold) เกิดจากเชื้อไวรัสหลายชนิด โดยไวรัสที่พบได้บ่อยที่สุดคือ Rhinovirus แต่ไวรัสชนิดอื่น เช่น Coronavirus, Adenovirus, และ Parainfluenza virus ก็สามารถทำให้เกิดไข้หวัดได้
ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เกิดจากเชื้อไวรัส Influenza virus ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ชนิดหลัก ได้แก่
Influenza A (สามารถทำให้เกิดการระบาดใหญ่)
Influenza B (ทำให้เกิดโรคได้เช่นกันแต่มีการแพร่กระจายน้อยกว่า)
Influenza C (พบได้น้อยและมีอาการไม่รุนแรง)
การแพร่กระจายของโรค
ทั้งไข้หวัดธรรมดาและไข้หวัดใหญ่แพร่กระจายผ่านทางละอองฝอย (Droplets)
ที่เกิดจากการไอ จาม หรือสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ
แต่ไข้หวัดใหญ่มักแพร่ระบาดได้รวดเร็วกว่า โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่อากาศเย็นและแห้ง
อาการของโรค ไข้หวัดธรรมดา
มีอาการค่อยเป็นค่อยไป น้ำมูกไหล คัดจมูก ไอ เจ็บคอ จาม ปวดศีรษะเล็กน้อย มีไข้ต่ำหรือไม่มีไข้เลย
ไม่ค่อยมีอาการปวดเมื่อยตามตัว อาการมักหายภายใน 7-10 วัน
อาการของโรค ไข้หวัดใหญ่
อาการเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ไข้สูง (38-40 องศาเซลเซียส) หนาวสั่น ปวดศีรษะรุนแรง
ปวดเมื่อยตามตัวและกล้ามเนื้อ ไอแห้ง ๆ เจ็บคอ อ่อนเพลียมาก
ในบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสีย (พบมากในเด็ก)
อาการอาจรุนแรงและใช้เวลานานกว่า 2 สัปดาห์กว่าจะฟื้นตัวเต็มที่
ความรุนแรงของโรค
ไข้หวัดธรรมดามักมีอาการไม่รุนแรงและหายได้เองโดยไม่ต้องรักษาเป็นพิเศษ
ในขณะที่ไข้หวัดใหญ่อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ปอดบวม หลอดลมอักเสบ
หรือภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคปอดเรื้อรัง
แพทย์สามารถวินิจฉัยไข้หวัดธรรมดาและไข้หวัดใหญ่ได้จากประวัติอาการและการตรวจร่างกาย
แต่ในกรณีของไข้หวัดใหญ่ อาจมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น
การตรวจหาเชื้อไวรัสจากสารคัดหลั่งในโพรงจมูก (Rapid Influenza Diagnostic Test: RIDT)
การตรวจ RT-PCR ซึ่งให้ผลแม่นยำมากขึ้น
วิธีการรักษา ไข้หวัดธรรมดา ไม่มีวิธีรักษาเฉพาะสำหรับไข้หวัดธรรมดา การรักษามุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการ เช่น
ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานยาแก้ไข้ เช่น พาราเซตามอล
ใช้ยาแก้คัดจมูกและยาแก้ไอหากจำเป็น
วิธีการรักษา ไข้หวัดใหญ่ การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ
ในผู้ป่วยทั่วไป อาจใช้ยาต้านไวรัส เช่น Oseltamivir (Tamiflu) หรือ Zanamivir ภายใน 48 ชั่วโมงหลังมีอาการ
เพื่อลดระยะเวลาการป่วย
ในผู้ที่มีภาวะเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้ที่มีโรคเรื้อรัง ควรพบแพทย์โดยเร็วเพื่อลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
พักผ่อนและดื่มน้ำมาก ๆ หลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะไข้หวัดใหญ่เกิดจากไวรัส ไม่ใช่แบคทีเรีย
วิธีป้องกัน ไข้หวัดธรรมดา ล้างมือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า จมูก และปาก
หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้ป่วย รักษาสุขภาพให้แข็งแรงด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกาย
วิธีป้องกัน ไข้หวัดใหญ่ ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง
หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ใส่หน้ากากอนามัยหากมีอาการไอหรือจาม ล้างมือให้สะอาดเป็นประจำ
***แม้ว่าไข้หวัดธรรมดาและไข้หวัดใหญ่จะมีอาการที่คล้ายกัน
แต่ไข้หวัดใหญ่มีความรุนแรงมากกว่าและอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้
ดังนั้น การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างสองโรคนี้
รวมถึงการป้องกันด้วยวัคซีนไข้หวัดใหญ่ การดูแลสุขอนามัย และการรักษาที่เหมาะสม
จะช่วยลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วยและทำให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ
ความรู้เพิ่มเติม
https://www.tiktok.com/@thonburi_hospital/video/7472284813970394376


ไข้หวัดใหญ่ vs ไข้หวัดธรรมดา: ความแตกต่างที่ควรรู้
และมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโรคเดียวกัน เนื่องจากมีอาการคล้ายคลึงกัน
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองโรคมีสาเหตุ อาการ ความรุนแรง และแนวทางการรักษาที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
วันนี้พี่หมอฝั่งธน..จะมาให้ความรู้
ไข้หวัดธรรมดา (Common Cold) เกิดจากเชื้อไวรัสหลายชนิด โดยไวรัสที่พบได้บ่อยที่สุดคือ Rhinovirus แต่ไวรัสชนิดอื่น เช่น Coronavirus, Adenovirus, และ Parainfluenza virus ก็สามารถทำให้เกิดไข้หวัดได้
ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เกิดจากเชื้อไวรัส Influenza virus ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ชนิดหลัก ได้แก่
Influenza A (สามารถทำให้เกิดการระบาดใหญ่)
Influenza B (ทำให้เกิดโรคได้เช่นกันแต่มีการแพร่กระจายน้อยกว่า)
Influenza C (พบได้น้อยและมีอาการไม่รุนแรง)
ทั้งไข้หวัดธรรมดาและไข้หวัดใหญ่แพร่กระจายผ่านทางละอองฝอย (Droplets)
ที่เกิดจากการไอ จาม หรือสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ
แต่ไข้หวัดใหญ่มักแพร่ระบาดได้รวดเร็วกว่า โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่อากาศเย็นและแห้ง
มีอาการค่อยเป็นค่อยไป น้ำมูกไหล คัดจมูก ไอ เจ็บคอ จาม ปวดศีรษะเล็กน้อย มีไข้ต่ำหรือไม่มีไข้เลย
ไม่ค่อยมีอาการปวดเมื่อยตามตัว อาการมักหายภายใน 7-10 วัน
อาการของโรค ไข้หวัดใหญ่
อาการเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ไข้สูง (38-40 องศาเซลเซียส) หนาวสั่น ปวดศีรษะรุนแรง
ปวดเมื่อยตามตัวและกล้ามเนื้อ ไอแห้ง ๆ เจ็บคอ อ่อนเพลียมาก
ในบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสีย (พบมากในเด็ก)
อาการอาจรุนแรงและใช้เวลานานกว่า 2 สัปดาห์กว่าจะฟื้นตัวเต็มที่
ไข้หวัดธรรมดามักมีอาการไม่รุนแรงและหายได้เองโดยไม่ต้องรักษาเป็นพิเศษ
ในขณะที่ไข้หวัดใหญ่อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ปอดบวม หลอดลมอักเสบ
หรือภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคปอดเรื้อรัง
แพทย์สามารถวินิจฉัยไข้หวัดธรรมดาและไข้หวัดใหญ่ได้จากประวัติอาการและการตรวจร่างกาย
แต่ในกรณีของไข้หวัดใหญ่ อาจมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น
การตรวจหาเชื้อไวรัสจากสารคัดหลั่งในโพรงจมูก (Rapid Influenza Diagnostic Test: RIDT)
การตรวจ RT-PCR ซึ่งให้ผลแม่นยำมากขึ้น
ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานยาแก้ไข้ เช่น พาราเซตามอล
ใช้ยาแก้คัดจมูกและยาแก้ไอหากจำเป็น
วิธีการรักษา ไข้หวัดใหญ่ การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ
ในผู้ป่วยทั่วไป อาจใช้ยาต้านไวรัส เช่น Oseltamivir (Tamiflu) หรือ Zanamivir ภายใน 48 ชั่วโมงหลังมีอาการ
เพื่อลดระยะเวลาการป่วย
ในผู้ที่มีภาวะเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้ที่มีโรคเรื้อรัง ควรพบแพทย์โดยเร็วเพื่อลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
พักผ่อนและดื่มน้ำมาก ๆ หลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะไข้หวัดใหญ่เกิดจากไวรัส ไม่ใช่แบคทีเรีย
หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้ป่วย รักษาสุขภาพให้แข็งแรงด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกาย
วิธีป้องกัน ไข้หวัดใหญ่ ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง
หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ใส่หน้ากากอนามัยหากมีอาการไอหรือจาม ล้างมือให้สะอาดเป็นประจำ
***แม้ว่าไข้หวัดธรรมดาและไข้หวัดใหญ่จะมีอาการที่คล้ายกัน
แต่ไข้หวัดใหญ่มีความรุนแรงมากกว่าและอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้
ดังนั้น การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างสองโรคนี้
รวมถึงการป้องกันด้วยวัคซีนไข้หวัดใหญ่ การดูแลสุขอนามัย และการรักษาที่เหมาะสม
จะช่วยลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วยและทำให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ
ความรู้เพิ่มเติม
https://www.tiktok.com/@thonburi_hospital/video/7472284813970394376