JJNY : ปิยบุตรชำแหละเพื่อไทยวิธี│ส.ว.เทวฤทธิ์ชี้ถ้าสภาไม่ล่ม│“โรม”โพสต์ ปปช.เรียกรับทราบข้อกล่าวหา│เหนือ อีสาน อากาศเย็น

ปิยบุตร ชำแหละ เพื่อไทยวิธี ใช้อธิบายทุกเรื่องที่เพื่อไทย (ไม่)ทำ
https://www.matichon.co.th/politics/news_5050009

ปิยบุตร ชำแหละ เพื่อไทยวิธี ใช้อธิบายทุกเรื่องที่เพื่อไทย (ไม่)ทำ

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า 

[เพื่อไทยวิธี]
สุทิน คลังแสง และคณะ พยายามอธิบายว่า ประเด็นปัญหาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในรัฐสภาแบ่งแยกออกเป็น 3 จำพวก ได้แก่

ไม่แก้
ได้แก้
แก้ได้

โดยพวกเขา คือ พวก “แก้ได้” ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สำเร็จ พยายามหาหนทางแก้ไขให้ได้ หาก “เดินตรง” แล้วติดขัดมีอุปสรรค ก็ต้อง “เดินอ้อม” ไปเสียหน่อย เพื่อแก้ไขให้ได้ มิใช่ดันทุรัง “หัวชนกำแพง” เพื่อสักแต่จะบอกว่า “ได้แก้” แล้ว แต่สุดท้าย “แก้ไม่ได้”
ชุดคำอธิบายแบบนี้ มิใช่เป็นปรากฏการณ์ใหม่ พรรคเพื่อไทย เคยใช้คำอธิบายแบบนี้มาโดยตลอด

หลังเหตุการณ์ “ฆ่าหมู่กลางมหานคร” ในปี 2553 ประชาชนจำนวนมหาศาลเทคะแนนให้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ด้วยความคาดหวังว่า เมื่อพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล มีอำนาจเด็ดขาดแล้ว จะจัดการแก้ไขปัญหาสำคัญทางโครงสร้าง เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ การปฏิรูปกองทัพ และการนำผู้กระทำความผิดจากกรณีสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ปี 53 มาดำเนินคดี เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อพรรคเพื่อไทยมีอำนาจ อารมณ์แบบฮึกเหิม ปลุกระดม เหมือนตอนหาเสียง ก็ค่อยๆหายไปทันที คำว่า “แก้ไข ไม่แก้แค้น” ขึ้นมาแทนที่
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นผู้บัญชาการทหารบก

จ่ายเงินเยียวยาผู้เสียหายจากการสลายการชุมนุม แต่การดำเนินคดีผู้กระทำความผิดไม่คืบหน้า

พยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญมาจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ แต่ศาลรัฐธรรมนูญขัดขวางด้วยการแนะนำแทรกเข้าไปหนึ่งประโยคในคำวินิจฉัยว่าควรไปทำประชามติ พรรคเพื่อไทยยอมถอยครั้งที่ 1 เปลี่ยนไปแก้ไขรายมาตราในหลายประเด็น เช่น เปลี่ยนที่มาของสมาชิกวุฒิสภา เป็นต้น แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็ขวางอีก บอกว่าเป็นการได้มาซึ่งอำนาจโดยวิถีทางไม่เป็นประชาธิปไตย คราวนี้พรรคเพื่อไทยถอยอีก นายกรัฐมนตรีไปขอนำร่างฯที่อยู่ในขั้นตอนการลงพระปรมาภิไธยกลับคืนมา ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญไม่ได้ให้ทำเช่นนั้น สุดท้าย การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อไปสู่การทำรัฐธรรมนูญใหม่ก็ไม่เกิดขึ้น

คนของรัฐบาลพยายามบอกว่าการลงนามให้สัตยาบันธรรมนูญกรุงโรม ทำไม่ได้
ข้อเสนอการลบล้างผลพวงรัฐประหารของคณะนิติราษฎร์ พรรคเพื่อไทยไม่สนใจ แต่เลือกใช้การตรากฎหมายนิรโทษกรรม “เหมาเข่ง” แบบไปลงมติกันในสภา “ลักหลับ สุดซอย” กันช่วงดึกดื่น

สุดท้าย ก็จบด้วยการรัฐประหาร

ในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2566 ช่วงท้ายๆ แกนนำและคณะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อไทย พยายามชูธงเรื่องการจัดการมรดกคณะรัฐประหาร การแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะจัดการเรื่องคดีเกี่ยวกับการแสดงออกทางการเมือง ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อต้องการคะแนนเสียงจากฝ่ายก้าวหน้า ในขณะที่แกนนำพรรคเพื่อไทยหลายคน พูดหลายครั้งในทำนองว่า พรรคก้าวไกล เพ้อฝัน สุดท้ายทำอะไรไม่ได้ ไปได้แค่ยอดมะพร้าว แต่พรรคเพื่อไทย อยู่บนความเป็นจริง และมีโอกาสทำสำเร็จ

สุดท้าย ณ วันนี้ ผลเป็นอย่างไร ก็เห็นกันอยู่
ยกเลิกเกณฑ์ทหารภาคบังคับ – ไม่มี
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ – ไม่มี
การลบล้างผลพวงรัฐประหาร – ไม่มี
การนิรโทษกรรมคดีเกี่ยวกับการแสดงออกทางการเมือง – ไม่มี ขนาดแค่รายงานคณะกรรมาธิการวิสามัญ ที่พวกตนเองเสนอ ยังกระโดษหนีกันเกือบยกพรรค

การนำเรื่อง 112 มาพูดกันในสภา – ไม่มี มีแต่ออกตัวทุกวัน 3 เวลา หลังอาหาร ว่า ไม่แตะต้องๆๆ
การหาวิธีปล่อยตัวชั่วคราว คดี 112 – ไม่มี
แต่มี

รัฐบาล “ข้ามขั้ว”

คุณทักษิณ ชินวัตร ได้กลับมาบ้าน ได้อภัยโทษ ไม่ต้องคิดคุกแม้แต่วันเดียว
และคุณ แพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรี
พรรคเพื่อไทยจะส่งตัวแทนที่ในชีวิตมีประวัติการต่อสู้อยู่บ้าง ออกมาร่ายเวทมนตร์คาถาประเภท
“พี่เจ็บมาก่อน พี่รู้ดี”
“ดันทุรังทำไปทำไม ในเมื่อมันทำไม่ได้ หาวิธีอื่น เรื่องอื่นที่พอทำได้ดีกว่า”
“เข้าไปมีอำนาจก่อน อย่างน้อยก็ได้ทำ ดีกว่าพูดไปแล้วก็เป็นได้แค่เรื่องเพ้อฝัน ไม่มีอำนาจทำ”
“คนแบบพวกพี่ ผ่านการต่อสู้มา ทำไมจะไม่คิดเรื่องการต่อสู้ แต่เราต้องอยู่กับความเป็นจริง หาโอกาสเข้าไปทำก่อนทีละน้อย”
“ต้องกินข้าวทีละคำ”
เป็นต้น

มาวันนี้ ข้ออ้างเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็กลับมาวนเวียนกันอยู่กับคำอธิบายแบบเดิม
 
ทั้งหมด เพื่อยืนยันว่า พรรคเพื่อไทย คือ พรรคที่ยืนอยู่บนความเป็นจริง หาหนทางเท่าที่มี ทำเท่าที่ได้
 
ชุดคำอธิบายแบบนี้ ปรับให้ทันสมัยด้วยการขายพ่วงมากับ “การเมือง 3 ก๊ก” ผลักฝ่ายหนึ่ง ให้เป็นพวกอนุรักษ์นิยม ล้าหลัง ผลักอีกฝ่ายหนึ่ง ให้เป็นพวกก้าวหน้า สุดโต่ง ส่วนพวกตนเอง คือ พวกที่มีจุดยืนประชาธิปไตยเหมือนเดิม แต่มีประสบการณ์ รู้เหมาะรู้ประมาณ ประนีประนอมเพื่อเข้าไปมีอำนาจ
ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาก็อยู่ในพวกอนุรักษ์นิยม ล้าหลังสวามิภักดิ์กลับเจ้าของใบอนุญาตที่ 2 เพียงแต่ เล่นบทให้ต่างกัน
พรรคเพื่อไทยจะใช้ “เพื่อไทยวิธี” แบบนี้ ไปตลอด ใช้อธิบายกับทุกๆเรื่องที่พรรคเพื่อไทย (ไม่)ทำ
จนกระทั่งนำไปหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า
 
ประชาชนต้องรู้เท่าทัน “เพื่อไทยวิธี”

ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ประชาธิปไตยแบบผู้แทน ณ เวลานี้ คำว่า “แบบรัฐสภา” และ “แบบผู้แทน” ซึ่งเป็นคำคุณศัพท์ขยายคำว่า “ประชาธิปไตย” กำลังกลืนกิน “ประชาธิปไตย” จนหมดตัว
 
พวกนักการเมือง พรรคการเมือง ผู้แทน เห็นประชาชนเป็นเพียง “จำนวนนับ” ที่ทำให้ เขาได้มีอำนาจ
 
เมื่อไรที่ต้องการ “ประชาชน” เป็น “สะพาน” ให้พวกเขาเหยียบข้ามผ่านเข้าสู่อำนาจ พวกเขาก็เข้าหา “ประชาชน”
แต่เมื่อมีอำนาจ ก็ไม่ทำ โดยอ้างสารพัดเหตุผลว่า ทำไม่ได้ ติดขัดที่พรรคร่วม ติดขัดที่พรรคฝ่ายค้าน ติดขัดที่วุฒิสภา ติดขัดที่นักร้อง ติดขัดที่เดี๋ยวโดนร้องว่าผิดจริยธรรม ติดขัดที่องค์กรอิสระ ติดขัดที่ศาลรัฐธรรมนูญ ติดขัดที่ระบบราชการ ติดขัดที่กองทัพ ติดขัดที่รัฐประหาร
ทั้งหมดเพื่อรักษาสถานะให้พวกเขาได้เป็น ส.ส.ได้เป็นรัฐมนตรี ได้เป็นรัฐบาลต่อไป
 
การเมือง คือ ความเป็นไปได้
 
นักการเมืองที่ปวารณาตัวเป็นผู้แทนประชาชน ต้องเป็นตัวแทนของประชาชนเข้าไปขีดเส้นความเป็นไปไม่ได้ใหม่ๆ
ประชาชนไม่ต้องการนักการเมืองที่เพียรพยายามหาข้ออ้างเพื่อบอกว่า “เป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้”
ถ้ามีนักการเมืองที่ต้องการอยู่ในอำนาจไปเรื่อยๆ หลายๆปี ประกอบอาชีพนักการเมืองไปจนตาย ไม่กล้าทำอะไร เพราะ กลัวโดนตัดสิทธิ กลัวโดนร้อง สุดท้าย ประชาชนจะมีนักการเมืองเหล่านี้ไปทำไม
 
เราต้องการนักการเมืองที่กล้าหาญ ขยับเส้นวงกลมที่ปิดล้อมอยู่ให้กว้างออกไป
เราต้องการนักการเมืองที่เป็น “กองหน้า” ประชาชน สร้างความเป็นไปได้ใหม่
หมดเวลาของนักการเมืองที่ต้องการรักษาโครงสร้างสถานะอำนาจเดิม รักษา status quo
 
การเมืองวันนี้ ไม่มี 3 ก๊ก
มีแค่ 2 ขั้ว
ขั้วพลังเก่า ล้าหลัง สวามิภักดิ์ใบอนุญาตที่ 2 เพื่อขออยู่ในอำนาจ (แต่แสดงบทบาทในโรงละครต่างกันไป)
กับ
ขั้วพลังใหม่ ก้าวหน้า ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจการเมืองให้ได้สมดุล
 
https://www.facebook.com/PiyabutrOfficial/posts/pfbid026Ve6tc3qN8GuGzzMaF8WX6opZqHrB9YVfUeHNFtJD2hXLFP4yMzmiNvYJ9WxTW5Ul
 

 
ส.ว.เทวฤทธิ์ ชี้ถ้าสภาไม่ล่ม รัฐสภาได้อภิปราย อาจหนุนเสริม พิสูจน์ความตั้งใจของรบ.ก็ได้
https://www.matichon.co.th/politics/news_5049993

ส.ว.เทวฤทธิ์ รับคาใจ รบ.ตั้งใจแก้รธน.ไหม? มองถ้าสภาไม่ล่ม การอภิปรายอาจหนุนเสริมนนโยบายนี้ก็ได้ 
 
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ได้โพสต์ผ่านเฟสบุ๊ก เรื่อง [ 3 ข้อถึงรัฐบาล-เพื่อไทย ต้องพิสูจน์ความตั้งใจแก้รัฐธรรมนูญ ] แสดงความคิดเห็นกรณีภายหลังที่ประชุมรัฐสภาล่ม เป็นวันที่ 2 ระหว่างการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่..) พ.ศ. … โดยมีเนื้อหาดังนี้
 
1. ถ้าไม่ชิงนับองค์ประชุม (แถมคนในพรรคตัวเองไม่แสดงตัว) เพื่อทำให้องค์ประชุมล่มก่อน ส.ส. ส.ว. ก็อาจได้มีโอกาสอภิปรายให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ โดยท้ายที่สุดตอนลงมติถ้าไม่ครบองค์ประชุมก็ลงมติไม่ได้อยู่ดี
แต่ผลที่ได้จะช่วยหนุนเสริมนโยบายที่รัฐบาลต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญของประชาชน ‘ทันที’ และ ‘โดยเร็ว’ มากขึ้น
 
2. ข้ออ้างเรื่องหากให้เสนอญัตติหากตกไปจะไม่สามารถเสนอได้อีกในสมัยประชุมนี้ ก็อย่างที่บอกในข้อ 1 หากองค์ประชุมไม่ครบก็ลงมติไม่ได้ และสมัยประชุมนี้ก็จะสิ้นในต้นเดือนเมษา คำถามคือระหว่างนี้เราคงได้คอยพิสูจน์ว่า เพื่อไทยจะไม่ทำให้ 2 วันนี้เสียเปล่าอย่างไร
 
และหากเสนอญัตติให้ส่งรัฐสภาส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย (อีกแล้ว) ตามแนวเพื่อไทย ศาลจะรับและมีคำวินิจฉัยก่อนปิดสมัยประชุมนี้หรือไม่ เดทไลน์ต้องก่อน 10 เมษา เพราะไหนจะต้องนัดหมายประชุมอีก
 
ส่วนสมัยประชุมต่อไปเริ่ม 3 กรกฎาคม 2568 หรือ 3 เดือนหลังจากปิดสมัยประชุมนี้ ต่อให้อยู่ดีๆ หลังอภิปรายแล้ว ส.ส. ส.ว. ดันโผล่มาเป็นองค์ประชุมครบแล้วลงมติไม่ผ่านก็ยื่นเข้ามาสมัยหน้าได้ เพราะถึงอย่างไร ก็ต้องรอ พ.ร.บ.ประชามติ ที่จะครบ 180 วันราวเดือนกรกฎาคม เพื่อให้ ส.ส.ลงมติยืนยันหลักเสียงข้างมากชั้นเดียวเพื่อประกาศใช้อยู่ดี
 
3.ข้ออ้างเรื่อง “ได้แก้” กับ “แก้ได้” ซึ่งเพื่อไทยโดยคุณสุทินว่า อยากพูดคำว่าแก้รัฐธรรมนูญได้มากกว่า อันนี้ถ้าเป็นเรื่องฉุกเฉินพอเข้าใจได้ แต่เรื่องจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่อยู่ในนโยบายของรัฐบาลทั้งเศรษฐาและแพทองธาร คำถามที่เราคาใจที่ผ่านมามีความพยายามอะไรของรัฐบาลที่พิสูจน์ให้เราเห็นได้บ้างว่า นี่ล่ะคือสิ่งที่เรียกว่ารัฐบาลอยากให้แก้ได้จริงๆ

https://www.facebook.com/bus.tewarit/posts/pfbid03v2KvAxkvwGeh4ZgaQvHAdRiFgWYVoDX89H5KkUtP5goXoh6SkETnK3vzMRJXiQpl
 

 
“โรม” โพสต์ปปช.เรียก “อดีต44สส.ก้าวไกล” รับทราบข้อกล่าวหาแก้112
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_841671/

“โรม” โพสต์ หนังสือลับ ปปช.เรียก”อดีต 44 สส.ก้าวไกล” รับทราบข้อกล่าวหา ลงชื่อแก้ ม.112
 
นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ได้โพสต์ ภาพหนังสือลับ จากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอเชิญให้ไปรับทราบข้อกล่าวหากรณีอดีต 44 สส.พรรคก้าวไกล ลงชื่อเสนอแก้ไข ม.112 พร้อมข้อความ ผ่านเฟซบุ๊ค “Rangsiman Rome – รังสิมันต์ โรม” ระบุว่า 

ผมไม่สามารถเข้าใจได้ว่า

การเข้าชื่อเสนอเพื่อแก้กฎหมายมันจะเป็นความผิดได้อย่างไร ในเมื่ออำนาจนี้เป็นอำนาจหน้าที่ของ สส. รวมถึงก็ไม่มีบทบัญญัติใดๆ แห่งกฎหมายที่ระบุว่าการเข้าชื่อเสนอเพื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จะไม่สามารถทำได้ นอกจากนี้ การหาเสียงของพวกเราอดีตพรรคก้าวไกล ก็มีการส่งให้กับคณะกรรมการเลือกตั้งอีกด้วย ผมยืนยันในการทำหน้าที่ของพวกเราว่าไม่มีทางที่จะผิดต่อมาตรฐานจริยธรรมอย่างแน่นอน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่