มะเร็งปากมดลูก เป็นอีกหนึ่งมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านม และถือว่าเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพผู้หญิง โดยพบว่าในประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกเฉลี่ยวันละ 14 คน เพราะฉะนั้นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะช่วยหาความผิดปกติได้ตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อหาทางป้องกันและดูแลรักษาที่เหมาะสม
สาเหตุของ มะเร็งปากมดลูก
สาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูก 90% คือการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) ชนิดก่อมะเร็ง (Oncogenic HPV) หรือชนิดความเสี่ยงสูง (High-Risk) ซึ่งการติดเชื้อไวรัส HPV ส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์และการติดเชื้อดังกล่าวแบบคงอยู่นาน (Persistent Infection) กลายเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งปากมดลูก
เชื้อ HPV มีระยะฟักตัวตั้งแต่ 6 สัปดาห์ถึง 8 เดือน โดยทั่วไปการติดเชื้อไวรัส HPV มักอยู่ไม่นาน (Transient Infection) และส่วนใหญ่จะหายไปภายใน 12 เดือน ส่วนการติดเชื้อไวรัส HPV แบบคงอยู่นาน (Persistent Infection) จะทำให้เซลล์เยื่อบุปากมดลูกมีโอกาสกลายรูปผิดปกติได้ โดยระยะเวลาเฉลี่ยจากการติดเชื้อ HPV จนกลายเป็นมะเร็งจะใช้เวลาประมาณ 10-15 ปี
ปัจจัยเสี่ยง
🏥 ปัจจัยเสี่ยงทางนรีเวช : มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย มีเพศสัมพันธ์กับชายหลายคน มีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เคยตั้งครรภ์หรือมีลูกหลายคน เคยรับประทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน และไม่ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
🏥 ปัจจัยเสี่ยงจากฝ่ายชาย : สามีเป็นมะเร็งองคชาต สามีเคยมีภรรยาเป็นมะเร็งปากมดลูกมาก่อน สามีมีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สามีมีคู่นอนหลายคน
🏥 ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ : การสูบบุหรี่ ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เศรษฐานะต่ำหรือเข้าถึงบริการทางการแพทย์ไม่ทั่วถึง และขาดสารอาหารบางชนิด
การป้องกันและลดความเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูก สามารถป้องกันได้ เนื่องจากระยะเวลาตั้งแต่การติดเชื้อไวรัส HPV แบบคงอยู่นาน กระทั่งส่งผลให้เซลล์เยื่อบุปากมดลูกกลายเป็นมะเร็ง ใช้เวลาประมาณ 10-15 ปี ทำให้มีโอกาสตรวจพบระยะก่อนมะเร็ง (Precancerous Lesion) และสามารถรักษาก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็งได้ทันท่วงที
โดยสามารถแบ่งเป็นระดับได้ดังนี้
🦠
ระดับที่ 1 Primary Prevention
ป้องกันสาเหตุที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก หรือป้องกันไม่ให้ปากมดลูกติดเชื้อ HPV ได้แก่ ใช้ถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์ มีคู่นอนคนเดียว และการฉีดวัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูก
🦠
ระดับที่ 2 Secondary Prevention
การตรวจหาและรักษาความผิดปกติในระยะก่อนมะเร็ง (Precancerous) ได้แก่ การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap Smear) และการตรวจหาเชื้อ HPV สายพันธุ์ก่อมะเร็ง (HPV DNA Testing)
🦠
ระดับที่ 3 Tertiary Prevention
การรักษาผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกเพื่อให้หายจากโรค และรักษาแบบประคับประคอง เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี
อาการของ มะเร็งปากมดลูก
อาการของผู้ป่วยจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับระยะของโรค โดยอาการที่อาจพบได้ในผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก ได้แก่ มีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ เลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ ตกขาวผิดปกติ ตกขาวปนเลือด และหากมะเร็งลุกลามมากขึ้น ผู้ป่วยอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ขาบวม ต่อมน้ำเหลืองโต ไตวาย ปัสสาวะหรือ อุจจาระเป็นเลือด
วิธีการรักษามะเร็งปากมดลูก
🏥 การผ่าตัด (Surgical Treatment) ส่วนใหญ่ใช้กับผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกระยะที่ 1 และระยะที่ 2 บางราย
🏥 รังสีรักษา (Radiation Therapy) รักษาได้กับทุกระยะของมะเร็งปากมดลูก
🏥 เคมีบำบัด (Chemotherapy) รักษามะเร็งในระยะลุกลามมาก หรือมีการกลับเป็นซ้ำ
🏥 การรักษาร่วม (Combined Treatment) เช่น การให้ยาเคมีบำบัดพร้อมกับรังสีรักษา ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานในการรักษามะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม การ
🏥 รักษาด้วยเคมีบำบัดก่อนการรักษาด้วยวิธีมาตรฐาน การให้รังสีรักษาหลังการผ่าตัด และการให้ยาเคมีบำบัดก่อนหรือหลังรังสีรักษา เป็นต้น
มะเร็งปากมดลูก สามารถป้องกันได้โดยการตรวจคัดกรอง (Pap Smear) และการตรวจหาเชื้อ HPV สายพันธุ์ก่อมะเร็ง เนื่องจากระยะเวลาตั้งแต่การติดเชื้อไวรัส HPV แบบคงอยู่นาน กระทั่งส่งผลให้เซลล์เยื่อบุปากมดลูกกลายเป็นมะเร็งปากมดลูกนั้น ใช้เวลาประมาณ 10-15 ปี ทำให้มีโอกาสตรวจพบระยะก่อนมะเร็ง (Precancerous Lesion) และสามารถรักษาก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็งได้ทันท่วงที ฉะนั้นการป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูกที่มีประสิทธิภาพและได้ผลดีที่สุด คือการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้บทความโดย
พญ. ชลิดา เรารุ่งโรจน์
สูติ-นรีเวชวิทยา - มะเร็งนรีเวชวิทยา
HPV จุดเริ่มต้น นำไปสู่ "มะเร็งปากมดลูก"
สาเหตุของ มะเร็งปากมดลูก
สาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูก 90% คือการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) ชนิดก่อมะเร็ง (Oncogenic HPV) หรือชนิดความเสี่ยงสูง (High-Risk) ซึ่งการติดเชื้อไวรัส HPV ส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์และการติดเชื้อดังกล่าวแบบคงอยู่นาน (Persistent Infection) กลายเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งปากมดลูก
เชื้อ HPV มีระยะฟักตัวตั้งแต่ 6 สัปดาห์ถึง 8 เดือน โดยทั่วไปการติดเชื้อไวรัส HPV มักอยู่ไม่นาน (Transient Infection) และส่วนใหญ่จะหายไปภายใน 12 เดือน ส่วนการติดเชื้อไวรัส HPV แบบคงอยู่นาน (Persistent Infection) จะทำให้เซลล์เยื่อบุปากมดลูกมีโอกาสกลายรูปผิดปกติได้ โดยระยะเวลาเฉลี่ยจากการติดเชื้อ HPV จนกลายเป็นมะเร็งจะใช้เวลาประมาณ 10-15 ปี
ปัจจัยเสี่ยง
🏥 ปัจจัยเสี่ยงทางนรีเวช : มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย มีเพศสัมพันธ์กับชายหลายคน มีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เคยตั้งครรภ์หรือมีลูกหลายคน เคยรับประทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน และไม่ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
🏥 ปัจจัยเสี่ยงจากฝ่ายชาย : สามีเป็นมะเร็งองคชาต สามีเคยมีภรรยาเป็นมะเร็งปากมดลูกมาก่อน สามีมีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สามีมีคู่นอนหลายคน
🏥 ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ : การสูบบุหรี่ ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เศรษฐานะต่ำหรือเข้าถึงบริการทางการแพทย์ไม่ทั่วถึง และขาดสารอาหารบางชนิด
การป้องกันและลดความเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูก สามารถป้องกันได้ เนื่องจากระยะเวลาตั้งแต่การติดเชื้อไวรัส HPV แบบคงอยู่นาน กระทั่งส่งผลให้เซลล์เยื่อบุปากมดลูกกลายเป็นมะเร็ง ใช้เวลาประมาณ 10-15 ปี ทำให้มีโอกาสตรวจพบระยะก่อนมะเร็ง (Precancerous Lesion) และสามารถรักษาก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็งได้ทันท่วงที
โดยสามารถแบ่งเป็นระดับได้ดังนี้
🦠 ระดับที่ 1 Primary Prevention
ป้องกันสาเหตุที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก หรือป้องกันไม่ให้ปากมดลูกติดเชื้อ HPV ได้แก่ ใช้ถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์ มีคู่นอนคนเดียว และการฉีดวัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูก
🦠 ระดับที่ 2 Secondary Prevention
การตรวจหาและรักษาความผิดปกติในระยะก่อนมะเร็ง (Precancerous) ได้แก่ การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap Smear) และการตรวจหาเชื้อ HPV สายพันธุ์ก่อมะเร็ง (HPV DNA Testing)
🦠 ระดับที่ 3 Tertiary Prevention
การรักษาผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกเพื่อให้หายจากโรค และรักษาแบบประคับประคอง เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี
อาการของ มะเร็งปากมดลูก
อาการของผู้ป่วยจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับระยะของโรค โดยอาการที่อาจพบได้ในผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก ได้แก่ มีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ เลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ ตกขาวผิดปกติ ตกขาวปนเลือด และหากมะเร็งลุกลามมากขึ้น ผู้ป่วยอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ขาบวม ต่อมน้ำเหลืองโต ไตวาย ปัสสาวะหรือ อุจจาระเป็นเลือด
วิธีการรักษามะเร็งปากมดลูก
🏥 การผ่าตัด (Surgical Treatment) ส่วนใหญ่ใช้กับผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกระยะที่ 1 และระยะที่ 2 บางราย
🏥 รังสีรักษา (Radiation Therapy) รักษาได้กับทุกระยะของมะเร็งปากมดลูก
🏥 เคมีบำบัด (Chemotherapy) รักษามะเร็งในระยะลุกลามมาก หรือมีการกลับเป็นซ้ำ
🏥 การรักษาร่วม (Combined Treatment) เช่น การให้ยาเคมีบำบัดพร้อมกับรังสีรักษา ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานในการรักษามะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม การ
🏥 รักษาด้วยเคมีบำบัดก่อนการรักษาด้วยวิธีมาตรฐาน การให้รังสีรักษาหลังการผ่าตัด และการให้ยาเคมีบำบัดก่อนหรือหลังรังสีรักษา เป็นต้น
มะเร็งปากมดลูก สามารถป้องกันได้โดยการตรวจคัดกรอง (Pap Smear) และการตรวจหาเชื้อ HPV สายพันธุ์ก่อมะเร็ง เนื่องจากระยะเวลาตั้งแต่การติดเชื้อไวรัส HPV แบบคงอยู่นาน กระทั่งส่งผลให้เซลล์เยื่อบุปากมดลูกกลายเป็นมะเร็งปากมดลูกนั้น ใช้เวลาประมาณ 10-15 ปี ทำให้มีโอกาสตรวจพบระยะก่อนมะเร็ง (Precancerous Lesion) และสามารถรักษาก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็งได้ทันท่วงที ฉะนั้นการป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูกที่มีประสิทธิภาพและได้ผลดีที่สุด คือการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง