มะเร็งปากมดลูก มะเร็งตัวร้ายที่ป้องกันได้
จากสถิติขององค์การอนามัยโลกในปี 2563 มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 4 ของผู้หญิงทั่วโลก ในปัจจุบันเราทราบว่าเชื้อ Human Papillomavirus หรือเชื้อ HPV เป็นสาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งปากมดลูก
ผู้หญิงทุกคนที่แต่งงานหรือมีเพศสัมพันธ์แล้วมีโอกาสติดเชื้อไวรัส HPV ได้ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่ภูมิคุ้มกันของร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อจะสามารถกำจัดเชื้อไวรัสออกไปได้โดยไม่ก่ออาการหรือโรค แต่บางคนอาจติดเชื้อซ้ำหรือร่างกายกำจัดไวรัสออกไปไม่หมด ทำให้พัฒนากลายเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกได้
ไวรัส HPV คืออะไร
ไวรัส HPV มีมากกว่า 200 สายพันธุ์ แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ
🔷
ไวรัส HPV กลุ่มที่มีความเสี่ยงน้อย (low-risk HPVs): ส่วนใหญ่ไม่ทำให้เกิดโรค แต่บางสายพันธุ์อาจทำให้เกิดหูดบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก ปากหรือลำคอ
🔷
ไวรัส HPV กลุ่มที่มีความเสี่ยงมาก (high-risk HPVs): มีอยู่ประมาณ 16 สายพันธุ์ โดยสายพันธ์ที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งมากที่สุดคือ สายพันธุ์ 16 และ 18
ไวรัส HPV ติดต่อกันได้อย่างไร
ประมาณ 85% ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะทางช่องคลอด ทางทวารหนักหรือทางปาก ทำให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนักและมะเร็งกล่องเสียงได้ อีก 15% อาจติดจากมือที่สัมผัสกับไวรัส และไปสัมผัสกับปากมดลูกที่มีแผลหรือมีรอยปริแยก ทำให้ไวรัสเข้าไปในปากมดลูก
สัญญาณเตือนของโรคมะเร็งปากมดลูกมีอะไรบ้าง
โรคมะเร็งปากมดลูกมักใช้เวลานานหลายปีกว่าจะพัฒนาจนแสดงอาการออกมา ผู้ป่วยมักมีอาการเมื่อเป็นมะเร็งในระยะที่ 2 ไปแล้ว โดยอาการมีดังนี้
🔷 มีเลือดออกผิดปกติ เช่น หลังการมีเพศสัมพันธ์ ประจำเดือนมากผิดปกติหรือนานกว่าปกติ เลือดออกหลังหมดประจำเดือน
🔷 มีตกขาวเพราะการอักเสบติดเชื้อ มีกลิ่น
🔷 หากมะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ผู้ป่วยอาจมีอาการ เช่น ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะมีเลือดปน ท้องเสีย มีเลือดออกทางทวารหนัก รู้สึกเจ็บปวดบริเวณท้อง/อุ้งเชิงกราน
ใครบ้างที่มีความเสี่ยง
ถึงแม้สาเหตุหลักในการเกิดมะเร็งปากมดลูกคือการติดเชื้อ HPV แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆที่ทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูกมากขึ้น ดังนี้
🔷 ผู้ที่ไม่ตรวจแปปสเมียร์ร่วมกับตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุกปี
🔷 มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันหรือมีคู่นอนหลายคน
🔷 สูบบุหรี่
🔷 มีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ เช่น ติดเชื้อ HIV
🔷 รับประทานยาคุมกำเนิดเป็นระยะเวลานาน
🔷 ตั้งครรภ์และมีบุตรมากกว่า 3 คนขึ้นไป
มีวิธีการรักษาโรคมะเร็งปากมดลูกอย่างไร
โรคมะเร็งปากมดลูกมีโอกาสในการรักษาให้หายสูง หากเจอตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม วิธีการรักษาแบ่งตามระยะที่พบโรค ดังนี้
-
ระยะก่อนมะเร็ง
ผู้ป่วยมีเซลล์ที่ผิดปกติแต่ยังไม่ได้พัฒนาเป็นมะเร็ง
🔷 เซลล์ผิดปกติในระยะที่ 1: รักษาด้วยการจี้ร้อนหรือจี้เย็น เพื่อทำลายเซลล์ที่ผิดปกติ
🔷 เซลล์ผิดปกติในระยะที่ 2 และ 3: รักษาด้วยการตัดปากมดลูกเป็นรูปกรวยเพื่อเอาเซลล์ที่ผิดปกติออกด้วยห่วงลวดไฟฟ้า เป็นการผ่าตัดเล็กและเจ็บปวดน้อย ไม่ได้ทำให้เสียความสามารถในการมีบุตร
-
ระยะเป็นมะเร็ง
การรักษาแบ่งตามระยะของมะเร็ง
🔷 มะเร็งระยะที่ 1: รักษาโดยการผ่าตัดและรังสีรักษา มีโอกาสหายประมาณ 80-85%
🔷 มะเร็งระยะที่ 2 และระยะที่ 3: เป็นระยะที่ลุกลามไปถึงอวัยวะข้างเคียง เนื้อเยื่อข้างๆตัวปากมดลูกหรือช่องคลอดต้นๆ รักษาโดยการใช้รังสีรักษาและเคมีบำบัด และในบางกรณีอาจต้องมีการผ่าตัด ในระยะ 2 มีโอกาสหาย 70-75% ในระยะ 3 โอกาสหายลดลดเหลือ 60-65%
🔷 มะเร็งระยะที่ 4: เป็นระยะลุกลาม มะเร็งมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะที่ไกลออกไป เช่น ตับหรือปอด รักษาโดยการใช้รังสีรักษาและเคมีบำบัด เป็นระยะที่รักษาได้ยากและอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด
โรคมะเร็งปากมดลูกป้องกันได้หรือไม่
โรคมะเร็งปากมดลูกสามารถป้องกันได้ ถึงแม้ป้องกันไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สามารถลดความเสี่ยงลงไปได้มาก ด้วยการป้องกันดังนี้
🔷 การฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ HPV ควรฉีดทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ควรฉีดก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกหรือตั้งแต่อายุ 9 ขวบขึ้นไป
🔷 การตรวจแปปสเมียร์ร่วมกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
🔷 ใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
🔷 งดสูบบุหรี่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้มะเร็งปากมดลูก มะเร็งตัวร้ายที่ป้องกันได้ ที่มา https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/january-2024/cervical-cancer-is-preventable
มะเร็งปากมดลูก มะเร็งตัวร้ายที่ป้องกันได้
จากสถิติขององค์การอนามัยโลกในปี 2563 มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 4 ของผู้หญิงทั่วโลก ในปัจจุบันเราทราบว่าเชื้อ Human Papillomavirus หรือเชื้อ HPV เป็นสาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งปากมดลูก
ผู้หญิงทุกคนที่แต่งงานหรือมีเพศสัมพันธ์แล้วมีโอกาสติดเชื้อไวรัส HPV ได้ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่ภูมิคุ้มกันของร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อจะสามารถกำจัดเชื้อไวรัสออกไปได้โดยไม่ก่ออาการหรือโรค แต่บางคนอาจติดเชื้อซ้ำหรือร่างกายกำจัดไวรัสออกไปไม่หมด ทำให้พัฒนากลายเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกได้
ไวรัส HPV คืออะไร
ไวรัส HPV มีมากกว่า 200 สายพันธุ์ แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ
🔷 ไวรัส HPV กลุ่มที่มีความเสี่ยงน้อย (low-risk HPVs): ส่วนใหญ่ไม่ทำให้เกิดโรค แต่บางสายพันธุ์อาจทำให้เกิดหูดบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก ปากหรือลำคอ
🔷 ไวรัส HPV กลุ่มที่มีความเสี่ยงมาก (high-risk HPVs): มีอยู่ประมาณ 16 สายพันธุ์ โดยสายพันธ์ที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งมากที่สุดคือ สายพันธุ์ 16 และ 18
ไวรัส HPV ติดต่อกันได้อย่างไร
ประมาณ 85% ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะทางช่องคลอด ทางทวารหนักหรือทางปาก ทำให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนักและมะเร็งกล่องเสียงได้ อีก 15% อาจติดจากมือที่สัมผัสกับไวรัส และไปสัมผัสกับปากมดลูกที่มีแผลหรือมีรอยปริแยก ทำให้ไวรัสเข้าไปในปากมดลูก
สัญญาณเตือนของโรคมะเร็งปากมดลูกมีอะไรบ้าง
โรคมะเร็งปากมดลูกมักใช้เวลานานหลายปีกว่าจะพัฒนาจนแสดงอาการออกมา ผู้ป่วยมักมีอาการเมื่อเป็นมะเร็งในระยะที่ 2 ไปแล้ว โดยอาการมีดังนี้
🔷 มีเลือดออกผิดปกติ เช่น หลังการมีเพศสัมพันธ์ ประจำเดือนมากผิดปกติหรือนานกว่าปกติ เลือดออกหลังหมดประจำเดือน
🔷 มีตกขาวเพราะการอักเสบติดเชื้อ มีกลิ่น
🔷 หากมะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ผู้ป่วยอาจมีอาการ เช่น ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะมีเลือดปน ท้องเสีย มีเลือดออกทางทวารหนัก รู้สึกเจ็บปวดบริเวณท้อง/อุ้งเชิงกราน
ใครบ้างที่มีความเสี่ยง
ถึงแม้สาเหตุหลักในการเกิดมะเร็งปากมดลูกคือการติดเชื้อ HPV แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆที่ทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูกมากขึ้น ดังนี้
🔷 ผู้ที่ไม่ตรวจแปปสเมียร์ร่วมกับตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุกปี
🔷 มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันหรือมีคู่นอนหลายคน
🔷 สูบบุหรี่
🔷 มีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ เช่น ติดเชื้อ HIV
🔷 รับประทานยาคุมกำเนิดเป็นระยะเวลานาน
🔷 ตั้งครรภ์และมีบุตรมากกว่า 3 คนขึ้นไป
มีวิธีการรักษาโรคมะเร็งปากมดลูกอย่างไร
โรคมะเร็งปากมดลูกมีโอกาสในการรักษาให้หายสูง หากเจอตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม วิธีการรักษาแบ่งตามระยะที่พบโรค ดังนี้
- ระยะก่อนมะเร็ง
ผู้ป่วยมีเซลล์ที่ผิดปกติแต่ยังไม่ได้พัฒนาเป็นมะเร็ง
🔷 เซลล์ผิดปกติในระยะที่ 1: รักษาด้วยการจี้ร้อนหรือจี้เย็น เพื่อทำลายเซลล์ที่ผิดปกติ
🔷 เซลล์ผิดปกติในระยะที่ 2 และ 3: รักษาด้วยการตัดปากมดลูกเป็นรูปกรวยเพื่อเอาเซลล์ที่ผิดปกติออกด้วยห่วงลวดไฟฟ้า เป็นการผ่าตัดเล็กและเจ็บปวดน้อย ไม่ได้ทำให้เสียความสามารถในการมีบุตร
- ระยะเป็นมะเร็ง
การรักษาแบ่งตามระยะของมะเร็ง
🔷 มะเร็งระยะที่ 1: รักษาโดยการผ่าตัดและรังสีรักษา มีโอกาสหายประมาณ 80-85%
🔷 มะเร็งระยะที่ 2 และระยะที่ 3: เป็นระยะที่ลุกลามไปถึงอวัยวะข้างเคียง เนื้อเยื่อข้างๆตัวปากมดลูกหรือช่องคลอดต้นๆ รักษาโดยการใช้รังสีรักษาและเคมีบำบัด และในบางกรณีอาจต้องมีการผ่าตัด ในระยะ 2 มีโอกาสหาย 70-75% ในระยะ 3 โอกาสหายลดลดเหลือ 60-65%
🔷 มะเร็งระยะที่ 4: เป็นระยะลุกลาม มะเร็งมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะที่ไกลออกไป เช่น ตับหรือปอด รักษาโดยการใช้รังสีรักษาและเคมีบำบัด เป็นระยะที่รักษาได้ยากและอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด
โรคมะเร็งปากมดลูกป้องกันได้หรือไม่
โรคมะเร็งปากมดลูกสามารถป้องกันได้ ถึงแม้ป้องกันไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สามารถลดความเสี่ยงลงไปได้มาก ด้วยการป้องกันดังนี้
🔷 การฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ HPV ควรฉีดทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ควรฉีดก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกหรือตั้งแต่อายุ 9 ขวบขึ้นไป
🔷 การตรวจแปปสเมียร์ร่วมกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
🔷 ใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
🔷 งดสูบบุหรี่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้