ถ้าแท็กผิดห้อง ขออภัยณ.ที่นี้นะคะ
ขอเกริ่นก่อนว่าโพสนี้จะยาวมากกกกกกกก แต่หากอ่านจบอาจจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนในเฟสที่เป็นคุณผู้หญิงทุกๆท่านที่ได้อ่านโพสนี้
ขออนุญาตแชร์ประสบการณ์ "เมื่อฉันเป็นมะเร็งปากมดลูก" ต้องออกตัวก่อนเลยว่าไม่คิดไม่ฝันว่าเราจะได้มาสัมผัสกับคำว่ามะเร็ง แค่คำว่ามะเร็ง ใครได้เห็นหรือได้ยินก็กลัวแล้ว ถูกป่ะ
มา เริ่มกันดีกว่าาาาา....
โดยร่างกายของเราจริงๆแล้ว ไม่ได้มีอาการผิดปกติอะไรเลย ที่ตรวจเจอว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกก็เพราะเราไปตรวจหลังคลอดเท่านั้น ถ้าถามถึงว่ามีอาการแปลกๆบ้างไหม ก็มีแค่รู้สึกว่าน้ำคาวปลามันหมดช้าแค่นั้น ประมาณเดือนนิดๆถึงจะหมด(หมอบอกว่าโดยปกติจะมีแค่2-4สัปดาห์) ตอนเราไปหาหมอเพื่อตรวจหลังคลอดรอบแรก น้ำคาวปลายังไม่หมด เขาก็ยังไม่ตรวจให้ ต้องรอน้ำคาวปลาหมดก่อน อ่ะ เราก็รอน้ำคาวปลาหมดก็ค่อยไปตรวจ
18/04/65
ไปตรวจหลังคลอด พอตรวจเสร็จ พยาบาลก็แจ้งว่าให้โทรเข้ามาสอบถามผลการตรวจ ในวันที่12/05/65 แล้วก็ให้ใบนัดวันโทรกับเบอร์ของแผนกมา เราก็ค่ะๆ ไม่ได้คิดอะไร
ประมาณซักต้นเดือนพค.จำวันที่ไม่ได้ ก็มีสายเข้ามา คือจากรพ.ที่เราไปตรวจหลังคลอดนั่นแหละ แต่โทรมายังไม่ได้บอกผลอะไรนะ โทรมาถามว่า เราโทรสอบถามเรื่องตรวจหลังคลอดกับทางรพ.หรือยัง เราก็บอกว่ายัง พยาบาลก็ถามจี้อยู่นั่นแหละว่า"วันที่นัดให้โทรมาสอบถาม คือวันไหนคะ" เราก็หาใบไม่เจอเนอะ ตอนนั้นดูลูกอยู่ นางก็ต่อว่าฉอดๆๆๆ จนสุดท้ายเราก็อารมณ์ขึ้นบ้างดิ สรุปจะโทรมาแจ้งเรื่องอะไรกันแน่ โทรมาเพื่อด่าเหรอ เราเลยสวนไป "สรุปที่โทรมามันมีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ ก็แจ้งมาเลยค่ะ" เขาก็ตอบว่า "ก็มีปัญหาหน่ะสิถึงได้โทรมา การตรวจหลังคลอดของคุณ พบว่าเจอเซลล์ผิดปกตินะคะ ต้องนัดวันมาส่องกล้องและตัดชิ้นเนื้อไปตรวจเพิ่มค่ะ" ตอนนั้นก็ยังไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรมาก เพราะตอนไปตรวจหลังคลอด เอาจริงๆบางวันเหมือนยังมีน้ำคาวปลาออกมา เราเลยคิดว่าผลมันน่าจะเพี้ยนเพราะแบบนี้ก็ได้ แล้วเขาก็เลยนัดวันไปส่องกล้องอีกทีวันที่27/06/65 คือรอคิวนานมากกกก พอคุยใกล้จะจบเราหาใบนัดเจอพอดี คือยังไม่ถึงวันที่จะต้องโทรไปสอบถาม นางก็ไม่ขอโทษนะ แต่แค่พูดเสียงอ่อนลง สรุปด่าคนไข้ฟรี น่าหยุมหัวนัก
หลังจากนั้นเราก็ใช้ชีวิตปกติ กินปกติ แต่มีเสิร์ชอากู๋หาข้อมูลเพิ่มเติมไว้บ้าง ว่าตกลงเราเป็นอะไรกันแน่ แต่ก็ยังคิดเข้าข้างตัวเองอยู่นะ ว่า"ฉันแข็งแรง ฉันแข็งแกร่ง ฉันไม่เป็นอะไรหรอก" จนวันที่ต้องไปตรวจชิ้นเนื้อ
27/06/65
หลังจากคัดกรอง ซักประวัติเสร็จ ทางหมอก็จะให้ไปเปลี่ยนผ้าถุงนั่งรอหมอมาตรวจ พอถึงคิวตรวจก็เข้าไปในห้อง แล้วก็ไปขึ้นขาหยั่ง หมอเขาจะเอากล้องมาส่องที่ช่องคลอดเราก่อน หลังจากนั้นจะตรวจภายในเราและตรวจรูทวารเรา แล้วเขาก็คุยกันเองภาษาแพทย์อ่ะเนอะ (ในห้องมีทั้งหมอทั้งพยาบาลประมาณ4-5ชีวิตได้) หมอก็ล้วงๆควักๆช่องคลอดเรา แล้วก็บอกกับหมออีกคนเป็นภาษาแพทย์ ให้ลงข้อมูลในระบบ ฟังรู้เรื่องคำเดียว หมอพูดว่า"มดลูกสวย" รู้เรื่องแค่นั้น เราก็แบบอ่อๆมดลูกสวย แสดงว่าเป็นเรื่องดีๆหน่ะสิ หลังจากตรวจภายในเราซักพัก หมอเขาก็หันมาแจ้งว่า "หมอส่องกล้องแล้วพบว่า มดลูกของคุณมีแผลนะคะ ขอตัดชิ้นเนื้อบริเวณนั้นไปตรวจก่อนนะคะ ว่าเป็นชิ้นเนื้อร้ายหรือเปล่า" เราก็โอเค ตอนตัดชิ้นเนื้อนี่คือจุกท้องมากๆ แต่ก็นอนอดทน อารมณ์แบบปวดหน่วงๆบอกไม่ถูก พอตัดเสร็จหมอก็พูดขึ้นมาว่า "รอบหน้าพาญาติมาด้วยนะคะ" พอหมอพูดคำนี้มาในใจนี่สั่นไปหมดเลย ถ้ามันไม่ผิดปกติจริงๆ หมอคงไม่ให้พาญาติมาฟังผลด้วยหรอก แต่ในใจลึกๆๆๆๆยังแอบหวังว่า "ฉันคงไม่เป็นอะไรหรอก" แต่หลังจากกลับจากมาหาหมอแล้ว คือใจเราอ่ะมันคิดไปแล้วว่า%จะเป็นมะเร็งค่อนข้างสูง เลยเสิร์ชอากู๋(อีกแล้ว)เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับการเป็นมะเร็งในทุกระยะ แล้วก็บอกแม่กับพี่สาวเรื่องนี้ ว่าเรามาคัดกรองแล้วมันเสี่ยงนะ แม่กับพี่สาวก็ให้กำลังใจตลอด จนถึงวันที่ต้องฟังผล (รอฟังผล7วัน)
4/07/65
เหมือนเดิม คัดกรอง ซักประวัติ นั่งรอคิว พอถึงคิวเราก็เดินเข้าไปคนเดียว พอหมอเห็นเราก็เอ่ยปากถามว่า "มีญาติมาด้วยไหมคะ" วันนั้นพาสามีไปด้วย ก็เลยบอกว่า"สามีมาด้วยค่ะ" หมอก็บอกว่าให้พาสามีเข้ามาฟังผลด้วย เราก็กำลังจะเดินออกมาเรียกสามีให้เข้าไปฟังด้วยกัน แต่ก็หันไปพูดกับหมอว่า"มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอคะ" หมอเงยหน้ามามองหน้าเราแบบใบหน้าไร้อารมณ์มาก แล้วก็ไม่ตอบอะไร พอเรียกสามีเข้ามาในห้องปุ๊บ บรรยากาศมาคุก็เริ่มขึ้น หมอก็ก้มหน้าอ่านเอกสาร พลิกเอกสารไปมา พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาว่า "อืม...อาทิตย์ที่แล้วที่ทางรพ.ตัดชิ้นเนื้อของคุณเอรินไปตรวจ ตอนนี้ผลออกมาแล้วนะคะ ชิ้นเนื้อที่ตัดไป คุณเอรินเป็นมะเร็งปากมดลูกนะคะ" ช็อคไปเลยจ้ะ อึ้งไปเลย แบบความคิดในหัวตอนนั้นตีกันไปหมดเลย เอาจริงๆ ระหว่าง7วันที่รอผลอ่ะ เราก็มีศึกษามาบ้างแล้วนะ ทำใจไว้แล้วบางส่วนด้วย แต่พอมันเป็นแล้วจริงๆอ่ะ แอบเขว้ หูดับ ช็อคไปขณะนึงเลย หมอก็อธิบายต่อเรื่องสิทธิ์การรักษาบลาๆๆๆๆ ณ.ตอนนั้นคือช็อคอยู่ ก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง หมอปิดท้ายด้วยถามว่า"มีอะไรจะสอบถามหมอไหมคะ" เราหันไปหาสามี แล้วเอื้อมมือไปจับมือสามี และมองหน้าสามีอยู่แปปนึง เพื่อจะฮีลตัวเองและต้องการกำลังใจจากสามีพร้อมทั้งต้องเรียกสติตัวเองกลับมา นั่งสั่นอยู่ซักแปปนึง สติก็กลับมา เลยสอบถามเกี่ยวกับระยะของโรค แนวทางการรักษา หมอก็บอกแค่ว่า "คาดว่าจะยังอยู่ในระยะแรก(ฟังแล้วแอบใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย) ส่วนการรักษาขอให้คนไข้ไปปรึกษาทางหมอเจ้าของเคสเองดีกว่าค่ะ" แล้วหมอก็เขียนใบส่งตัวให้ไปรพ.ที่เรามีสิทธิ์การรักษาของประกันสังคม (เราไม่ได้คลอดลูกรพ.ตามสิทธิ์ เพราะรพ.ตามสิทธิ์เป็นรพ.เอกชน เราสู้ค่าคลอดไม่ไหว เลยมาคลอดรพ.รัฐบาลแทน) เราก็เดินทางไปที่รพ.ตามสิทธิ์ประกันสังคมในวันนั้นเลย พอไปถึงก็ยื่นเรื่อง คัดกรอง ซักประวัติเหมือนเดิม พอพบหมอสูติ เขาก็ต้องส่งต่อให้หมอเฉพาะทางด้านมะเร็งอีกที "แต่วันนี้หมอไม่เข้านะ ต้องมาอีกทีพรุ่งนี้" แล้วหมอก็ออกใบนัดให้ เราก็กลับบ้าน
พอทำอะไรเสร็จก็เลยบอกแม่และพี่สาว ว่าสรุปแล้วเราเป็นมะเร็งนะ ทางแม่กับพี่ก็น่าจะแอบช็อคไปตามๆกัน แต่มีคำนึงที่แม่พูดมา ซึ่งมันเป็นคำที่ดึงสติเราได้ค่อนข้างดีมาก แม่บอกว่า"อย่าไปคิดว่ามันโชคร้ายสิ ถือว่าเป็นโชคดีด้วยที่เราตรวจเจอเร็ว และมันมีเปอร์เซ็นต์ในการรักษาให้หายขาดได้ค่อนข้างสูง เราก็เออว่ะ เอาจริงๆถ้าไม่ได้ไปตรวจหลังคลอด ก็ไม่เคยมีความคิดจะไปตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเลยนะ ซึ่งมันน่าจะเป็นโชคดีของเราจริงๆแหละ ถ้าเราไม่ท้องถ้าเราไม่มีลูกเราก็คงไม่มีโอกาสตรวจเจอ กว่าจะรู้ตัวก็อาจจะเป็นระยะท้ายๆแล้วก็ได้ ทางฝั่งบ้านสามีก็คอยให้กำลังใจเพราะกลัวเราเครียด ก็ไปสอบถามคนรู้จักที่เคยเป็นมะเร็งปากมดลูกมาให้ ว่าส่วนใหญ่ถ้าเป็นระยะแรกๆก็คือมีโอกาสหายนะ ทำให้เราฮึดสู้ ไม่เครียด พร้อมจะสู้กับมัน เราได้กำลังใจดีมาก คือกลายเป็นความเครียดหายไปเลย แต่มีคนรู้เรื่องนี้แค่ไม่กี่คน จะมีแค่แม่และพี่สาวเรา ทางบ้านแฟน และที่ทำงาน เพราะเราต้องลางานติดต่อกันเพื่อผ่าตัด ทุกๆคนให้กำลังใจดีมาก กำลังใจสำคัญที่สุด แต่ตอนแรกเรายังไม่อยากบอกใครเยอะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน พอมีคนมาให้กำลังใจเยอะๆก็น้ำตาแตกเหมือนกันนะ ฉะนั้นเราเลยอยากเข้มแข็งด้วยตัวเองก่อน เราอยากสู้ด้วยตัวเองก่อน
เดี๋ยวมาต่อค่ะ
เมื่อฉันเป็นมะเร็งปากมดลูกโดยไม่ตั้งตัว ....
ขอเกริ่นก่อนว่าโพสนี้จะยาวมากกกกกกกก แต่หากอ่านจบอาจจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนในเฟสที่เป็นคุณผู้หญิงทุกๆท่านที่ได้อ่านโพสนี้
ขออนุญาตแชร์ประสบการณ์ "เมื่อฉันเป็นมะเร็งปากมดลูก" ต้องออกตัวก่อนเลยว่าไม่คิดไม่ฝันว่าเราจะได้มาสัมผัสกับคำว่ามะเร็ง แค่คำว่ามะเร็ง ใครได้เห็นหรือได้ยินก็กลัวแล้ว ถูกป่ะ
มา เริ่มกันดีกว่าาาาา....
โดยร่างกายของเราจริงๆแล้ว ไม่ได้มีอาการผิดปกติอะไรเลย ที่ตรวจเจอว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกก็เพราะเราไปตรวจหลังคลอดเท่านั้น ถ้าถามถึงว่ามีอาการแปลกๆบ้างไหม ก็มีแค่รู้สึกว่าน้ำคาวปลามันหมดช้าแค่นั้น ประมาณเดือนนิดๆถึงจะหมด(หมอบอกว่าโดยปกติจะมีแค่2-4สัปดาห์) ตอนเราไปหาหมอเพื่อตรวจหลังคลอดรอบแรก น้ำคาวปลายังไม่หมด เขาก็ยังไม่ตรวจให้ ต้องรอน้ำคาวปลาหมดก่อน อ่ะ เราก็รอน้ำคาวปลาหมดก็ค่อยไปตรวจ
18/04/65
ไปตรวจหลังคลอด พอตรวจเสร็จ พยาบาลก็แจ้งว่าให้โทรเข้ามาสอบถามผลการตรวจ ในวันที่12/05/65 แล้วก็ให้ใบนัดวันโทรกับเบอร์ของแผนกมา เราก็ค่ะๆ ไม่ได้คิดอะไร
ประมาณซักต้นเดือนพค.จำวันที่ไม่ได้ ก็มีสายเข้ามา คือจากรพ.ที่เราไปตรวจหลังคลอดนั่นแหละ แต่โทรมายังไม่ได้บอกผลอะไรนะ โทรมาถามว่า เราโทรสอบถามเรื่องตรวจหลังคลอดกับทางรพ.หรือยัง เราก็บอกว่ายัง พยาบาลก็ถามจี้อยู่นั่นแหละว่า"วันที่นัดให้โทรมาสอบถาม คือวันไหนคะ" เราก็หาใบไม่เจอเนอะ ตอนนั้นดูลูกอยู่ นางก็ต่อว่าฉอดๆๆๆ จนสุดท้ายเราก็อารมณ์ขึ้นบ้างดิ สรุปจะโทรมาแจ้งเรื่องอะไรกันแน่ โทรมาเพื่อด่าเหรอ เราเลยสวนไป "สรุปที่โทรมามันมีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ ก็แจ้งมาเลยค่ะ" เขาก็ตอบว่า "ก็มีปัญหาหน่ะสิถึงได้โทรมา การตรวจหลังคลอดของคุณ พบว่าเจอเซลล์ผิดปกตินะคะ ต้องนัดวันมาส่องกล้องและตัดชิ้นเนื้อไปตรวจเพิ่มค่ะ" ตอนนั้นก็ยังไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรมาก เพราะตอนไปตรวจหลังคลอด เอาจริงๆบางวันเหมือนยังมีน้ำคาวปลาออกมา เราเลยคิดว่าผลมันน่าจะเพี้ยนเพราะแบบนี้ก็ได้ แล้วเขาก็เลยนัดวันไปส่องกล้องอีกทีวันที่27/06/65 คือรอคิวนานมากกกก พอคุยใกล้จะจบเราหาใบนัดเจอพอดี คือยังไม่ถึงวันที่จะต้องโทรไปสอบถาม นางก็ไม่ขอโทษนะ แต่แค่พูดเสียงอ่อนลง สรุปด่าคนไข้ฟรี น่าหยุมหัวนัก
หลังจากนั้นเราก็ใช้ชีวิตปกติ กินปกติ แต่มีเสิร์ชอากู๋หาข้อมูลเพิ่มเติมไว้บ้าง ว่าตกลงเราเป็นอะไรกันแน่ แต่ก็ยังคิดเข้าข้างตัวเองอยู่นะ ว่า"ฉันแข็งแรง ฉันแข็งแกร่ง ฉันไม่เป็นอะไรหรอก" จนวันที่ต้องไปตรวจชิ้นเนื้อ
27/06/65
หลังจากคัดกรอง ซักประวัติเสร็จ ทางหมอก็จะให้ไปเปลี่ยนผ้าถุงนั่งรอหมอมาตรวจ พอถึงคิวตรวจก็เข้าไปในห้อง แล้วก็ไปขึ้นขาหยั่ง หมอเขาจะเอากล้องมาส่องที่ช่องคลอดเราก่อน หลังจากนั้นจะตรวจภายในเราและตรวจรูทวารเรา แล้วเขาก็คุยกันเองภาษาแพทย์อ่ะเนอะ (ในห้องมีทั้งหมอทั้งพยาบาลประมาณ4-5ชีวิตได้) หมอก็ล้วงๆควักๆช่องคลอดเรา แล้วก็บอกกับหมออีกคนเป็นภาษาแพทย์ ให้ลงข้อมูลในระบบ ฟังรู้เรื่องคำเดียว หมอพูดว่า"มดลูกสวย" รู้เรื่องแค่นั้น เราก็แบบอ่อๆมดลูกสวย แสดงว่าเป็นเรื่องดีๆหน่ะสิ หลังจากตรวจภายในเราซักพัก หมอเขาก็หันมาแจ้งว่า "หมอส่องกล้องแล้วพบว่า มดลูกของคุณมีแผลนะคะ ขอตัดชิ้นเนื้อบริเวณนั้นไปตรวจก่อนนะคะ ว่าเป็นชิ้นเนื้อร้ายหรือเปล่า" เราก็โอเค ตอนตัดชิ้นเนื้อนี่คือจุกท้องมากๆ แต่ก็นอนอดทน อารมณ์แบบปวดหน่วงๆบอกไม่ถูก พอตัดเสร็จหมอก็พูดขึ้นมาว่า "รอบหน้าพาญาติมาด้วยนะคะ" พอหมอพูดคำนี้มาในใจนี่สั่นไปหมดเลย ถ้ามันไม่ผิดปกติจริงๆ หมอคงไม่ให้พาญาติมาฟังผลด้วยหรอก แต่ในใจลึกๆๆๆๆยังแอบหวังว่า "ฉันคงไม่เป็นอะไรหรอก" แต่หลังจากกลับจากมาหาหมอแล้ว คือใจเราอ่ะมันคิดไปแล้วว่า%จะเป็นมะเร็งค่อนข้างสูง เลยเสิร์ชอากู๋(อีกแล้ว)เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับการเป็นมะเร็งในทุกระยะ แล้วก็บอกแม่กับพี่สาวเรื่องนี้ ว่าเรามาคัดกรองแล้วมันเสี่ยงนะ แม่กับพี่สาวก็ให้กำลังใจตลอด จนถึงวันที่ต้องฟังผล (รอฟังผล7วัน)
4/07/65
เหมือนเดิม คัดกรอง ซักประวัติ นั่งรอคิว พอถึงคิวเราก็เดินเข้าไปคนเดียว พอหมอเห็นเราก็เอ่ยปากถามว่า "มีญาติมาด้วยไหมคะ" วันนั้นพาสามีไปด้วย ก็เลยบอกว่า"สามีมาด้วยค่ะ" หมอก็บอกว่าให้พาสามีเข้ามาฟังผลด้วย เราก็กำลังจะเดินออกมาเรียกสามีให้เข้าไปฟังด้วยกัน แต่ก็หันไปพูดกับหมอว่า"มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอคะ" หมอเงยหน้ามามองหน้าเราแบบใบหน้าไร้อารมณ์มาก แล้วก็ไม่ตอบอะไร พอเรียกสามีเข้ามาในห้องปุ๊บ บรรยากาศมาคุก็เริ่มขึ้น หมอก็ก้มหน้าอ่านเอกสาร พลิกเอกสารไปมา พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาว่า "อืม...อาทิตย์ที่แล้วที่ทางรพ.ตัดชิ้นเนื้อของคุณเอรินไปตรวจ ตอนนี้ผลออกมาแล้วนะคะ ชิ้นเนื้อที่ตัดไป คุณเอรินเป็นมะเร็งปากมดลูกนะคะ" ช็อคไปเลยจ้ะ อึ้งไปเลย แบบความคิดในหัวตอนนั้นตีกันไปหมดเลย เอาจริงๆ ระหว่าง7วันที่รอผลอ่ะ เราก็มีศึกษามาบ้างแล้วนะ ทำใจไว้แล้วบางส่วนด้วย แต่พอมันเป็นแล้วจริงๆอ่ะ แอบเขว้ หูดับ ช็อคไปขณะนึงเลย หมอก็อธิบายต่อเรื่องสิทธิ์การรักษาบลาๆๆๆๆ ณ.ตอนนั้นคือช็อคอยู่ ก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง หมอปิดท้ายด้วยถามว่า"มีอะไรจะสอบถามหมอไหมคะ" เราหันไปหาสามี แล้วเอื้อมมือไปจับมือสามี และมองหน้าสามีอยู่แปปนึง เพื่อจะฮีลตัวเองและต้องการกำลังใจจากสามีพร้อมทั้งต้องเรียกสติตัวเองกลับมา นั่งสั่นอยู่ซักแปปนึง สติก็กลับมา เลยสอบถามเกี่ยวกับระยะของโรค แนวทางการรักษา หมอก็บอกแค่ว่า "คาดว่าจะยังอยู่ในระยะแรก(ฟังแล้วแอบใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย) ส่วนการรักษาขอให้คนไข้ไปปรึกษาทางหมอเจ้าของเคสเองดีกว่าค่ะ" แล้วหมอก็เขียนใบส่งตัวให้ไปรพ.ที่เรามีสิทธิ์การรักษาของประกันสังคม (เราไม่ได้คลอดลูกรพ.ตามสิทธิ์ เพราะรพ.ตามสิทธิ์เป็นรพ.เอกชน เราสู้ค่าคลอดไม่ไหว เลยมาคลอดรพ.รัฐบาลแทน) เราก็เดินทางไปที่รพ.ตามสิทธิ์ประกันสังคมในวันนั้นเลย พอไปถึงก็ยื่นเรื่อง คัดกรอง ซักประวัติเหมือนเดิม พอพบหมอสูติ เขาก็ต้องส่งต่อให้หมอเฉพาะทางด้านมะเร็งอีกที "แต่วันนี้หมอไม่เข้านะ ต้องมาอีกทีพรุ่งนี้" แล้วหมอก็ออกใบนัดให้ เราก็กลับบ้าน
พอทำอะไรเสร็จก็เลยบอกแม่และพี่สาว ว่าสรุปแล้วเราเป็นมะเร็งนะ ทางแม่กับพี่ก็น่าจะแอบช็อคไปตามๆกัน แต่มีคำนึงที่แม่พูดมา ซึ่งมันเป็นคำที่ดึงสติเราได้ค่อนข้างดีมาก แม่บอกว่า"อย่าไปคิดว่ามันโชคร้ายสิ ถือว่าเป็นโชคดีด้วยที่เราตรวจเจอเร็ว และมันมีเปอร์เซ็นต์ในการรักษาให้หายขาดได้ค่อนข้างสูง เราก็เออว่ะ เอาจริงๆถ้าไม่ได้ไปตรวจหลังคลอด ก็ไม่เคยมีความคิดจะไปตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเลยนะ ซึ่งมันน่าจะเป็นโชคดีของเราจริงๆแหละ ถ้าเราไม่ท้องถ้าเราไม่มีลูกเราก็คงไม่มีโอกาสตรวจเจอ กว่าจะรู้ตัวก็อาจจะเป็นระยะท้ายๆแล้วก็ได้ ทางฝั่งบ้านสามีก็คอยให้กำลังใจเพราะกลัวเราเครียด ก็ไปสอบถามคนรู้จักที่เคยเป็นมะเร็งปากมดลูกมาให้ ว่าส่วนใหญ่ถ้าเป็นระยะแรกๆก็คือมีโอกาสหายนะ ทำให้เราฮึดสู้ ไม่เครียด พร้อมจะสู้กับมัน เราได้กำลังใจดีมาก คือกลายเป็นความเครียดหายไปเลย แต่มีคนรู้เรื่องนี้แค่ไม่กี่คน จะมีแค่แม่และพี่สาวเรา ทางบ้านแฟน และที่ทำงาน เพราะเราต้องลางานติดต่อกันเพื่อผ่าตัด ทุกๆคนให้กำลังใจดีมาก กำลังใจสำคัญที่สุด แต่ตอนแรกเรายังไม่อยากบอกใครเยอะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน พอมีคนมาให้กำลังใจเยอะๆก็น้ำตาแตกเหมือนกันนะ ฉะนั้นเราเลยอยากเข้มแข็งด้วยตัวเองก่อน เราอยากสู้ด้วยตัวเองก่อน
เดี๋ยวมาต่อค่ะ