คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
เอเชียทำค่าเงินตัวเองให้อ่อนเอง ถ้าทำงานเท่ากันก็ซื้อของได้น้อยกว่า เวลาจะเที่ยวก็เจอค่าเที่ยวแพงเวลาแลกเงิน เลยต้องทำงานหนักกว่าเพื่อชดเชย
ลองดูเงินในกระเป๋าคนเอเซียจะน้อย กำลังซื้อน้อย เจอเงินฝืดๆ แต่เงินในทุนสำรองสูงสุดในประวัติศาสตร์แทบทุกประเทศ เพราะเราไล่ซื้อเงินเค้ามาเก็บ
ส่วนตะวันตกไม่มีสะสมเงินเอเชียเลย แต่แลกเงินเอเชียได้มาก เจอเงินเฟ้อๆ เลยเที่ยวได้ตลอด ก็ต้องเครียดน้อยกว่า กดดันน้อยกว่า
ในทางกลับกันถ้าซักวันตะวันตกไล่เก็บเงินหยวนเงินบาทมากๆเข้าทุนสำรองเค้า ค่าเงินเค้าก็จะอ่อนคนเค้าก็จะจนลงก็จะเจองานหนักขึ้น
ในขณะที่ประเทศไทยที่ว่าแผ่นดินทำเลทอง ท่องเที่ยวอันดับโลก กทมท่องเที่ยวสูงสุดในโลก แต่จีดีพีต่อหัวคนไทยทำได้แค่มากกว่าปาเลสไตน์ก่อนสงครามแค่สองเท่า!? ต่ำกว่าอิสราเอล5-7เท่า? โปแลนด์ก็เงินเดือนมากกว่าคนไทยสามเท่า ลองกลับกันถ้าประเทศไทยอยู่ทำเลปาเลสไตน์สงสัยต่อหัวต่ำกว่าอัฟกานิสถานอีกมั้ง
ความเป็นอยู่ของคนในประเทศอยู่ที่การตั้งค่าเงิน จากนั้นดูว่าจะคงค่าเงินเท่านั้นไหวไหม
อย่างตะวันตกเหมือนตั้งค่าแอร์ไว้ที่20องศา แบบนั้นก็อยู่สบายเย็นฉ่ำ
แต่เอเชียเลือกอ่อนไว้ก่อน เหมือนเปิดแอร์20องศาก็จ่ายค่าไฟไหวแต่เลือกจะเปิดแอร์30องศา
ลองดูเงินในกระเป๋าคนเอเซียจะน้อย กำลังซื้อน้อย เจอเงินฝืดๆ แต่เงินในทุนสำรองสูงสุดในประวัติศาสตร์แทบทุกประเทศ เพราะเราไล่ซื้อเงินเค้ามาเก็บ
ส่วนตะวันตกไม่มีสะสมเงินเอเชียเลย แต่แลกเงินเอเชียได้มาก เจอเงินเฟ้อๆ เลยเที่ยวได้ตลอด ก็ต้องเครียดน้อยกว่า กดดันน้อยกว่า
ในทางกลับกันถ้าซักวันตะวันตกไล่เก็บเงินหยวนเงินบาทมากๆเข้าทุนสำรองเค้า ค่าเงินเค้าก็จะอ่อนคนเค้าก็จะจนลงก็จะเจองานหนักขึ้น
ในขณะที่ประเทศไทยที่ว่าแผ่นดินทำเลทอง ท่องเที่ยวอันดับโลก กทมท่องเที่ยวสูงสุดในโลก แต่จีดีพีต่อหัวคนไทยทำได้แค่มากกว่าปาเลสไตน์ก่อนสงครามแค่สองเท่า!? ต่ำกว่าอิสราเอล5-7เท่า? โปแลนด์ก็เงินเดือนมากกว่าคนไทยสามเท่า ลองกลับกันถ้าประเทศไทยอยู่ทำเลปาเลสไตน์สงสัยต่อหัวต่ำกว่าอัฟกานิสถานอีกมั้ง
ความเป็นอยู่ของคนในประเทศอยู่ที่การตั้งค่าเงิน จากนั้นดูว่าจะคงค่าเงินเท่านั้นไหวไหม
อย่างตะวันตกเหมือนตั้งค่าแอร์ไว้ที่20องศา แบบนั้นก็อยู่สบายเย็นฉ่ำ
แต่เอเชียเลือกอ่อนไว้ก่อน เหมือนเปิดแอร์20องศาก็จ่ายค่าไฟไหวแต่เลือกจะเปิดแอร์30องศา
แสดงความคิดเห็น
เพราะอะไร ประเทศตะวันตกที่พัฒนาแล้วถึงมีอัตราความเครียดและความกดดัน น้อยกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วในเอเชียคะ
ถ้าการกดดันและความเครียดในการทำงาน ทำให้ประเทศใดประเทศหนึ่ง กลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้จริง แล้วเพราะสาเหตุใดประเทศตะวันตกที่เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ถึงมีจำนวนประเทศที่พัฒนาแล้วมากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วในเอเชีย และมีอัตราความเครียดและความกดดัน น้อยกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วในเอเชียคะ?
ตัวอย่าง ประเทศตะวันตกหลาย ๆ ประเทศที่พัฒนาแล้ว มีวันหยุดยาวหลาย ๆ วันและคนในประเทศเขาสามารถหยุดมาเที่ยวในเอเชียและรอบโลกได้เป็นเดือน ๆ แต่กลับกันถ้าเป็นเมืองไทย กลับเป็นเรื่องยากมากที่จะลาหยุดแบบนั้น
อีกอย่าง ประเทศในเอเชียมีอัตราความเครียดในการทำงานสูงและอัตราการ ฆตต. สูงมาก แต่มีจำนวนประเทศที่พัฒนาแล้วน้อยกว่าฝั่งตะวันตกมาก
ถ้าการกดดันในการทำงานทำให้ประเทศกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้จริง ๆ แล้วสาเหตุใดประเทศที่พัฒนาแล้วในเอเชียจึงมีจำนวนน้อยกว่าประเทศในตะวันตกคะ หรือจริง ๆ แล้วความกดดันในการทำงานมันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันกับการเป็นประเทศพัฒนาแล้วเลย
และถ้ามันไม่เกี่ยวข้องกันทำไมเวลาต้องการให้ประเทศกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วจึงต้องพ่วงมากับการกดดันในการทำงาน หรือจริง ๆ แล้วมันเป็นแค่มายาคติและการพยายามทำอะไรสักอย่างที่ไม่เกี่ยวข้อง เพื่อสนองความรู้สึกว่า เออ ได้ทำแล้วนะ แม้มันจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยกับการทำให้ประเทศกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วก็ตาม?
ถ้าวัฒนธรรมความกดดันในการทำงานให้ผลลัพธ์น้อยกว่า ทำไมเราไม่หันไปเอาอย่างประเทศในตะวันตกที่มีผลลัพธ์ในการพัฒนาคือจำนวนประเทศพัฒนาแล้วที่มีมากกว่าคะ