รู้หรือไม่!เราควรกินกล้วยก่อนหรือหลังมื้ออาหาร แบบไหนจะได้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่ากัน?
เพิ่งรู้! ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ บอกให้แล้ว เราควรกินกล้วยก่อนหรือหลังมื้ออาหาร แบบไหนจะได้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่ากัน
เมื่อวันที่ 10 ก.พ. ตามรายงานจากเว็บไซต์ VietNamNet อ้างอิงข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการจากไต้หวัน ที่เปิดเผยกับทางสื่อ Ettoday ระบุว่า กล้วยอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งช่วยปรับการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต, แมกนีเซียมที่ดีต่อสุขภาพของกระดูกและระบบประสาท, วิตามิน C ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและต้านการติดเชื้อ, วิตามิน B6 ที่ช่วยให้ร่างกายสร้างโปรตีนและเซลล์เม็ดเลือดแดง รวมทั้งรักษาระบบประสาทและภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้ปกติ
นอกจากนี้ กล้วยยังมีสารทริปโตเฟน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยสร้างเซโรโทนิน สารสื่อประสาทที่ช่วยปรับอารมณ์และควบคุมการนอนหลับ ดังนั้นการกินกล้วยจึงช่วยส่งเสริมการนอนหลับได้ โดยแนะนำให้กินกล้วยภายใน 2-3 ชั่วโมง หลังจากมื้อเย็น เพราะเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ร่างกายจะดูดซึมสารอาหารจากกล้วยได้ดีขึ้น และช่วยควบคุมความหิว ความอยากกินอาหารอื่นๆ ในตอนกลางคืน ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ อย่างไรก็ตาม หากคุณมีปัญหาด้านการนอนหลับ นอกจากการกินกล้วยแล้ว ควรปรับวิถีชีวิตและสร้างนิสัยการนอนที่ดี
และตามรายงานของสำนักข่าว New York Post ระบุถึงงานวิจัยของ Sleep Charity องค์กรด้านการนอนหลับของอังกฤษ ยืนยันว่าการกินกล้วยก่อนเข้านอนสามารถช่วยให้คุณนอนหลับดีขึ้น เนื่องจากมีแมกนีเซียมและโพแทสเซียมสูง ซึ่งทั้งสองมีฤทธิ์ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ รวมถึงทริปโตเฟนที่ช่วยทำให้สมองสงบ นอกจากนี้ กล้วยยังมีผลคล้ายกับเมลาโทนิน ซึ่งเป็นส่วนผสมในยานอนหลับ
เมลาโทนินจะผลิตในร่างกายโดยธรรมชาติ โดยจะมีระดับต่ำในตอนเช้าและเพิ่มขึ้นเมื่อใกล้เวลานอน เมื่อระดับเมลาโทนินเพิ่มขึ้น ร่างกายจะรู้ว่านี่คือตอนที่ต้องนอน ทั้งนี้ มีวิธีเพิ่มระดับเมลาโทนินโดยไม่ต้องพึ่งยาหรืออาหารเสริม ซึ่งคือการกินกล้วยก่อนเข้านอน โดยนักวิจัยพบว่า ระดับเมลาโทนินจะสูงสุดประมาณ 2 ชั่วโมง หลังจากกินกล้วย ถือเป็นประโยชน์ของกล้วยหากกินในเวลาที่เหมาะสม!
ทั้งนี้ กล้วยยังมีแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ซึ่งทั้งสองช่วยให้การนอนหลับดีขึ้น โดยแมกนีเซียมช่วยเพิ่มการผลิตเมลาโทนินตามธรรมชาติ ลดความเครียด และช่วยให้ร่างกายรักษาระดับ GABA ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ส่งเสริมการนอนหลับ ดังนั้นจึงมีบทบาทสำคัญในการนอนหลับ ส่วนโพแทสเซียมช่วยลดอาการตะคริวในกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยที่อาจส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ โดยกล้วยขนาดกลาง 1 ลูก ให้โพแทสเซียมประมาณ 9% ของความต้องการโพแทสเซียมประจำวัน และแมกนีเซียม 8%
ที่สำคัญอีกอย่างคือ กล้วยเป็นแหล่งของทริปโตเฟน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ใช้สร้างฮอร์โมนเมลาโทนิน การศึกษาพบว่า การรับประทานทริปโตเฟน 1 กรัม 45 นาที ก่อนนอน อาจช่วยได้สำหรับผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับ และตามข้อมูลจากสมาคมการนอนหลับแห่งอเมริกา อาหารที่มีทริปโตเฟน สามารถทำงานเหมือนยานอนหลับธรรมชาติ และช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย
ขอบคุณ
https://vtcnews.vn... สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/news/4380339/
‘ยาดม’ ใช้อย่างไรไม่ทำลายสุขภาพ
“ยาดม” เป็นยาสามัญประจำบ้านที่หลายๆ คนพกติดตัว ช่วยทำให้รู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย แต่ต้องใช้อย่างถูกวิธี มิฉะนั้นอาจเกิดอันตรายต่อร่างกายตามมา
“ยาดม” เป็นยาสามัญประจำบ้านที่หลายๆ คนพกติดตัว ช่วยทำให้รู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย บรรเทาอาการปวดหัว วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด คลายเครียดได้ดี ถือว่ามีประโยชน์มาก หากรู้จักใช้อย่างถูกวิธี มิฉะนั้นอาจเกิดโทษอันตรายต่อร่างกายตามมา
มีเกร็ดความรู้จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น บอกเล่าคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับการใช้ยาดมอย่างปลอดภัย พร้อมกับการปลุกความสดชื่นให้กับร่างกาย
ส่วนประกอบที่มักพบในยาดม
1.เมนทอล หรือเกล็ดสะระแหน่ มีกลิ่นหอมเย็นที่หลายคนคุ้นเคย เพราะมักเป็นสารประกอบในผลิตภัณฑ์เครื่องอุปโภคบริโภคต่าง ๆ ช่วยลดอาการบวมของหลอดเลือดในจมูก และลดอาการปวดในบริเวณที่สัมผัสติดยาดมมาก ๆ
2.การบูร มีฤทธิ์เป็นยาชา และต้านจุลินทรีย์อย่างอ่อนๆ มักนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของยาทาเฉพาะที่ที่ต้องการลดอาการอักเสบปวดบวมภายนอก เช่น ยาทาแก้เคล็ดขัดยอก ฟกช้ำ แมลงสัตว์กัดต่อย
3.พิมเสน ใช้สูดดมแก้วิงเวียน มีฤทธิ์กระตุ้น สงบระบบประสาทส่วนกลาง และเป็นส่วนประกอบของยาทาแก้เคล็ดขัดยอกเหมือนกัน
4.น้ำมันหอมระเหยอื่นๆ
ติดยาดมมากๆ เป็นอันตรายหรือไม่
การสูดยาดมในปริมาณที่มากเกินไปและบ่อยครั้งจนเกิดติดเป็นนิสัย หรือเพียงเพราะติดกลิ่นของยาดม ทั้งที่ไม่ได้มีอาการหวัด คัดจมูก หรือวิงเวียนศีรษะ มีงานวิจัยว่าอาจทำให้เกิดโพรงจมูกอักเสบ หรือหลอดลมอักเสบได้
ใช้ยาดมอย่างไรให้ปลอดภัย
1.หลีกเลี่ยงการดมที่สัมผัสกับโพรงจมูก เพราะสารประกอบที่อยู่ในยาดมจะทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณจมูก
2. อย่าเสียบยาดมคาจมูกเป็นระยะเวลานานๆ เพราะอาจทำให้สูดกลิ่นยาดมเข้าไปอย่างเข้มข้นนาน และมากจนเกินไป
3. ไม่ควรใช้ยาดมของคนอื่น เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้
หากผู้ป่วยที่มีปัญหาติดเชื้อทางเดินหายใจ ไม่แนะนำให้ดมยาดม แต่ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา....
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/news/4383825/
เราควรกินกล้วยก่อนหรือหลังมื้ออาหาร และ ติดยาดม แก้ไขด่วน
เพิ่งรู้! ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ บอกให้แล้ว เราควรกินกล้วยก่อนหรือหลังมื้ออาหาร แบบไหนจะได้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่ากัน
เมื่อวันที่ 10 ก.พ. ตามรายงานจากเว็บไซต์ VietNamNet อ้างอิงข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการจากไต้หวัน ที่เปิดเผยกับทางสื่อ Ettoday ระบุว่า กล้วยอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งช่วยปรับการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต, แมกนีเซียมที่ดีต่อสุขภาพของกระดูกและระบบประสาท, วิตามิน C ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและต้านการติดเชื้อ, วิตามิน B6 ที่ช่วยให้ร่างกายสร้างโปรตีนและเซลล์เม็ดเลือดแดง รวมทั้งรักษาระบบประสาทและภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้ปกติ
นอกจากนี้ กล้วยยังมีสารทริปโตเฟน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยสร้างเซโรโทนิน สารสื่อประสาทที่ช่วยปรับอารมณ์และควบคุมการนอนหลับ ดังนั้นการกินกล้วยจึงช่วยส่งเสริมการนอนหลับได้ โดยแนะนำให้กินกล้วยภายใน 2-3 ชั่วโมง หลังจากมื้อเย็น เพราะเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ร่างกายจะดูดซึมสารอาหารจากกล้วยได้ดีขึ้น และช่วยควบคุมความหิว ความอยากกินอาหารอื่นๆ ในตอนกลางคืน ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ อย่างไรก็ตาม หากคุณมีปัญหาด้านการนอนหลับ นอกจากการกินกล้วยแล้ว ควรปรับวิถีชีวิตและสร้างนิสัยการนอนที่ดี
และตามรายงานของสำนักข่าว New York Post ระบุถึงงานวิจัยของ Sleep Charity องค์กรด้านการนอนหลับของอังกฤษ ยืนยันว่าการกินกล้วยก่อนเข้านอนสามารถช่วยให้คุณนอนหลับดีขึ้น เนื่องจากมีแมกนีเซียมและโพแทสเซียมสูง ซึ่งทั้งสองมีฤทธิ์ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ รวมถึงทริปโตเฟนที่ช่วยทำให้สมองสงบ นอกจากนี้ กล้วยยังมีผลคล้ายกับเมลาโทนิน ซึ่งเป็นส่วนผสมในยานอนหลับ
เมลาโทนินจะผลิตในร่างกายโดยธรรมชาติ โดยจะมีระดับต่ำในตอนเช้าและเพิ่มขึ้นเมื่อใกล้เวลานอน เมื่อระดับเมลาโทนินเพิ่มขึ้น ร่างกายจะรู้ว่านี่คือตอนที่ต้องนอน ทั้งนี้ มีวิธีเพิ่มระดับเมลาโทนินโดยไม่ต้องพึ่งยาหรืออาหารเสริม ซึ่งคือการกินกล้วยก่อนเข้านอน โดยนักวิจัยพบว่า ระดับเมลาโทนินจะสูงสุดประมาณ 2 ชั่วโมง หลังจากกินกล้วย ถือเป็นประโยชน์ของกล้วยหากกินในเวลาที่เหมาะสม!
ทั้งนี้ กล้วยยังมีแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ซึ่งทั้งสองช่วยให้การนอนหลับดีขึ้น โดยแมกนีเซียมช่วยเพิ่มการผลิตเมลาโทนินตามธรรมชาติ ลดความเครียด และช่วยให้ร่างกายรักษาระดับ GABA ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ส่งเสริมการนอนหลับ ดังนั้นจึงมีบทบาทสำคัญในการนอนหลับ ส่วนโพแทสเซียมช่วยลดอาการตะคริวในกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยที่อาจส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ โดยกล้วยขนาดกลาง 1 ลูก ให้โพแทสเซียมประมาณ 9% ของความต้องการโพแทสเซียมประจำวัน และแมกนีเซียม 8%
ที่สำคัญอีกอย่างคือ กล้วยเป็นแหล่งของทริปโตเฟน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ใช้สร้างฮอร์โมนเมลาโทนิน การศึกษาพบว่า การรับประทานทริปโตเฟน 1 กรัม 45 นาที ก่อนนอน อาจช่วยได้สำหรับผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับ และตามข้อมูลจากสมาคมการนอนหลับแห่งอเมริกา อาหารที่มีทริปโตเฟน สามารถทำงานเหมือนยานอนหลับธรรมชาติ และช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย
ขอบคุณ https://vtcnews.vn... สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4380339/
‘ยาดม’ ใช้อย่างไรไม่ทำลายสุขภาพ
“ยาดม” เป็นยาสามัญประจำบ้านที่หลายๆ คนพกติดตัว ช่วยทำให้รู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย แต่ต้องใช้อย่างถูกวิธี มิฉะนั้นอาจเกิดอันตรายต่อร่างกายตามมา
“ยาดม” เป็นยาสามัญประจำบ้านที่หลายๆ คนพกติดตัว ช่วยทำให้รู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย บรรเทาอาการปวดหัว วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด คลายเครียดได้ดี ถือว่ามีประโยชน์มาก หากรู้จักใช้อย่างถูกวิธี มิฉะนั้นอาจเกิดโทษอันตรายต่อร่างกายตามมา
มีเกร็ดความรู้จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น บอกเล่าคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับการใช้ยาดมอย่างปลอดภัย พร้อมกับการปลุกความสดชื่นให้กับร่างกาย
ส่วนประกอบที่มักพบในยาดม
1.เมนทอล หรือเกล็ดสะระแหน่ มีกลิ่นหอมเย็นที่หลายคนคุ้นเคย เพราะมักเป็นสารประกอบในผลิตภัณฑ์เครื่องอุปโภคบริโภคต่าง ๆ ช่วยลดอาการบวมของหลอดเลือดในจมูก และลดอาการปวดในบริเวณที่สัมผัสติดยาดมมาก ๆ
2.การบูร มีฤทธิ์เป็นยาชา และต้านจุลินทรีย์อย่างอ่อนๆ มักนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของยาทาเฉพาะที่ที่ต้องการลดอาการอักเสบปวดบวมภายนอก เช่น ยาทาแก้เคล็ดขัดยอก ฟกช้ำ แมลงสัตว์กัดต่อย
3.พิมเสน ใช้สูดดมแก้วิงเวียน มีฤทธิ์กระตุ้น สงบระบบประสาทส่วนกลาง และเป็นส่วนประกอบของยาทาแก้เคล็ดขัดยอกเหมือนกัน
4.น้ำมันหอมระเหยอื่นๆ
ติดยาดมมากๆ เป็นอันตรายหรือไม่
การสูดยาดมในปริมาณที่มากเกินไปและบ่อยครั้งจนเกิดติดเป็นนิสัย หรือเพียงเพราะติดกลิ่นของยาดม ทั้งที่ไม่ได้มีอาการหวัด คัดจมูก หรือวิงเวียนศีรษะ มีงานวิจัยว่าอาจทำให้เกิดโพรงจมูกอักเสบ หรือหลอดลมอักเสบได้
ใช้ยาดมอย่างไรให้ปลอดภัย
1.หลีกเลี่ยงการดมที่สัมผัสกับโพรงจมูก เพราะสารประกอบที่อยู่ในยาดมจะทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณจมูก
2. อย่าเสียบยาดมคาจมูกเป็นระยะเวลานานๆ เพราะอาจทำให้สูดกลิ่นยาดมเข้าไปอย่างเข้มข้นนาน และมากจนเกินไป
3. ไม่ควรใช้ยาดมของคนอื่น เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้
หากผู้ป่วยที่มีปัญหาติดเชื้อทางเดินหายใจ ไม่แนะนำให้ดมยาดม แต่ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา....
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4383825/