ธปท.เผยปปง.ระงับบัญชีม้าปี67กว่า 1.75แสนบัญชี รายชื่อม้า 1.34แสนบัญชี
ธปท.ชี้ “คริปโท”ม้าเสี่ยงสูง ยกระดับปราบบัญชีม้า “บุคคล-นิติ” คุมทั้งบริษัท-กรรมการผู้มีอำนาจ พร้อม 3มาตรการเพิ่มเติม “กวาดล้าง เข้มข้น ครอบคลุม”
ข้อมูลสะสมจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)และสถาบันการเงิน 17แห่งระบุ การระงับบัญชีม้า ณสิ้นเดือนธ.ค.2567มีจำนวน 1.75แสนบัญชีและรายชื่อม้า 1.34แสนบัญชีแต่ยังเกิดเหตุจำนวนมากที่เป็นเหยื่อโดยหลอกให้ทำธุรกรรมเอง(Authorized Push Payment Fraud)
นางรุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ภัยการเงินยังคงคุกคามความเชื่อมั่นของระบบPayment ธปท.ไม่เคยนิ่งนอนใจและได้ยกระดับมาตรการเชิงป้องกัน
โดยเพิ่มความเข้มข้นและขยายผลการจัดการบัญชีต้องสงสัย เพื่อให้ธนาคารสามารถดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันความเสี่ยงและแก้ปัญหาภัยทุจริตทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ซึ่งยุคเริ่มต้นธปท.ออกแนวนโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยให้บริการทางการเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่โดยกำกับให้ธนาคารพาณิชย์รับมือกับแอปพลิเคชั่นปลอมหรือโมบายแบงก์กิ้ง
ต่อมาต้นปี2567ธปท.ไม่ให้สถาบันการเงินเป็นช่องทางที่มิจฉาชีพใช้สวมรอยเป็นตำรวจบ้าง หรือเป็นส่วนราชการอื่นเพื่อให้เหยื่อหลงเชื่อจึงไม่ให้ส่งลิ้งค์หรือเปิดบัญชีออนไลน์ต้องสแกนใบหน้า รวมทั้งการทำธุรกรรมไม่เกิน 5หมื่นบาทขึ้นไปเพื่อไม่ให้มิจฉาชีพปลอมตัวเป็นเราและทำธุรกรรม(Unauthorized Payment Fraud)
ถัดมาประชาชนถูกหลอกลวงให้หลงเชื่อในการลงทุน/ซื้อสินค้าบริการเกิดการโอนเงินไปในบัญชีม้าเป็นช่องทางที่ทำให้เกิดธุรกรรมทางการเงินที่ไม่ว่าถ่ายโอน ส่งต่อ หรือรับเงิน เป็นลักษณะฉ้อฉล และมิจฉาชีพเอามาใช้ กลางปีที่67จึงออกกมาตรการปราบปรามม้ายุคแรก รวมทั้งสนับสนุนให้ธนาคารดูแลลูกค้าให้ปลอดภัยมากขึ้น หรือมีเพดานวงเงิน
ทั้งนี้ ทุกธนาคารได้ตกลงร่วมกันว่าในวันที่ 31ม.ค. 68 ถ้าเป็นบัญชีม้าดำและม้าเทาเข้ม ลูกค้าจะโอนเงินเข้าบัญชีไม่ได้ ก่อนหน้านี้ก็มีหลายธนาคารพักเงินไว้แล้วมีการคืนเงินให้ลูกค้าในเวลาอันสั้นอาจจะ 1-2วัน
สิ่งที่เห็นคือ ตัวเลขภัยทุจริตที่ลูกค้าไม่ได้รู้เห็นหรือเป็นแอปดูดเงินที่มิจฉาชีพสวมรอยซึ่งภัยดังกล่าวลดลงอย่างมาก เห็นได้จากกลางปี67 เจอหลายร้อยเคส. แต่ณ สิ้นเดือนธ.ค.ที่ผ่านมาเจอเพียง 1เคส และธปท.คาดหวังว่าจะอยู่ที่ระดับศูนย์เคสซึ่งเป็นผลที่ดีขึ้นจากการนำเทคโนโลยีมาช่วย
แต่ในเรื่องของการหลอกให้ลูกค้าโอนเงิน “Authorized Push Payment Fraud” หลังจากออกมาตรการกวาดล้างบัญชีม้าอย่างจริงจังก็เห็นการชะลอลงบ้าง เห็นได้จากเส้นของกราฟไม่ทยานขึ้นเช่นช่วงก่อนหน้า สะท้อนว่าภัยยังคงอยู่และธปท.คงจะมีการกระชับมาตรการ
ดีลใหญ่สะเทือนวงการ! CP อาจร่วมวงเทคโอเวอร์ Seven & i โบรกมองมีความเสี่ยง
“กณีเป็นบัญชีที่อยู่ในข่าย การปราบปรามบัญชีม้ามาตรการเร่งด่วนที่จะทำเพิ่มมี ก. ข. ค. หมายความว่า เราจะเป็น ก้าง ขวาง คอม้า ทำให้ม้าทำงานไม่สะดวกยิ่งขึ้นอีก ทั้งกวาดล้างบัญชีม้าเข้มขึ้น หรือการเปิดบัญชีม้าจะยากขึ้นกว่าเดิม เช่น การเปิดบัญชีที่มีความเสี่ยงนั้นธนาคารไม่เปิดบัญชีให้ หรือเปิดได้แต่ไม่ให้ใช้การเต็มที่/จำกัดการทำธุรกรรม ซึ่งอันนี้ในต่างประเทศทำมานานแล้ว นอกจากนี้จะมีการแชร์ข้อมูลให้มากขึ้นโดยครอบคลุมภายนอก”
นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท.กล่าวว่า การกวาดล้างบัญชีม้ามากขึ้นโดยจะยกระดับสีม้าหรือเพิ่มเฉดสี สะท้อนความเสี่ยงมากขึ้นสิ่งที่แบงก์จะทำให้ดีขึ้น คือถ้าโอนไม่ผ่านแบงก์จะส่งMessage แจ้งเตือนว่ากำลังโอนเงินเข้าบัญชีต้องสงสัย
ตอนนี้การเตือนมาทุกธุรกรรม หวังว่าคำเตือนจะช่วยกระตุก แล้วจะทำAlert เป็นกลไกถัดไป แต่บางแบงก์ทำแล้วโดยจะทำได้ทุกแบงก์ภายในเดือนมี.ค.นี้ อีกอันที่จะต้องจัดการให้เข้มข้นมากขึ้น คือ ม้านิติ คือ ม้ารายบุคคลธรรมดาหาได้ยากขึ้น เส้นทางเงินสั้นลง โดยแต่ก่อนมีการโอน 5ทอด ตอนนี้มี 1ทอดแล้วไปคริปโท จึงมุ่งไปที่เปิดบัญชีนิติบุคคล โดยใช้กันมากขึ้น ใช้สะดวกขึ้นด้วย เพราะบริษัทจะได้โฟลว์เงินมากกว่า
สำหรับ "ม้านิติ"ที่เป็นสีดำบริษัทที่อยู่บนเส้นทางเงินและที่ปปง.ประกาศแล้ว มีการกันเงินออกแล้ว และภายในก.พ.จะกันไม่ได้เปิดบัญชีใหม่ และไม่ใช่จะกันเฉพาะบริษัทเท่านั้นแต่จะดูกรรมการที่เป็นผู้มีอำนาจในการบริหารแต่ละนิติว่ามีชื่อติดอยู่ในม้าสีใด?
ถ้ามีชื่อติดม้าสีใดก็จะเปิดบัญชีไม่ได้หรือเปิดบัญชีได้ยากขึ้น และเปิดบัญชีแล้วจะมีการจำกัดการใช้เป็นActionหลัก หวังว่าธปท.จะจัดการกับบัญชีม้าได้ดีขึ้น โดยกันเงินเข้าทุกเฉดสีที่มีความเสี่ยงสูง ,รวมถึงกันเงินออกและกันไม่ให้เปิดบัญชีใหม่จะทำได้ครบภายในเดือนมี.ค
“ม้าเสี่ยงสูงอื่นๆ ตอนนี้มี ม้าคริปโท ธปท.เห็นคนโอนบ่อยหรือโอนเงินต่ำกว่า 5หมื่นบาท ไปบัญชีเดียว 3ครั้ง พอมีกฏเกณฑ์แบบนั้น มิจฉาชีพก็จะปรับ ทำให้จับไม่ทัน ฉะนั้น pattern ใหม่จะใช้เทคโนโลยี่และ มีDATAมากขึ้น รวมทั้งDATA Cross Bank จะทำให้ตรงนี้ดีขึ้น
ธปท.จะทำกลไกให้แชร์ข้อม฿ลให้ผู้ประกอบการนิติบุคคลทุกสี เพราะ75%ของความเสียหายออกที่ครปโทและตามยากเพราะโอนไปคริปโทในประเทศก่อนแล้วออกนอกประเทศ อีกทั้งธปท.ร่วมกับ กลต. กรมตำรวจ และปปง. เพื่อปิดไม่ให้เงินไปไหลไปต่างประเทศ สิ่งที่ต้องทำเพิ่มคือเครื่องมือห้ามเปิดบัญชีโดยให้ดูความเสี่ยง ดูพฤติกรรมว่าจะนำไปใช้ทำอะไรที่ไม่ถูกต้องหรือเปล่า สิ่งที่ต้องทำเพิ่มคือ การหน่วง คือการระงับ แต่จะมีวิธีหน่วงที่ไม่กระทบคนในวงกว้าง และมีการแชร์ข้อมูลนอกลุ่มแบงก์เช่น DA Exchange หรืออี-วอลเลตทั้งวงจร”
Cr.
https://www.thansettakij.com/finance/618351
ถล่มโคตรเหมืองบิตคอยน์ ขุด 1,788 เครื่อง ซ่อนใน 3 โรงงานสมุทรสาคร ทำรัฐสูญ 500 ล้าน!
DSI ปฏิบัติการรื้อเหมืองขุดบิตคอยน์ลับ (Bitforge Operation) ร่วม กฟภ.บุกทลายเหมืองขุดบิทคอยน์เถื่อน ซุกซ่อนใน 3 โรงงานพื้นที่สมุทรสาครทำรัฐสูญรายได้กว่า 500 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 31 มกราคม พันตำรวจตรียุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย ร้อยตำรวจเอก เขมชาติ ประกายหงษ์มณี ผู้อำนวยการกองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ นายพีระพล ปูรณะโชติ รองผู้ว่าการภาคกลางและใต้ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) นายธนะ โชคพระสมบัติ ผู้ช่วยผู้ว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 3 (ภาคกลาง) และ ร้อยตำรวจเอก เขตรัฐ ชาญศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร
ลงพื้นที่ตรวจค้น โกดังจำนวน 3 แห่ง ต้องสงสัยว่าใช้เป็นสถานที่ ลักลอบใช้ไฟฟ้าเพื่อตั้งเหมืองขุดเงินดิจิทัลผิดกฎหมายในจังหวัดสมุทรสาคร ภายใต้ชื่อปฏิบัติการ “รื้อเหมืองขุดบิตคอยน์ลับ” (Bitforge Operation : เป็นแพลตฟอร์มขุดเหรียญคริปโตระบบออโตขุด USDC และ USDT)
การปฏิบัติการ “รื้อเหมืองขุดบิตคอยน์ลับ” ในครั้งนี้สืบเนื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับการร้องเรียนจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 3 (ภาคกลาง) ว่าพบการใช้ไฟฟ้าผิดปกติในโกดังหลายแห่ง
โดยตรวจสอบพบว่าเป็นเครือข่ายขุดบิตคอยน์เถื่อนที่ใช้ไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งได้ดำเนินการมาแล้วประมาณ 3 ปี ทำให้รัฐเสียหายกว่า 500 ล้านบาท โดยขอให้ดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547
อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงได้มอบหมายให้กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศเป็นหน่วยงานรับผิดชอบทำการสืบสวน โดยพบว่ามีเครือข่ายผู้ลักลอบกระทำความผิด ใช้โกดังลักษณะทำเป็นโรงงาน จำนวน 3 แห่ง ซึ่งบางแห่งเป็นโกดังร้างไม่มีบุคคลอาศัยอยู่ กระจายตัวในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร เจ้าหน้าที่กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศจึงได้ขอหมายค้นเข้าทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้น ทั้ง 3 จุด พบเครื่องขุดสกุลเงินดิจิทัล
จุดที่ 1 โกดังในพื้นที่ตำบลนาดี อำเภอเมือง จำนวน 396 เครื่อง จุดที่ 2 ในพื้นที่ตำบลบ้านเกาะ อำเภอเมือง จำนวน 462 เครื่อง จุดที่ 3 ตำบลท่าทราย อำเภอเมือง จำนวน 930 เครื่อง รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,788 เครื่อง
พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เราสามารถยึดเครื่องมืออุปกรณ์ในการขุดบิตคอยน์จำนวนมากที่สุดเท่าที่มีการจับกุมมา ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำให้รัฐสูญเสียรายได้แต่ยังกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและพลังงานของประเทศ ถือว่าเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลให้ความสำคัญ
โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษจะดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดพร้อมจะขยายผลการสืบสวนเพิ่มเติม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำผิดในลักษณะเดียวกันอีกในอนาคต และขอความร่วมมือเจ้าของและผู้พักอาศัยในอาคารพาณิชย์ช่วยสังเกตพื้นที่โดยรอบ หากพบสิ่งผิดปกติหรือสถานที่ต้องสงสัย ให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที
ทั้งนี้ หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าเกี่ยวข้องจะมอบหมายให้ กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินคดีอย่างถึงที่สุดเพื่อรักษาผลประโยชน์และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
ดูรูปได้ที่ :
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_5026439
ธปท.เผยปปง.ระงับบัญชีม้าปี67กว่า 1.75แสนบัญชี และ ถล่มโคตรเหมืองบิตคอยน์ ขุด 1,788 เครื่อง
ธปท.ชี้ “คริปโท”ม้าเสี่ยงสูง ยกระดับปราบบัญชีม้า “บุคคล-นิติ” คุมทั้งบริษัท-กรรมการผู้มีอำนาจ พร้อม 3มาตรการเพิ่มเติม “กวาดล้าง เข้มข้น ครอบคลุม”
ข้อมูลสะสมจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)และสถาบันการเงิน 17แห่งระบุ การระงับบัญชีม้า ณสิ้นเดือนธ.ค.2567มีจำนวน 1.75แสนบัญชีและรายชื่อม้า 1.34แสนบัญชีแต่ยังเกิดเหตุจำนวนมากที่เป็นเหยื่อโดยหลอกให้ทำธุรกรรมเอง(Authorized Push Payment Fraud)
นางรุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ภัยการเงินยังคงคุกคามความเชื่อมั่นของระบบPayment ธปท.ไม่เคยนิ่งนอนใจและได้ยกระดับมาตรการเชิงป้องกัน
โดยเพิ่มความเข้มข้นและขยายผลการจัดการบัญชีต้องสงสัย เพื่อให้ธนาคารสามารถดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันความเสี่ยงและแก้ปัญหาภัยทุจริตทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ซึ่งยุคเริ่มต้นธปท.ออกแนวนโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยให้บริการทางการเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่โดยกำกับให้ธนาคารพาณิชย์รับมือกับแอปพลิเคชั่นปลอมหรือโมบายแบงก์กิ้ง
ต่อมาต้นปี2567ธปท.ไม่ให้สถาบันการเงินเป็นช่องทางที่มิจฉาชีพใช้สวมรอยเป็นตำรวจบ้าง หรือเป็นส่วนราชการอื่นเพื่อให้เหยื่อหลงเชื่อจึงไม่ให้ส่งลิ้งค์หรือเปิดบัญชีออนไลน์ต้องสแกนใบหน้า รวมทั้งการทำธุรกรรมไม่เกิน 5หมื่นบาทขึ้นไปเพื่อไม่ให้มิจฉาชีพปลอมตัวเป็นเราและทำธุรกรรม(Unauthorized Payment Fraud)
ถัดมาประชาชนถูกหลอกลวงให้หลงเชื่อในการลงทุน/ซื้อสินค้าบริการเกิดการโอนเงินไปในบัญชีม้าเป็นช่องทางที่ทำให้เกิดธุรกรรมทางการเงินที่ไม่ว่าถ่ายโอน ส่งต่อ หรือรับเงิน เป็นลักษณะฉ้อฉล และมิจฉาชีพเอามาใช้ กลางปีที่67จึงออกกมาตรการปราบปรามม้ายุคแรก รวมทั้งสนับสนุนให้ธนาคารดูแลลูกค้าให้ปลอดภัยมากขึ้น หรือมีเพดานวงเงิน
ทั้งนี้ ทุกธนาคารได้ตกลงร่วมกันว่าในวันที่ 31ม.ค. 68 ถ้าเป็นบัญชีม้าดำและม้าเทาเข้ม ลูกค้าจะโอนเงินเข้าบัญชีไม่ได้ ก่อนหน้านี้ก็มีหลายธนาคารพักเงินไว้แล้วมีการคืนเงินให้ลูกค้าในเวลาอันสั้นอาจจะ 1-2วัน
สิ่งที่เห็นคือ ตัวเลขภัยทุจริตที่ลูกค้าไม่ได้รู้เห็นหรือเป็นแอปดูดเงินที่มิจฉาชีพสวมรอยซึ่งภัยดังกล่าวลดลงอย่างมาก เห็นได้จากกลางปี67 เจอหลายร้อยเคส. แต่ณ สิ้นเดือนธ.ค.ที่ผ่านมาเจอเพียง 1เคส และธปท.คาดหวังว่าจะอยู่ที่ระดับศูนย์เคสซึ่งเป็นผลที่ดีขึ้นจากการนำเทคโนโลยีมาช่วย
แต่ในเรื่องของการหลอกให้ลูกค้าโอนเงิน “Authorized Push Payment Fraud” หลังจากออกมาตรการกวาดล้างบัญชีม้าอย่างจริงจังก็เห็นการชะลอลงบ้าง เห็นได้จากเส้นของกราฟไม่ทยานขึ้นเช่นช่วงก่อนหน้า สะท้อนว่าภัยยังคงอยู่และธปท.คงจะมีการกระชับมาตรการ
ดีลใหญ่สะเทือนวงการ! CP อาจร่วมวงเทคโอเวอร์ Seven & i โบรกมองมีความเสี่ยง
“กณีเป็นบัญชีที่อยู่ในข่าย การปราบปรามบัญชีม้ามาตรการเร่งด่วนที่จะทำเพิ่มมี ก. ข. ค. หมายความว่า เราจะเป็น ก้าง ขวาง คอม้า ทำให้ม้าทำงานไม่สะดวกยิ่งขึ้นอีก ทั้งกวาดล้างบัญชีม้าเข้มขึ้น หรือการเปิดบัญชีม้าจะยากขึ้นกว่าเดิม เช่น การเปิดบัญชีที่มีความเสี่ยงนั้นธนาคารไม่เปิดบัญชีให้ หรือเปิดได้แต่ไม่ให้ใช้การเต็มที่/จำกัดการทำธุรกรรม ซึ่งอันนี้ในต่างประเทศทำมานานแล้ว นอกจากนี้จะมีการแชร์ข้อมูลให้มากขึ้นโดยครอบคลุมภายนอก”
นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท.กล่าวว่า การกวาดล้างบัญชีม้ามากขึ้นโดยจะยกระดับสีม้าหรือเพิ่มเฉดสี สะท้อนความเสี่ยงมากขึ้นสิ่งที่แบงก์จะทำให้ดีขึ้น คือถ้าโอนไม่ผ่านแบงก์จะส่งMessage แจ้งเตือนว่ากำลังโอนเงินเข้าบัญชีต้องสงสัย
ตอนนี้การเตือนมาทุกธุรกรรม หวังว่าคำเตือนจะช่วยกระตุก แล้วจะทำAlert เป็นกลไกถัดไป แต่บางแบงก์ทำแล้วโดยจะทำได้ทุกแบงก์ภายในเดือนมี.ค.นี้ อีกอันที่จะต้องจัดการให้เข้มข้นมากขึ้น คือ ม้านิติ คือ ม้ารายบุคคลธรรมดาหาได้ยากขึ้น เส้นทางเงินสั้นลง โดยแต่ก่อนมีการโอน 5ทอด ตอนนี้มี 1ทอดแล้วไปคริปโท จึงมุ่งไปที่เปิดบัญชีนิติบุคคล โดยใช้กันมากขึ้น ใช้สะดวกขึ้นด้วย เพราะบริษัทจะได้โฟลว์เงินมากกว่า
สำหรับ "ม้านิติ"ที่เป็นสีดำบริษัทที่อยู่บนเส้นทางเงินและที่ปปง.ประกาศแล้ว มีการกันเงินออกแล้ว และภายในก.พ.จะกันไม่ได้เปิดบัญชีใหม่ และไม่ใช่จะกันเฉพาะบริษัทเท่านั้นแต่จะดูกรรมการที่เป็นผู้มีอำนาจในการบริหารแต่ละนิติว่ามีชื่อติดอยู่ในม้าสีใด?
ถ้ามีชื่อติดม้าสีใดก็จะเปิดบัญชีไม่ได้หรือเปิดบัญชีได้ยากขึ้น และเปิดบัญชีแล้วจะมีการจำกัดการใช้เป็นActionหลัก หวังว่าธปท.จะจัดการกับบัญชีม้าได้ดีขึ้น โดยกันเงินเข้าทุกเฉดสีที่มีความเสี่ยงสูง ,รวมถึงกันเงินออกและกันไม่ให้เปิดบัญชีใหม่จะทำได้ครบภายในเดือนมี.ค
“ม้าเสี่ยงสูงอื่นๆ ตอนนี้มี ม้าคริปโท ธปท.เห็นคนโอนบ่อยหรือโอนเงินต่ำกว่า 5หมื่นบาท ไปบัญชีเดียว 3ครั้ง พอมีกฏเกณฑ์แบบนั้น มิจฉาชีพก็จะปรับ ทำให้จับไม่ทัน ฉะนั้น pattern ใหม่จะใช้เทคโนโลยี่และ มีDATAมากขึ้น รวมทั้งDATA Cross Bank จะทำให้ตรงนี้ดีขึ้น
ธปท.จะทำกลไกให้แชร์ข้อม฿ลให้ผู้ประกอบการนิติบุคคลทุกสี เพราะ75%ของความเสียหายออกที่ครปโทและตามยากเพราะโอนไปคริปโทในประเทศก่อนแล้วออกนอกประเทศ อีกทั้งธปท.ร่วมกับ กลต. กรมตำรวจ และปปง. เพื่อปิดไม่ให้เงินไปไหลไปต่างประเทศ สิ่งที่ต้องทำเพิ่มคือเครื่องมือห้ามเปิดบัญชีโดยให้ดูความเสี่ยง ดูพฤติกรรมว่าจะนำไปใช้ทำอะไรที่ไม่ถูกต้องหรือเปล่า สิ่งที่ต้องทำเพิ่มคือ การหน่วง คือการระงับ แต่จะมีวิธีหน่วงที่ไม่กระทบคนในวงกว้าง และมีการแชร์ข้อมูลนอกลุ่มแบงก์เช่น DA Exchange หรืออี-วอลเลตทั้งวงจร”
Cr. https://www.thansettakij.com/finance/618351
ถล่มโคตรเหมืองบิตคอยน์ ขุด 1,788 เครื่อง ซ่อนใน 3 โรงงานสมุทรสาคร ทำรัฐสูญ 500 ล้าน!
DSI ปฏิบัติการรื้อเหมืองขุดบิตคอยน์ลับ (Bitforge Operation) ร่วม กฟภ.บุกทลายเหมืองขุดบิทคอยน์เถื่อน ซุกซ่อนใน 3 โรงงานพื้นที่สมุทรสาครทำรัฐสูญรายได้กว่า 500 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 31 มกราคม พันตำรวจตรียุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย ร้อยตำรวจเอก เขมชาติ ประกายหงษ์มณี ผู้อำนวยการกองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ นายพีระพล ปูรณะโชติ รองผู้ว่าการภาคกลางและใต้ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) นายธนะ โชคพระสมบัติ ผู้ช่วยผู้ว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 3 (ภาคกลาง) และ ร้อยตำรวจเอก เขตรัฐ ชาญศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร
ลงพื้นที่ตรวจค้น โกดังจำนวน 3 แห่ง ต้องสงสัยว่าใช้เป็นสถานที่ ลักลอบใช้ไฟฟ้าเพื่อตั้งเหมืองขุดเงินดิจิทัลผิดกฎหมายในจังหวัดสมุทรสาคร ภายใต้ชื่อปฏิบัติการ “รื้อเหมืองขุดบิตคอยน์ลับ” (Bitforge Operation : เป็นแพลตฟอร์มขุดเหรียญคริปโตระบบออโตขุด USDC และ USDT)
การปฏิบัติการ “รื้อเหมืองขุดบิตคอยน์ลับ” ในครั้งนี้สืบเนื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับการร้องเรียนจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 3 (ภาคกลาง) ว่าพบการใช้ไฟฟ้าผิดปกติในโกดังหลายแห่ง
โดยตรวจสอบพบว่าเป็นเครือข่ายขุดบิตคอยน์เถื่อนที่ใช้ไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งได้ดำเนินการมาแล้วประมาณ 3 ปี ทำให้รัฐเสียหายกว่า 500 ล้านบาท โดยขอให้ดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547
อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงได้มอบหมายให้กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศเป็นหน่วยงานรับผิดชอบทำการสืบสวน โดยพบว่ามีเครือข่ายผู้ลักลอบกระทำความผิด ใช้โกดังลักษณะทำเป็นโรงงาน จำนวน 3 แห่ง ซึ่งบางแห่งเป็นโกดังร้างไม่มีบุคคลอาศัยอยู่ กระจายตัวในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร เจ้าหน้าที่กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศจึงได้ขอหมายค้นเข้าทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้น ทั้ง 3 จุด พบเครื่องขุดสกุลเงินดิจิทัล
จุดที่ 1 โกดังในพื้นที่ตำบลนาดี อำเภอเมือง จำนวน 396 เครื่อง จุดที่ 2 ในพื้นที่ตำบลบ้านเกาะ อำเภอเมือง จำนวน 462 เครื่อง จุดที่ 3 ตำบลท่าทราย อำเภอเมือง จำนวน 930 เครื่อง รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,788 เครื่อง
พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เราสามารถยึดเครื่องมืออุปกรณ์ในการขุดบิตคอยน์จำนวนมากที่สุดเท่าที่มีการจับกุมมา ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำให้รัฐสูญเสียรายได้แต่ยังกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและพลังงานของประเทศ ถือว่าเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลให้ความสำคัญ
โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษจะดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดพร้อมจะขยายผลการสืบสวนเพิ่มเติม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำผิดในลักษณะเดียวกันอีกในอนาคต และขอความร่วมมือเจ้าของและผู้พักอาศัยในอาคารพาณิชย์ช่วยสังเกตพื้นที่โดยรอบ หากพบสิ่งผิดปกติหรือสถานที่ต้องสงสัย ให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที
ทั้งนี้ หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าเกี่ยวข้องจะมอบหมายให้ กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินคดีอย่างถึงที่สุดเพื่อรักษาผลประโยชน์และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
ดูรูปได้ที่ : https://www.matichon.co.th/local/crime/news_5026439