อาจารย์มช. ยันข้อมูลทำวิจัย ไทยขายไฟฟ้าให้พม่า ผ่านนอมินี ไม่ใช่รัฐต่อรัฐ เผยยิบวิธีขาย
https://www.matichon.co.th/politics/news_5019555
ปิ่นแก้ว อาจารย์มช. ยันข้อมูลวิจัย ไทยขายไฟให้พม่า ผ่านนอมินี ไม่ใช่รัฐต่อรัฐ อัดรมว.ไร้ความรับผิดชอบ พูดมาได้ ขายต่อต่อให้ใครเป็นเรื่องของเขาทั้งๆที่มีผลต่อความมั่นคงภายใน
เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 ศ.ดร.
ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้โพสต์เฟสบุ๊กแสดงความคิดเห็น กรณีที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ส่งไฟขายให้กับประเทศพม่าและถูกนำไปใช้ในธุรกิจสีดำเช่น คอลเซ็นเตอร์และการผลิตยาเสพติดว่า
เรื่องกฟภ.ขายไฟให้เมืองสแกมเมอร์ในฝั่งเมียวดี หลายคนเข้าใจผิดว่า เป็นเรื่องรัฐต่อรัฐ จริงๆแล้วไม่ใช่ หากไม่เข้าใจสถานการณ์ชายแดนฝั่งเมียนมาร์ ก็ควรจะศึกษาหาความรู้สักหน่อย ค่อยมาวิจารณ์คนอื่น เจ้าหน้าที่กฟภ.ที่ดิฉันสัมภาษณ์เมื่อปีที่แล้ว ก็ระบุชัดเจนว่า กรณีชายแดนเมียนมาร์นั้น ต่างไปจากการขายไฟให้กับทางฝั่งลาว เพราะ “ในส่วนของรัฐพม่า ประเทศพม่าในเรื่องพื้นที่การปกครองเป็นลักษณะรัฐซ้อนรัฐ รัฐบาลกลางไม่สามารถที่จะเข้ามาปกครองในพื้นที่ชนกลุ่มน้อยอย่างรัฐกะเหรี่ยงได้ จึงไม่สามารถที่จะทำเป็นแบบรัฐต่อรัฐได้”
รูปแบบการขายไฟ จึงเป็นการทำสัญญาผ่านตัวแทนหรือนอมินี หรือบริษัทของกะเหรี่ยง BGF (Shwe Myint Thaung Yinn Industry
& Manufacturing Company Limited หรือ SMTY) ไปขอสัมปทานจากรัฐบาลกลางเมียนมาร์มา แล้วมาเซ้งที่และขาย license ให้กับนอมินีฝั่งไทย กลุ่มนอมินีไทย เป็นฝ่ายที่เข้าไปลงทุนในพื้นที่ BGF สร้างระบบไฟฟ้า บริหารจัดการเรื่องไฟในเมืองสแกมเมอร์ทั้งหมด เช่นติดตั้งเสา และอุปกรณ์สำหรับจ่ายไฟ ดูแลเมื่อระบบไฟมีปัญหา ฯลฯ ตลอดจนตามเก็บค่าไฟแล้วนำมาส่งให้กับกฟภ. การขายไฟในระบบแบบนี้ รัฐบาลกลางพม่าได้ค่าสัมปทาน บริษัทของ BGF ได้ค่าเซ้งที่ บริษัทนอมินีไทยค้ากำไรจากการชาร์จค่าไฟที่สูงลิ่วจากพวกอาชญากรจีน
ส่วนกฟภ.นั้น เป็นเสือนอนกิน ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น รอรับค่าไฟจำนวนมหาศาลในแต่ละเดือนอย่างเดียว KK Park นั้น ใช้ไฟมากกว่า 10 เมกกะวัตต์ ชเวโก๊กโกะ 8 เมกกะวัตต์ ก่อนจะถูกตัดไฟในดือนมิถุนายนปีที่แล้ว เฉพาะรายได้ค่าไฟจาก KK Park แห่งเดียว ในเดือนพฤษภาคม เพียงเดือนเดียวนั้น สูงถึง 30 ล้านบาท รายได้รวมทั้งปีลองคูณเข้าไปดูว่า จำนวนกี่ร้อยล้าน แล้วจะเข้าใจว่า เหตุใดการค้าขายไฟกับเมืองสแกมเมอร์ จึงเป็นเรื่องหอมหวานสำหรับทุกฝ่าย
สัญญาสัมปทานเช่าพื้นที่เพื่อก่อสร้างระบบไฟฟ้าในเมืองสแกมเมอร์ที่รัฐบาลพม่าทำกับบริษัทของ BGF และ BGF เอามาเซ้งต่อให้นอมินีไทย เป็นสัญญาปีต่อปี และเป็นสัญญาสัมปทานระหว่างรัฐบาลพม่ากับ SMTY เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับไทย โปรดอย่าหลงประเด็น กลางปีที่แล้ว หลังจากโดนกดดันจากรัฐบาลจีน ในการสกัดอาชญากรรมสแกมเมอร์ รัฐบาลทหารพม่าก็เคยไม่ต่อสัญญาสัมปทานกับ SMTY ไปรอบนึงแล้ว ทำให้กฟภ.ต้องยุติการจ่ายไฟไปยังจุดที่ตั้งของเมืองชเวโก๊กโกะ (บ้านวังผา) และเมือง KK Park (บ้านแม่กุใหม่ท่าซุง) แต่กฟภ. ไม่ได้ตัดไฟในพื้นที่อื่นๆอีกสองแห่งในเมียวดี และแน่นอน ยังคงร่ำรวยจากรายได้หลายร้อยล้านจากการขายไฟฟ้าไปยังพื้นที่ชายแดนดังกล่าว
หลังการตัดไฟในรอบนั้น ได้ทำเมืองสแกมเมอร์ทั้งสองซบเซาไปชั่วขณะ ในขณะที่เสียงเครื่องปั่นไฟ ดังกระหึ่มข้ามมาฝั่งไทย เอกชนที่ขายเครื่องปั่นไฟในเมืองแม่สอด ต่างล่ำซำจากการขายเครื่องปั่นไฟในช่วงนั้น แต่ที่น่าแปลกใจคือ ไม่นานหลังจากนั้น จู่ๆทั้งเมืองชเวโก๊กโกะ และเมือง KK Park ต่างกลับมาสว่างไสวอีกครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับธุรกิจอาชญากรรมสแกมเมอร์ข้ามชาติที่ขยายตัวและหนักหน่วงมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
คำถามสำคัญจึงเป็นเรื่องที่ว่า ปัจจุบันเมืองสแกมเมอร์ทั้งสอง ใช้ไฟจากไหน หากไม่ใช่จากกฟภ.? เพราะพื้นที่ชายแดนตลอดแนวชายแดนไทย-พม่านั้น ล้วนพึ่งพาไฟฟ้าจากไทยทั้งสิ้น การที่รัฐมนตรีบางคนออกมาพูดพล่อยๆว่า ขายไฟฟ้าให้เมียนมาร์ไปแล้ว ส่วนเขาจะไปขายต่อให้ใครเป็นเรื่องของเขา ถือเป็นเรื่องที่ขาดความรับผิดชอบ และเห็นแก่ได้อย่างยิ่ง ไม่ควรที่จะมาบริหารและดูแลเรื่องความมั่นคงของประเทศ ความสงบสุขของประชาชน ตลอดจนการสร้างความปลอดภัยให้กับพื้นที่ชายแดน
การปล่อยปละละเลยให้สาธารณูปโภคของประเทศที่มาจากเงินภาษีของประชาชน กลายเป็นทรัพยากรที่อาชญากรข้ามชาตินำไปใช้ดำเนินกิจการในการล่อลวงและทำร้ายประชาชนของประเทศอย่างกว้างขวาง โดยรัฐและหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบโดยตรง ไม่ทำอะไร ถือเป็นเรื่องที่น่าละอายอย่างยิ่ง
ที่น่าละอายยิ่งกว่า ไม่ใช่การที่สื่อเมียนมาร์ชี้นิ้วมาที่ไทยว่าขายไฟให้กับแก๊งค์คอลเซนเตอร์ เพราะมันเป็นเรื่องจริง แต่เป็นเรื่องกำไรและรายได้มหาศาลจากการค้าไฟฟ้ากับพวกอาชญากรข้ามชาติเหล่านี้ ล้วนมาจากเงินเก็บและทรัพยากรของประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อจำนวนมากมาย หลายคนถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัว แต่รัฐมนตรีที่ดูแลเรื่องนี้ กลับพูดอย่างไร้ความรับผิดชอบว่า นี่คือมหาดไทย ไม่ใช่มหาดพม่า!
https://www.facebook.com/arunothai.ruangrong/posts/pfbid035dPhTGyptm1xUfR6BuwXTqNxXssUVjJ4k5TrvgLfKCccGd5TYfKA9mXydX7EARFxl
อดีตนปช.ร้องกกต.อุบลฯ ค้านรับรองผล กานต์ กัลป์ตินันท์ ชงเปิดไต่สวนทักษิณ ผิดกม.เลือกตั้ง
https://www.matichon.co.th/politics/local-election/news_5020141
อดีตแกนนำ นปช.อุบลราชธานี บุก กกต.อุบลฯ ร้องตรวจสอบ ‘ทักษิณ’ คัดค้านการรับรองผลการเลือกตั้ง นายก อบจ.อุบลฯ
เมื่อวันที่ 27 มกราคม ที่สำนักงานงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดอุบลราชธานี นาย
จำรูญศักดิ์ อายุ 54 ปี อดีตแกนนำ นปช.อุบลราชธานี
พร้อมด้วย นาย
ไชยเดช ศิริพร อดีต อัยการจังหวัดอุบลและอดีตประธาน กกต.ยโสธร เดินทางมายื่นหนังสือคัดค้านการรับรองผลการเลือกตั้ง นาย
กานต์ กัลป์ตินันท์ เป็นนายก อบจ.อุบลราชธานี และขอให้ตรวจสอบการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของ นาย
ทักษิณ ชินวัตร โดยมี นาย
ประวิทย์ ก้อนทองดี ผอ.กกต.อุบลราชธานี ออกมารับหนังสือ
นาย
จำรูญศักดิ์กล่าวว่า เดินทางมายื่นหนังสือเพื่อขอให้ตรวจสอบการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายทักษิณและร้องคัดค้านการรับรองผลการเลือกตั้งนายกานต์เป็นนายก อบจ.อุบลราชธานี ซึ่งด้วยปรากฏว่า นาย
ทักษิณได้ไปปรากฏตัวและปราศรัยช่วยหาเสียงในการเลือกตั้งผู้สมัครนายก อบจ.ในหลายๆ จังหวัด ได้ปราศรัยโดยการนำนโยบายของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปราบปรามยาเสพติด การลดค่าไฟฟ้า การแจกเงินดิจิทัลเฟส 1 เฟส 2 ซึ่งไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของ อบจ.แต่ประการใด
นาย
จำรูญศักดิ์กล่าวว่า กรณีนี้เป็นการนำเสนอหรือจงใจให้เลือกผู้บริหารท้องถิ่นที่ตนเองสนับสนุน ซึ่งการกระทำของนาย
ทักษิณเป็นการขัดต่อมาตรา 65 ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ และการกระทำดังกล่าวมีคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาคต่างๆ เคยวินิจฉัยไว้แล้วว่าเป็นการกระทำที่ผิดมาตรา 65 (5) อย่างชัดแจ้ง จึงขอให้ กกต.ตั้งคณะไต่สวนเพื่อไต่สวนและวินิจฉัยคำร้องโดยด่วน เพราะเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายอย่างชัดเจน ทั้งนี้ เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างเรียบร้อยสุจริตและเที่ยงธรรมตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
นาย
ไชยเดชกล่าวว่า นาย
จำรูญศักดิ์ยื่นหนังสือ 2 เรื่อง คือร้องคัดค้านการรับรองผลการเลือกตั้งนายก อบจ.อุบลราชธานี ซึ่งต้องร้องคัดคัดค้านภายใน 30 วัน ว่าเป็นการเลือกตั้งที่ปราศจากความเรียบร้อย ความยุติธรรม สุจริต เที่ยงธรรม และขอให้ตรวจสอบการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของนาย
ทักษิณที่เดินทางไปปราศรัยในหลายจังหวัด เช่น ปราศรัยนโยบายแจกเงิน 1 หมื่นบาท, ค่าไฟฟ้าต้องลด, ลดหนี้ เพิ่มรายได้และประเด็นเรื่องการปราบปรามยาเสพติด ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานอื่น ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของ อบจ. จึงเข้าข่ายมีความผิดตามมาตรา 65 วรรค 3 ได้กำหนดไว้ชัดเจนการหาเสียงนั้นต้องอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ อบจ.
นาย
ไชยเดชกล่าวอีกว่า แต่ที่นายทักษิณปราศรัยหาเสียงเป็นนโยบายที่อยู่นอกอำนาจหน้าที่ของ อบจ.ทั้งนั้น จึงต้องร้องเรียนในส่วนของการอยู่นอกอำนาจหน้าที่ของ อบจ. เมื่อเข้าประเด็นความผิดมาตรา 65 ก็จะต้องมีความผิดตามมาตรา 126 และไปเข้ามาตรา 116 เป็นการกระทำที่ถือว่าทุจริตในการเลือกตั้ง ซึ่งจะเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต.มีเหตุอันควรเชื่อว่าการเลือกตั้งไม่น่าจะเป็นไปโดยการสุจริต เที่ยงธรรม
ขณะที่ ผอ.กกต.อุบลราชธานีกล่าวว่า เบื้องต้นมีระเบียบการตรวจสอบคำร้อง เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดหรือไม่ ทาง กกต.
อุบลฯจะรายงานให้ กกต.ทราบโดยเร็ว ในส่วนของการดำเนินการนั้นอยากให้ผู้ร้องสบายใจว่าในส่วนของ กกต. อุบลฯจะรับเรื่องไปตรวจสอบตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ผอ.กกต.อุบลราชธานีกล่าวว่า การยื่นเรื่องของนาย
จำรูญศักดิ์ที่ร้องเรียนเกี่ยวกับ นาย
ทักษิณ นาย
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ นายกเทศมนตรีนครอุบลราชธานี กรณีการเป็นผู้ช่วยหาเสียง และมีการปลอมแปลงลายมือชื่อนั้นอยู่ในระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่ง กกต.กลางทราบเรื่องแล้ว ได้สั่งการให้ กกต.จังหวัดตรวจสอบข้อเท็จจริงอยู่
สว.ถกญัตติแก้ฝุ่น PM 2.5 “นันทนา” ฉะรบ.ไร้เดียงสา ผ่านมา 2 ปี ไร้แผนจัดการไหนบอกเป็นวาระแห่งชาติ เหน็บชาตินี้หรือชาติหน้า
https://siamrath.co.th/n/596811
วันที่ 27 ม.ค.2568 เวลา 12.30 น.ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา มีนาย
มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม พิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่องการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ของ น.ส.
นันทนา นันทวโรภาส สว. ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากที่คนไทยกำลังเผชิญกับอากาศที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ดัชนีวัดค่าอากาศก็รายงานว่าคน กทม.กำลังจมอยู่กับฝุ่น PM 2.5 สูงเกือบ 200 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทั้งที่มาตราฐานไม่เกิน 50 ไมโครกรัม เช่นเดียวกับคนทั่งประเทศที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน และขณะนี้คนไทยอยู่กันในระดับสีแดงและสีม่วงแล้ว และประเทศไทยติดท็อปเทรนด้านอากาศเสียของโลกแทบทุกวัน
“
เราจะอยู่กันแบบนี้หรือ คุณภาพชีวิตของคนไทยต้องเผชิญชะตากรรม ด้วยฝีมือการบริหารประเทศของรัฐบาลที่ไร้เดียงสาเช่นนี้หรือ ทราบหริอไม่ว่าในปีที่ผ่านมามีคนไทยป่วยเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศถึง 2.1 ล้านคน ส่วนปีนี้ยังไม่ครบเดือนศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมิณค่าเสียหายจากฝุ่น PM 2.5 ไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาท และมีผู้ป่วยจากฝุ่นมฤตยูนี้รวม 1.44 แสนราย เราปล่อยให้รัฐบาลแสดงฝีมือในการบริหารประเทศแบบนี้มาเกือบ 2ปี นายกฯทั้ง 2 ท่านไม่มีแผนแม่บทในการจัดการสภาพอากาศอย่างชัดเจน ไม่มีมาตรการที่เป็นรูปธรรม ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด มีแต่ออกมาพูดว่า เรื่องฝุ่นเป็นวาระแห่งชาติ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นวาระของชาตินี้หรือชาติหน้า” น.ส.
นันทนา กล่าว
น.ส.
นันทนา กล่าวต่อว่า การที่ทุกคนกำลังเผชิญกับสภาพที่เลวร้ายนี้ ตนเห็นว่าเรากำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตทางสุขภาพ ซึ่งเราต้องระดมสมองจากหลายฝ่ายเพื่อหาทางออกให้กับรัฐบาล เพราะลำพังมาตรกรแก้ปัญหาของรัฐบาลดูจะตื่นเขิน ฉาบฉวยและปลายเหตุ ทั้งมาตรการเวิร์คฟอร์มโฮม ขึ้นรถสาธารณะฟรี ย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด ถ้าจังหวัดไหนมีการเผา ตนเห็นว่าเป็นเพียงมาตรการชะลอเวลา รอให้พ้นฤดูฝุ่นเท่านั้น เหมือนคนที่เป็นมะเร็ง ให้นั่งสวดมนต์ เพ่งพินิจไปที่บทสวดจะได้ลืมความเจ็บปวด สุดท้ายตาย นี้ไม่ใช่การแก้ปัญหาแบบมืออาชีพ เพราะปัญหาแบบนี้ต้องแก้ที่ต้นเหตุ ต้องร่วมกันทุกกระทรวงอย่ามาแบ่งว่าเป็นกระทรวงของพรรคไหน หากแก้ปัญหาที่มาจากการ
JJNY : 5in1 ขายไฟฟ้าให้พม่าผ่านนอมินี│อดีตนปช.ร้องกกต.│“นันทนา”ฉะรบ.ไร้เดียงสา│หุ้นไทยปิดดิ่ง│มองโกเลียหนาวจัดติดลบ 44.4
https://www.matichon.co.th/politics/news_5019555
ปิ่นแก้ว อาจารย์มช. ยันข้อมูลวิจัย ไทยขายไฟให้พม่า ผ่านนอมินี ไม่ใช่รัฐต่อรัฐ อัดรมว.ไร้ความรับผิดชอบ พูดมาได้ ขายต่อต่อให้ใครเป็นเรื่องของเขาทั้งๆที่มีผลต่อความมั่นคงภายใน
เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 ศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้โพสต์เฟสบุ๊กแสดงความคิดเห็น กรณีที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ส่งไฟขายให้กับประเทศพม่าและถูกนำไปใช้ในธุรกิจสีดำเช่น คอลเซ็นเตอร์และการผลิตยาเสพติดว่า
เรื่องกฟภ.ขายไฟให้เมืองสแกมเมอร์ในฝั่งเมียวดี หลายคนเข้าใจผิดว่า เป็นเรื่องรัฐต่อรัฐ จริงๆแล้วไม่ใช่ หากไม่เข้าใจสถานการณ์ชายแดนฝั่งเมียนมาร์ ก็ควรจะศึกษาหาความรู้สักหน่อย ค่อยมาวิจารณ์คนอื่น เจ้าหน้าที่กฟภ.ที่ดิฉันสัมภาษณ์เมื่อปีที่แล้ว ก็ระบุชัดเจนว่า กรณีชายแดนเมียนมาร์นั้น ต่างไปจากการขายไฟให้กับทางฝั่งลาว เพราะ “ในส่วนของรัฐพม่า ประเทศพม่าในเรื่องพื้นที่การปกครองเป็นลักษณะรัฐซ้อนรัฐ รัฐบาลกลางไม่สามารถที่จะเข้ามาปกครองในพื้นที่ชนกลุ่มน้อยอย่างรัฐกะเหรี่ยงได้ จึงไม่สามารถที่จะทำเป็นแบบรัฐต่อรัฐได้”
รูปแบบการขายไฟ จึงเป็นการทำสัญญาผ่านตัวแทนหรือนอมินี หรือบริษัทของกะเหรี่ยง BGF (Shwe Myint Thaung Yinn Industry
& Manufacturing Company Limited หรือ SMTY) ไปขอสัมปทานจากรัฐบาลกลางเมียนมาร์มา แล้วมาเซ้งที่และขาย license ให้กับนอมินีฝั่งไทย กลุ่มนอมินีไทย เป็นฝ่ายที่เข้าไปลงทุนในพื้นที่ BGF สร้างระบบไฟฟ้า บริหารจัดการเรื่องไฟในเมืองสแกมเมอร์ทั้งหมด เช่นติดตั้งเสา และอุปกรณ์สำหรับจ่ายไฟ ดูแลเมื่อระบบไฟมีปัญหา ฯลฯ ตลอดจนตามเก็บค่าไฟแล้วนำมาส่งให้กับกฟภ. การขายไฟในระบบแบบนี้ รัฐบาลกลางพม่าได้ค่าสัมปทาน บริษัทของ BGF ได้ค่าเซ้งที่ บริษัทนอมินีไทยค้ากำไรจากการชาร์จค่าไฟที่สูงลิ่วจากพวกอาชญากรจีน
ส่วนกฟภ.นั้น เป็นเสือนอนกิน ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น รอรับค่าไฟจำนวนมหาศาลในแต่ละเดือนอย่างเดียว KK Park นั้น ใช้ไฟมากกว่า 10 เมกกะวัตต์ ชเวโก๊กโกะ 8 เมกกะวัตต์ ก่อนจะถูกตัดไฟในดือนมิถุนายนปีที่แล้ว เฉพาะรายได้ค่าไฟจาก KK Park แห่งเดียว ในเดือนพฤษภาคม เพียงเดือนเดียวนั้น สูงถึง 30 ล้านบาท รายได้รวมทั้งปีลองคูณเข้าไปดูว่า จำนวนกี่ร้อยล้าน แล้วจะเข้าใจว่า เหตุใดการค้าขายไฟกับเมืองสแกมเมอร์ จึงเป็นเรื่องหอมหวานสำหรับทุกฝ่าย
สัญญาสัมปทานเช่าพื้นที่เพื่อก่อสร้างระบบไฟฟ้าในเมืองสแกมเมอร์ที่รัฐบาลพม่าทำกับบริษัทของ BGF และ BGF เอามาเซ้งต่อให้นอมินีไทย เป็นสัญญาปีต่อปี และเป็นสัญญาสัมปทานระหว่างรัฐบาลพม่ากับ SMTY เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับไทย โปรดอย่าหลงประเด็น กลางปีที่แล้ว หลังจากโดนกดดันจากรัฐบาลจีน ในการสกัดอาชญากรรมสแกมเมอร์ รัฐบาลทหารพม่าก็เคยไม่ต่อสัญญาสัมปทานกับ SMTY ไปรอบนึงแล้ว ทำให้กฟภ.ต้องยุติการจ่ายไฟไปยังจุดที่ตั้งของเมืองชเวโก๊กโกะ (บ้านวังผา) และเมือง KK Park (บ้านแม่กุใหม่ท่าซุง) แต่กฟภ. ไม่ได้ตัดไฟในพื้นที่อื่นๆอีกสองแห่งในเมียวดี และแน่นอน ยังคงร่ำรวยจากรายได้หลายร้อยล้านจากการขายไฟฟ้าไปยังพื้นที่ชายแดนดังกล่าว
หลังการตัดไฟในรอบนั้น ได้ทำเมืองสแกมเมอร์ทั้งสองซบเซาไปชั่วขณะ ในขณะที่เสียงเครื่องปั่นไฟ ดังกระหึ่มข้ามมาฝั่งไทย เอกชนที่ขายเครื่องปั่นไฟในเมืองแม่สอด ต่างล่ำซำจากการขายเครื่องปั่นไฟในช่วงนั้น แต่ที่น่าแปลกใจคือ ไม่นานหลังจากนั้น จู่ๆทั้งเมืองชเวโก๊กโกะ และเมือง KK Park ต่างกลับมาสว่างไสวอีกครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับธุรกิจอาชญากรรมสแกมเมอร์ข้ามชาติที่ขยายตัวและหนักหน่วงมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
คำถามสำคัญจึงเป็นเรื่องที่ว่า ปัจจุบันเมืองสแกมเมอร์ทั้งสอง ใช้ไฟจากไหน หากไม่ใช่จากกฟภ.? เพราะพื้นที่ชายแดนตลอดแนวชายแดนไทย-พม่านั้น ล้วนพึ่งพาไฟฟ้าจากไทยทั้งสิ้น การที่รัฐมนตรีบางคนออกมาพูดพล่อยๆว่า ขายไฟฟ้าให้เมียนมาร์ไปแล้ว ส่วนเขาจะไปขายต่อให้ใครเป็นเรื่องของเขา ถือเป็นเรื่องที่ขาดความรับผิดชอบ และเห็นแก่ได้อย่างยิ่ง ไม่ควรที่จะมาบริหารและดูแลเรื่องความมั่นคงของประเทศ ความสงบสุขของประชาชน ตลอดจนการสร้างความปลอดภัยให้กับพื้นที่ชายแดน
การปล่อยปละละเลยให้สาธารณูปโภคของประเทศที่มาจากเงินภาษีของประชาชน กลายเป็นทรัพยากรที่อาชญากรข้ามชาตินำไปใช้ดำเนินกิจการในการล่อลวงและทำร้ายประชาชนของประเทศอย่างกว้างขวาง โดยรัฐและหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบโดยตรง ไม่ทำอะไร ถือเป็นเรื่องที่น่าละอายอย่างยิ่ง
ที่น่าละอายยิ่งกว่า ไม่ใช่การที่สื่อเมียนมาร์ชี้นิ้วมาที่ไทยว่าขายไฟให้กับแก๊งค์คอลเซนเตอร์ เพราะมันเป็นเรื่องจริง แต่เป็นเรื่องกำไรและรายได้มหาศาลจากการค้าไฟฟ้ากับพวกอาชญากรข้ามชาติเหล่านี้ ล้วนมาจากเงินเก็บและทรัพยากรของประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อจำนวนมากมาย หลายคนถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัว แต่รัฐมนตรีที่ดูแลเรื่องนี้ กลับพูดอย่างไร้ความรับผิดชอบว่า นี่คือมหาดไทย ไม่ใช่มหาดพม่า!
https://www.facebook.com/arunothai.ruangrong/posts/pfbid035dPhTGyptm1xUfR6BuwXTqNxXssUVjJ4k5TrvgLfKCccGd5TYfKA9mXydX7EARFxl
อดีตนปช.ร้องกกต.อุบลฯ ค้านรับรองผล กานต์ กัลป์ตินันท์ ชงเปิดไต่สวนทักษิณ ผิดกม.เลือกตั้ง
https://www.matichon.co.th/politics/local-election/news_5020141
อดีตแกนนำ นปช.อุบลราชธานี บุก กกต.อุบลฯ ร้องตรวจสอบ ‘ทักษิณ’ คัดค้านการรับรองผลการเลือกตั้ง นายก อบจ.อุบลฯ
เมื่อวันที่ 27 มกราคม ที่สำนักงานงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดอุบลราชธานี นายจำรูญศักดิ์ อายุ 54 ปี อดีตแกนนำ นปช.อุบลราชธานี
พร้อมด้วย นายไชยเดช ศิริพร อดีต อัยการจังหวัดอุบลและอดีตประธาน กกต.ยโสธร เดินทางมายื่นหนังสือคัดค้านการรับรองผลการเลือกตั้ง นายกานต์ กัลป์ตินันท์ เป็นนายก อบจ.อุบลราชธานี และขอให้ตรวจสอบการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของ นายทักษิณ ชินวัตร โดยมี นายประวิทย์ ก้อนทองดี ผอ.กกต.อุบลราชธานี ออกมารับหนังสือ
นายจำรูญศักดิ์กล่าวว่า เดินทางมายื่นหนังสือเพื่อขอให้ตรวจสอบการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายทักษิณและร้องคัดค้านการรับรองผลการเลือกตั้งนายกานต์เป็นนายก อบจ.อุบลราชธานี ซึ่งด้วยปรากฏว่า นายทักษิณได้ไปปรากฏตัวและปราศรัยช่วยหาเสียงในการเลือกตั้งผู้สมัครนายก อบจ.ในหลายๆ จังหวัด ได้ปราศรัยโดยการนำนโยบายของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปราบปรามยาเสพติด การลดค่าไฟฟ้า การแจกเงินดิจิทัลเฟส 1 เฟส 2 ซึ่งไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของ อบจ.แต่ประการใด
นายจำรูญศักดิ์กล่าวว่า กรณีนี้เป็นการนำเสนอหรือจงใจให้เลือกผู้บริหารท้องถิ่นที่ตนเองสนับสนุน ซึ่งการกระทำของนายทักษิณเป็นการขัดต่อมาตรา 65 ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ และการกระทำดังกล่าวมีคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาคต่างๆ เคยวินิจฉัยไว้แล้วว่าเป็นการกระทำที่ผิดมาตรา 65 (5) อย่างชัดแจ้ง จึงขอให้ กกต.ตั้งคณะไต่สวนเพื่อไต่สวนและวินิจฉัยคำร้องโดยด่วน เพราะเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายอย่างชัดเจน ทั้งนี้ เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างเรียบร้อยสุจริตและเที่ยงธรรมตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
นายไชยเดชกล่าวว่า นายจำรูญศักดิ์ยื่นหนังสือ 2 เรื่อง คือร้องคัดค้านการรับรองผลการเลือกตั้งนายก อบจ.อุบลราชธานี ซึ่งต้องร้องคัดคัดค้านภายใน 30 วัน ว่าเป็นการเลือกตั้งที่ปราศจากความเรียบร้อย ความยุติธรรม สุจริต เที่ยงธรรม และขอให้ตรวจสอบการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายทักษิณที่เดินทางไปปราศรัยในหลายจังหวัด เช่น ปราศรัยนโยบายแจกเงิน 1 หมื่นบาท, ค่าไฟฟ้าต้องลด, ลดหนี้ เพิ่มรายได้และประเด็นเรื่องการปราบปรามยาเสพติด ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานอื่น ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของ อบจ. จึงเข้าข่ายมีความผิดตามมาตรา 65 วรรค 3 ได้กำหนดไว้ชัดเจนการหาเสียงนั้นต้องอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ อบจ.
นายไชยเดชกล่าวอีกว่า แต่ที่นายทักษิณปราศรัยหาเสียงเป็นนโยบายที่อยู่นอกอำนาจหน้าที่ของ อบจ.ทั้งนั้น จึงต้องร้องเรียนในส่วนของการอยู่นอกอำนาจหน้าที่ของ อบจ. เมื่อเข้าประเด็นความผิดมาตรา 65 ก็จะต้องมีความผิดตามมาตรา 126 และไปเข้ามาตรา 116 เป็นการกระทำที่ถือว่าทุจริตในการเลือกตั้ง ซึ่งจะเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต.มีเหตุอันควรเชื่อว่าการเลือกตั้งไม่น่าจะเป็นไปโดยการสุจริต เที่ยงธรรม
ขณะที่ ผอ.กกต.อุบลราชธานีกล่าวว่า เบื้องต้นมีระเบียบการตรวจสอบคำร้อง เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดหรือไม่ ทาง กกต.
อุบลฯจะรายงานให้ กกต.ทราบโดยเร็ว ในส่วนของการดำเนินการนั้นอยากให้ผู้ร้องสบายใจว่าในส่วนของ กกต. อุบลฯจะรับเรื่องไปตรวจสอบตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ผอ.กกต.อุบลราชธานีกล่าวว่า การยื่นเรื่องของนายจำรูญศักดิ์ที่ร้องเรียนเกี่ยวกับ นายทักษิณ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ นายกเทศมนตรีนครอุบลราชธานี กรณีการเป็นผู้ช่วยหาเสียง และมีการปลอมแปลงลายมือชื่อนั้นอยู่ในระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่ง กกต.กลางทราบเรื่องแล้ว ได้สั่งการให้ กกต.จังหวัดตรวจสอบข้อเท็จจริงอยู่
สว.ถกญัตติแก้ฝุ่น PM 2.5 “นันทนา” ฉะรบ.ไร้เดียงสา ผ่านมา 2 ปี ไร้แผนจัดการไหนบอกเป็นวาระแห่งชาติ เหน็บชาตินี้หรือชาติหน้า
https://siamrath.co.th/n/596811
วันที่ 27 ม.ค.2568 เวลา 12.30 น.ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม พิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่องการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ของ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากที่คนไทยกำลังเผชิญกับอากาศที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ดัชนีวัดค่าอากาศก็รายงานว่าคน กทม.กำลังจมอยู่กับฝุ่น PM 2.5 สูงเกือบ 200 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทั้งที่มาตราฐานไม่เกิน 50 ไมโครกรัม เช่นเดียวกับคนทั่งประเทศที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน และขณะนี้คนไทยอยู่กันในระดับสีแดงและสีม่วงแล้ว และประเทศไทยติดท็อปเทรนด้านอากาศเสียของโลกแทบทุกวัน
“เราจะอยู่กันแบบนี้หรือ คุณภาพชีวิตของคนไทยต้องเผชิญชะตากรรม ด้วยฝีมือการบริหารประเทศของรัฐบาลที่ไร้เดียงสาเช่นนี้หรือ ทราบหริอไม่ว่าในปีที่ผ่านมามีคนไทยป่วยเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศถึง 2.1 ล้านคน ส่วนปีนี้ยังไม่ครบเดือนศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมิณค่าเสียหายจากฝุ่น PM 2.5 ไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาท และมีผู้ป่วยจากฝุ่นมฤตยูนี้รวม 1.44 แสนราย เราปล่อยให้รัฐบาลแสดงฝีมือในการบริหารประเทศแบบนี้มาเกือบ 2ปี นายกฯทั้ง 2 ท่านไม่มีแผนแม่บทในการจัดการสภาพอากาศอย่างชัดเจน ไม่มีมาตรการที่เป็นรูปธรรม ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด มีแต่ออกมาพูดว่า เรื่องฝุ่นเป็นวาระแห่งชาติ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นวาระของชาตินี้หรือชาติหน้า” น.ส.นันทนา กล่าว
น.ส.นันทนา กล่าวต่อว่า การที่ทุกคนกำลังเผชิญกับสภาพที่เลวร้ายนี้ ตนเห็นว่าเรากำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตทางสุขภาพ ซึ่งเราต้องระดมสมองจากหลายฝ่ายเพื่อหาทางออกให้กับรัฐบาล เพราะลำพังมาตรกรแก้ปัญหาของรัฐบาลดูจะตื่นเขิน ฉาบฉวยและปลายเหตุ ทั้งมาตรการเวิร์คฟอร์มโฮม ขึ้นรถสาธารณะฟรี ย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด ถ้าจังหวัดไหนมีการเผา ตนเห็นว่าเป็นเพียงมาตรการชะลอเวลา รอให้พ้นฤดูฝุ่นเท่านั้น เหมือนคนที่เป็นมะเร็ง ให้นั่งสวดมนต์ เพ่งพินิจไปที่บทสวดจะได้ลืมความเจ็บปวด สุดท้ายตาย นี้ไม่ใช่การแก้ปัญหาแบบมืออาชีพ เพราะปัญหาแบบนี้ต้องแก้ที่ต้นเหตุ ต้องร่วมกันทุกกระทรวงอย่ามาแบ่งว่าเป็นกระทรวงของพรรคไหน หากแก้ปัญหาที่มาจากการ