JJNY : 5in1 ขายไฟฟ้าให้พม่าผ่านนอมินี│อดีตนปช.ร้องกกต.│“นันทนา”ฉะรบ.ไร้เดียงสา│หุ้นไทยปิดดิ่ง│มองโกเลียหนาวจัดติดลบ 44.4

อาจารย์มช. ยันข้อมูลทำวิจัย ไทยขายไฟฟ้าให้พม่า ผ่านนอมินี ไม่ใช่รัฐต่อรัฐ เผยยิบวิธีขาย
https://www.matichon.co.th/politics/news_5019555
 
 
ปิ่นแก้ว อาจารย์มช. ยันข้อมูลวิจัย ไทยขายไฟให้พม่า ผ่านนอมินี ไม่ใช่รัฐต่อรัฐ อัดรมว.ไร้ความรับผิดชอบ พูดมาได้ ขายต่อต่อให้ใครเป็นเรื่องของเขา​ทั้งๆที่มีผลต่อความมั่นคงภายใน
 
เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 ศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้โพสต์เฟสบุ๊กแสดงความคิดเห็น กรณีที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ส่งไฟขายให้กับประเทศพม่าและถูกนำไปใช้ในธุรกิจสีดำเช่น คอลเซ็นเตอร์และการผลิตยาเสพติดว่า 
 
เรื่องกฟภ.ขายไฟให้เมืองสแกมเมอร์ในฝั่งเมียวดี หลายคนเข้าใจผิดว่า เป็นเรื่องรัฐต่อรัฐ จริงๆแล้วไม่ใช่ หากไม่เข้าใจสถานการณ์ชายแดนฝั่งเมียนมาร์ ก็ควรจะศึกษาหาความรู้สักหน่อย ค่อยมาวิจารณ์คนอื่น เจ้าหน้าที่กฟภ.ที่ดิฉันสัมภาษณ์เมื่อปีที่แล้ว ก็ระบุชัดเจนว่า กรณีชายแดนเมียนมาร์นั้น ต่างไปจากการขายไฟให้กับทางฝั่งลาว เพราะ “ในส่วนของรัฐพม่า ประเทศพม่าในเรื่องพื้นที่การปกครองเป็นลักษณะรัฐซ้อนรัฐ รัฐบาลกลางไม่สามารถที่จะเข้ามาปกครองในพื้นที่ชนกลุ่มน้อยอย่างรัฐกะเหรี่ยงได้ จึงไม่สามารถที่จะทำเป็นแบบรัฐต่อรัฐได้”
 
รูปแบบการขายไฟ จึงเป็นการทำสัญญาผ่านตัวแทนหรือนอมินี หรือบริษัทของกะเหรี่ยง BGF (Shwe Myint Thaung Yinn Industry
 & Manufacturing Company Limited หรือ SMTY) ไปขอสัมปทานจากรัฐบาลกลางเมียนมาร์มา แล้วมาเซ้งที่และขาย license ให้กับนอมินีฝั่งไทย กลุ่มนอมินีไทย เป็นฝ่ายที่เข้าไปลงทุนในพื้นที่ BGF สร้างระบบไฟฟ้า บริหารจัดการเรื่องไฟในเมืองสแกมเมอร์ทั้งหมด เช่นติดตั้งเสา และอุปกรณ์สำหรับจ่ายไฟ ดูแลเมื่อระบบไฟมีปัญหา ฯลฯ ตลอดจนตามเก็บค่าไฟแล้วนำมาส่งให้กับกฟภ. การขายไฟในระบบแบบนี้ รัฐบาลกลางพม่าได้ค่าสัมปทาน บริษัทของ BGF ได้ค่าเซ้งที่ บริษัทนอมินีไทยค้ากำไรจากการชาร์จค่าไฟที่สูงลิ่วจากพวกอาชญากรจีน
 
ส่วนกฟภ.นั้น เป็นเสือนอนกิน ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น รอรับค่าไฟจำนวนมหาศาลในแต่ละเดือนอย่างเดียว KK Park นั้น ใช้ไฟมากกว่า 10 เมกกะวัตต์ ชเวโก๊กโกะ 8 เมกกะวัตต์ ก่อนจะถูกตัดไฟในดือนมิถุนายนปีที่แล้ว เฉพาะรายได้ค่าไฟจาก KK Park แห่งเดียว ในเดือนพฤษภาคม เพียงเดือนเดียวนั้น สูงถึง 30 ล้านบาท รายได้รวมทั้งปีลองคูณเข้าไปดูว่า จำนวนกี่ร้อยล้าน แล้วจะเข้าใจว่า เหตุใดการค้าขายไฟกับเมืองสแกมเมอร์ จึงเป็นเรื่องหอมหวานสำหรับทุกฝ่าย
 
สัญญาสัมปทานเช่าพื้นที่เพื่อก่อสร้างระบบไฟฟ้าในเมืองสแกมเมอร์ที่รัฐบาลพม่าทำกับบริษัทของ BGF และ BGF เอามาเซ้งต่อให้นอมินีไทย เป็นสัญญาปีต่อปี และเป็นสัญญาสัมปทานระหว่างรัฐบาลพม่ากับ SMTY เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับไทย โปรดอย่าหลงประเด็น กลางปีที่แล้ว หลังจากโดนกดดันจากรัฐบาลจีน ในการสกัดอาชญากรรมสแกมเมอร์ รัฐบาลทหารพม่าก็เคยไม่ต่อสัญญาสัมปทานกับ SMTY ไปรอบนึงแล้ว ทำให้กฟภ.ต้องยุติการจ่ายไฟไปยังจุดที่ตั้งของเมืองชเวโก๊กโกะ (บ้านวังผา) และเมือง KK Park (บ้านแม่กุใหม่ท่าซุง) แต่กฟภ. ไม่ได้ตัดไฟในพื้นที่อื่นๆอีกสองแห่งในเมียวดี และแน่นอน ยังคงร่ำรวยจากรายได้หลายร้อยล้านจากการขายไฟฟ้าไปยังพื้นที่ชายแดนดังกล่าว
 
หลังการตัดไฟในรอบนั้น ได้ทำเมืองสแกมเมอร์ทั้งสองซบเซาไปชั่วขณะ ในขณะที่เสียงเครื่องปั่นไฟ ดังกระหึ่มข้ามมาฝั่งไทย เอกชนที่ขายเครื่องปั่นไฟในเมืองแม่สอด ต่างล่ำซำจากการขายเครื่องปั่นไฟในช่วงนั้น แต่ที่น่าแปลกใจคือ ไม่นานหลังจากนั้น จู่ๆทั้งเมืองชเวโก๊กโกะ และเมือง KK Park ต่างกลับมาสว่างไสวอีกครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับธุรกิจอาชญากรรมสแกมเมอร์ข้ามชาติที่ขยายตัวและหนักหน่วงมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
 
คำถามสำคัญจึงเป็นเรื่องที่ว่า ปัจจุบันเมืองสแกมเมอร์ทั้งสอง ใช้ไฟจากไหน หากไม่ใช่จากกฟภ.? เพราะพื้นที่ชายแดนตลอดแนวชายแดนไทย-พม่านั้น ล้วนพึ่งพาไฟฟ้าจากไทยทั้งสิ้น การที่รัฐมนตรีบางคนออกมาพูดพล่อยๆว่า ขายไฟฟ้าให้เมียนมาร์ไปแล้ว ส่วนเขาจะไปขายต่อให้ใครเป็นเรื่องของเขา ถือเป็นเรื่องที่ขาดความรับผิดชอบ และเห็นแก่ได้อย่างยิ่ง ไม่ควรที่จะมาบริหารและดูแลเรื่องความมั่นคงของประเทศ ความสงบสุขของประชาชน ตลอดจนการสร้างความปลอดภัยให้กับพื้นที่ชายแดน
 
การปล่อยปละละเลยให้สาธารณูปโภคของประเทศที่มาจากเงินภาษีของประชาชน กลายเป็นทรัพยากรที่อาชญากรข้ามชาตินำไปใช้ดำเนินกิจการในการล่อลวงและทำร้ายประชาชนของประเทศอย่างกว้างขวาง โดยรัฐและหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบโดยตรง ไม่ทำอะไร ถือเป็นเรื่องที่น่าละอายอย่างยิ่ง
ที่น่าละอายยิ่งกว่า ไม่ใช่การที่สื่อเมียนมาร์ชี้นิ้วมาที่ไทยว่าขายไฟให้กับแก๊งค์คอลเซนเตอร์ เพราะมันเป็นเรื่องจริง แต่เป็นเรื่องกำไรและรายได้มหาศาลจากการค้าไฟฟ้ากับพวกอาชญากรข้ามชาติเหล่านี้ ล้วนมาจากเงินเก็บและทรัพยากรของประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อจำนวนมากมาย หลายคนถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัว แต่รัฐมนตรีที่ดูแลเรื่องนี้ กลับพูดอย่างไร้ความรับผิดชอบว่า นี่คือมหาดไทย ไม่ใช่มหาดพม่า!

https://www.facebook.com/arunothai.ruangrong/posts/pfbid035dPhTGyptm1xUfR6BuwXTqNxXssUVjJ4k5TrvgLfKCccGd5TYfKA9mXydX7EARFxl



อดีตนปช.ร้องกกต.อุบลฯ ค้านรับรองผล กานต์ กัลป์ตินันท์ ชงเปิดไต่สวนทักษิณ ผิดกม.เลือกตั้ง
https://www.matichon.co.th/politics/local-election/news_5020141

อดีตแกนนำ นปช.อุบลราชธานี บุก กกต.อุบลฯ ร้องตรวจสอบ ‘ทักษิณ’ คัดค้านการรับรองผลการเลือกตั้ง นายก อบจ.อุบลฯ

เมื่อวันที่ 27 มกราคม ที่สำนักงานงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดอุบลราชธานี นายจำรูญศักดิ์ อายุ 54 ปี อดีตแกนนำ นปช.อุบลราชธานี
พร้อมด้วย นายไชยเดช ศิริพร อดีต อัยการจังหวัดอุบลและอดีตประธาน กกต.ยโสธร เดินทางมายื่นหนังสือคัดค้านการรับรองผลการเลือกตั้ง นายกานต์ กัลป์ตินันท์ เป็นนายก อบจ.อุบลราชธานี และขอให้ตรวจสอบการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของ นายทักษิณ ชินวัตร โดยมี นายประวิทย์ ก้อนทองดี ผอ.กกต.อุบลราชธานี ออกมารับหนังสือ
 
นายจำรูญศักดิ์กล่าวว่า เดินทางมายื่นหนังสือเพื่อขอให้ตรวจสอบการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายทักษิณและร้องคัดค้านการรับรองผลการเลือกตั้งนายกานต์เป็นนายก อบจ.อุบลราชธานี ซึ่งด้วยปรากฏว่า นายทักษิณได้ไปปรากฏตัวและปราศรัยช่วยหาเสียงในการเลือกตั้งผู้สมัครนายก อบจ.ในหลายๆ จังหวัด ได้ปราศรัยโดยการนำนโยบายของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปราบปรามยาเสพติด การลดค่าไฟฟ้า การแจกเงินดิจิทัลเฟส 1 เฟส 2 ซึ่งไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของ อบจ.แต่ประการใด
 
นายจำรูญศักดิ์กล่าวว่า กรณีนี้เป็นการนำเสนอหรือจงใจให้เลือกผู้บริหารท้องถิ่นที่ตนเองสนับสนุน ซึ่งการกระทำของนายทักษิณเป็นการขัดต่อมาตรา 65 ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นหรือไม่ และการกระทำดังกล่าวมีคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาคต่างๆ เคยวินิจฉัยไว้แล้วว่าเป็นการกระทำที่ผิดมาตรา 65 (5) อย่างชัดแจ้ง จึงขอให้ กกต.ตั้งคณะไต่สวนเพื่อไต่สวนและวินิจฉัยคำร้องโดยด่วน เพราะเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายอย่างชัดเจน ทั้งนี้ เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างเรียบร้อยสุจริตและเที่ยงธรรมตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
 
นายไชยเดชกล่าวว่า นายจำรูญศักดิ์ยื่นหนังสือ 2 เรื่อง คือร้องคัดค้านการรับรองผลการเลือกตั้งนายก อบจ.อุบลราชธานี ซึ่งต้องร้องคัดคัดค้านภายใน 30 วัน ว่าเป็นการเลือกตั้งที่ปราศจากความเรียบร้อย ความยุติธรรม สุจริต เที่ยงธรรม และขอให้ตรวจสอบการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายทักษิณที่เดินทางไปปราศรัยในหลายจังหวัด เช่น ปราศรัยนโยบายแจกเงิน 1 หมื่นบาท, ค่าไฟฟ้าต้องลด, ลดหนี้ เพิ่มรายได้และประเด็นเรื่องการปราบปรามยาเสพติด ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานอื่น ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของ อบจ. จึงเข้าข่ายมีความผิดตามมาตรา 65 วรรค 3 ได้กำหนดไว้ชัดเจนการหาเสียงนั้นต้องอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ อบจ.
 
นายไชยเดชกล่าวอีกว่า แต่ที่นายทักษิณปราศรัยหาเสียงเป็นนโยบายที่อยู่นอกอำนาจหน้าที่ของ อบจ.ทั้งนั้น จึงต้องร้องเรียนในส่วนของการอยู่นอกอำนาจหน้าที่ของ อบจ. เมื่อเข้าประเด็นความผิดมาตรา 65 ก็จะต้องมีความผิดตามมาตรา 126 และไปเข้ามาตรา 116 เป็นการกระทำที่ถือว่าทุจริตในการเลือกตั้ง ซึ่งจะเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต.มีเหตุอันควรเชื่อว่าการเลือกตั้งไม่น่าจะเป็นไปโดยการสุจริต เที่ยงธรรม
 
ขณะที่ ผอ.กกต.อุบลราชธานีกล่าวว่า เบื้องต้นมีระเบียบการตรวจสอบคำร้อง เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดหรือไม่ ทาง กกต.
อุบลฯจะรายงานให้ กกต.ทราบโดยเร็ว ในส่วนของการดำเนินการนั้นอยากให้ผู้ร้องสบายใจว่าในส่วนของ กกต. อุบลฯจะรับเรื่องไปตรวจสอบตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
 
ผอ.กกต.อุบลราชธานีกล่าวว่า การยื่นเรื่องของนายจำรูญศักดิ์ที่ร้องเรียนเกี่ยวกับ นายทักษิณ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ นายกเทศมนตรีนครอุบลราชธานี กรณีการเป็นผู้ช่วยหาเสียง และมีการปลอมแปลงลายมือชื่อนั้นอยู่ในระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่ง กกต.กลางทราบเรื่องแล้ว ได้สั่งการให้ กกต.จังหวัดตรวจสอบข้อเท็จจริงอยู่


 
สว.ถกญัตติแก้ฝุ่น PM 2.5 “นันทนา” ฉะรบ.ไร้เดียงสา ผ่านมา 2 ปี ไร้แผนจัดการไหนบอกเป็นวาระแห่งชาติ เหน็บชาตินี้หรือชาติหน้า
https://siamrath.co.th/n/596811

วันที่ 27 ม.ค.2568 เวลา 12.30 น.ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม พิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่องการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ของ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากที่คนไทยกำลังเผชิญกับอากาศที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ดัชนีวัดค่าอากาศก็รายงานว่าคน กทม.กำลังจมอยู่กับฝุ่น PM 2.5 สูงเกือบ 200 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทั้งที่มาตราฐานไม่เกิน 50 ไมโครกรัม เช่นเดียวกับคนทั่งประเทศที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน และขณะนี้คนไทยอยู่กันในระดับสีแดงและสีม่วงแล้ว และประเทศไทยติดท็อปเทรนด้านอากาศเสียของโลกแทบทุกวัน
 
เราจะอยู่กันแบบนี้หรือ คุณภาพชีวิตของคนไทยต้องเผชิญชะตากรรม ด้วยฝีมือการบริหารประเทศของรัฐบาลที่ไร้เดียงสาเช่นนี้หรือ ทราบหริอไม่ว่าในปีที่ผ่านมามีคนไทยป่วยเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศถึง 2.1 ล้านคน ส่วนปีนี้ยังไม่ครบเดือนศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมิณค่าเสียหายจากฝุ่น PM 2.5 ไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาท และมีผู้ป่วยจากฝุ่นมฤตยูนี้รวม 1.44 แสนราย เราปล่อยให้รัฐบาลแสดงฝีมือในการบริหารประเทศแบบนี้มาเกือบ 2ปี นายกฯทั้ง 2 ท่านไม่มีแผนแม่บทในการจัดการสภาพอากาศอย่างชัดเจน ไม่มีมาตรการที่เป็นรูปธรรม ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด มีแต่ออกมาพูดว่า เรื่องฝุ่นเป็นวาระแห่งชาติ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นวาระของชาตินี้หรือชาติหน้า” น.ส.นันทนา กล่าว

 น.ส.นันทนา กล่าวต่อว่า การที่ทุกคนกำลังเผชิญกับสภาพที่เลวร้ายนี้ ตนเห็นว่าเรากำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตทางสุขภาพ ซึ่งเราต้องระดมสมองจากหลายฝ่ายเพื่อหาทางออกให้กับรัฐบาล เพราะลำพังมาตรกรแก้ปัญหาของรัฐบาลดูจะตื่นเขิน ฉาบฉวยและปลายเหตุ ทั้งมาตรการเวิร์คฟอร์มโฮม ขึ้นรถสาธารณะฟรี ย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด ถ้าจังหวัดไหนมีการเผา ตนเห็นว่าเป็นเพียงมาตรการชะลอเวลา รอให้พ้นฤดูฝุ่นเท่านั้น เหมือนคนที่เป็นมะเร็ง ให้นั่งสวดมนต์ เพ่งพินิจไปที่บทสวดจะได้ลืมความเจ็บปวด สุดท้ายตาย นี้ไม่ใช่การแก้ปัญหาแบบมืออาชีพ เพราะปัญหาแบบนี้ต้องแก้ที่ต้นเหตุ ต้องร่วมกันทุกกระทรวงอย่ามาแบ่งว่าเป็นกระทรวงของพรรคไหน หากแก้ปัญหาที่มาจากการ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่