(กระทู้ระบาย) ศรัทธาคริสต์ที่เหลือเพียงเส้นบาง ๆ โดยไม่รู้ว่าจะขาดลงเมื่อไหร่

(โปรดใช้วิจารณญาณในการรับสื่อ)
ถูกชักจูงเข้าลัทธิที่อ้างคริสต์ หนีออกมาได้ ก็เริ่มสนใจศึกษาและลงเอยด้วยการรับศีลล้างบาปเป็นคริสต์ ตอนที่กำลังพิมพ์อยู่นี้ก็ครบ 10 ปีแล้วที่ได้เป็นชาวคริสต์ หลังจากรับศีลเสร็จและได้รับศีลกำลังกับสังฆราช รู้สึกอิ่มเอมใจมากที่ได้เข้าใจว่าเส้นทางศรัทธาที่เราเลือกมันเป็นเช่นนี้นี่เอง ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่คริสต์หน้าใหม่ทุกคนจะต้องเจอการทดลองจากพระองค์ที่มาแบบ โอ้โห! ไม่ให้พักหายใจกันเลย ปีแรกของการเป็นชาวคริสต์ก็ค่อนข้างทุลักทุเล ทั้งจากคนรอบข้างและคนในครอบครัว แต่สุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดีในช่วงปีที่สอง ที่ต่างเข้าใจในตัวตนนี้ อีกทั้งก็ได้มีชุมชนเล็ก ๆ ที่คอยเกื้อหนุนให้กำลังใจต่อความเชื่อความศรัทธากันอย่างดี บางคนก็เข้ามาศึกษาและพูดคุยถึงความเชื่อเหล่านี้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เปลี่ยนมานับถือก็ตาม เพราะส่วนตัวแยกเรื่องโลกความเชื่อกับฆราวาสออกจากกัน ยิ่งกว่านั้นคือเหมือนพระเจ้าประทานหลายสิ่งมาให้ ทั้งที่ส่วนตัวเป็นคริสต์ที่แย่ ไม่ค่อยประกาศ แทบไม่ค่อยสวดภาวนาอธิษฐาน ก็ทำให้เชื่อว่าเรื่องของพระเจ้า เป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ต่างคนต่างได้สัมผัสและมีประสบการณ์ไม่เหมือนกัน

จนปีที่สี่ของความเชื่อเหมือนถูกทดสอบครั้งใหญ่ จิตใจถูกทำร้ายหนักหน่วง พยายามฮึดสู้แต่ก็ยังถูกซ้ำเติมหนัก แน่นอนว่าการเจออย่างนี้ก็ต้องสวดภาวนาขอให้พระองค์มาช่วย แม้จะมาช้าหน่อยก็เถอะ แต่แผลทางจิตใจก็ดันคาไว้ใหญ่เบ้อเริ่ม แต่แผลนั้นแทนที่จะหาย มันดันกลายเป็นว่าข้างในแผลนั้น มันมีบาดแผลเก่า ๆ ฝังอยู่ข้างใน ยิ่งแหกออกมาเท่าไหร่ ก็ยิ่งกลายเป็นส่งผลกระทบต่อจิตใจไป บวกกับช่วงโควิดระบาดที่กระทบต่อสุขภาพจิตหลายคน ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น รู้ตัวอีกทีก็ได้เข้าพบจิตแพทย์ ดีที่เป็นแค่ภาวะเครียด ไม่ถึงกับซึมเศร้า แต่ผลร้ายก็คือนอนไม่หลับ หลับยากถึงมากที่สุด กินยารักษาอยู่เกือบปีก็เริ่มดีขึ้น แต่ผลข้างเคียงก็ยังคงค้างอยู่ ตั้งแต่นั้นมา ไม่เคยได้นอนหลับก่อนสี่ทุ่ม แถมประสาทไวเวอร์ เสียงดังระหว่างนอนเมื่อไหร่ ตื่นตัวเมื่อนั้น ถ้าโจรเข้าบ้านมาก็คงพร้อมสู้ แต่อย่ามาเลยนะ ซึ่งก็ขอบคุณพระเจ้าตลอดที่ทำให้หายป่วยได้ แม้จะไม่ดีเลิศก็ตาม

พ้นช่วงนั้นมา ความศรัทธาก็เหมือนจะแน่นขึ้น จากที่ไม่เคยสวดภาวนา ทุกวันนี้กินข้าวหรือก่อนนอนก็สวดภาวนาขอบคุณที่ให้ดำรงชีพมาจนถึงทุกวันนี้ ใช่แล้ว ผมขอบคุณพระองค์ที่พาหลุดจากอาการป่วยนั้นมาได้ ฟิลิปปี 4:13 ที่ว่า "ข้าพเจ้าเผชิญได้ทุกอย่างโดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า" กลายเป็นบทที่ผมจำขึ้นใจจนเกือบจะไปสักไว้ที่หน้าอก เพราะถ้าผมไม่มีพระองค์ ผมก็คงมาไม่ถึงวันนี้

แต่ ณ ตอนนี้ในรอบสองเกือบสามปีที่ผ่านมา ชีวิตเหมือนย่ำอยู่กับที่จนบางครั้งก็เหมือนจะตกต่ำ และก็เป็นอยู่อย่างนี้มาตลอด พยายามทำใจเป็นกลางและนึกถึงผู้อื่นที่แย่กว่าเราเข้าไว้ แต่สุดท้ายเหมือนกลายเป็นการปลอบและยอมรับในสิ่งที่แย่แบบนี้ต่อไป ลักษณะเหมือนกราฟชีวิตนิ่งและดิ่งลง ไม่เคยมีการพุ่งขึ้น แต่แล้วกลับรู้สึกเหมือนพระเจ้าหายไปจากชีวิต คนอื่นอาจจะคิดว่าบ้า คนศรัทธามากก็คงมองว่าผมคิดไปเอง แต่ใครจะรู้ได้เท่าคนที่กำลังประสบอยู่ เปรียบเหมือนอยู่บนเรือลำเล็กลอยเคว้งคว้างกลางทะเลที่เจอแต่คลื่นยักษ์ถาโถมเข้ามาใส่และต้องอดทนจนกว่าจะผ่านพ้นไป แต่เมื่อผ่านพ้นไป กลับเจอเรือลำใหญ่สวยงามลอยผ่าน ยิ่งกว่านั้น มันดันเป็นเรือของคนที่เคยทำร้ายจิตใจเรา พวกเขาล้วนมีชีวิตที่ดี ไม่ขัดสนและค่อนข้างแฮปปี้จนรู้สึกได้ นั่นทำให้ผมรู้สึกน้อยใจว่าทำไมพวกเขาที่เคยทำร้ายผม กลับมีชีวิตดี ในขณะที่คนศรัทธาร้องหาพระองค์กลับเจอแต่เรื่องเหนื่อยและไม่มีการตอบรับกลับมา 'หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ Sorry, the number you've dialed cannot be connected, please try again later' คงงั้นมั้ง

จะให้บอกว่าเพราะเอาชีวิตไปผูกติดแบบนั้นไง มันเลยคิดตาม ไปสนใจทำไม ซึ่งผมไม่ได้สนใจว่าเขาชีวิตดีกว่าผม แต่ผมตั้งคำถามว่าถ้าพระองค์ยุติธรรม ทำไมถึงให้ฝ่ายกระทำมีชีวิตที่ดี ทั้งที่ผมเชื่อดังที่มัทธิว 5:3 และ 5:4 เขียนไว้เลยว่า "ผู้มีใจยากจนย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า ย่อมเป็นสุข  เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน"  ซ้ำร้าย อาการนอนไม่หลับแบบวันวานก็ย้อนคืนกลับมาจนต้องกลับไปพึ่งยานอนหลับอีกครั้ง ออกกำลังกายก็แล้ว พบหมอก็แล้ว ทำทุกอย่างแล้ว รวมถึงการสวดภาวนาขอพระองค์ให้ช่วย เรียกว่าทำทุกทางทั้งทางโลกและทางความเชื่อ แต่ผลก็คือศูนย์เปล่า 'หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้' อีกแล้วหรอเนี่ย!? อาการก็ไม่มีทีท่าจะหายและเหมือนจะต้องพึ่งยามากขึ้น ตอนนี้ก็เริ่มส่งผลกระทบกับชีวิตบ้างแล้ว

จากความศรัทธาที่เคยแน่นแฟ้น ตอนนี้มันลดลงจนเบาบาง มิอาจรู้ได้เลยว่าจะขาดลงเมื่อไหร่ หรือที่จริงแล้ว พระเจ้าทอดทิ้งผมไปตั้งนานแล้ว พูดแบบนี้อาจจะทำให้ชาวคริสต์เคร่ง ๆ หลายคนไม่พอใจจนอาจจะมาต่อว่า แต่ผมรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ หรือใครจะมาปลอบว่ามีคนที่หนักกว่าผม ก็เข้าใจครับ แต่พวกเขาก็ล้วนอยากหายขาดเหมือนที่ผมอยากหายนี่แหละ แต่ก็ตามที่หัวกระทู้บอกแหละครับ ผมแค่ระบายและอยากบอกเล่าถึงความศรัทธาที่มี หากศรัทธาผมขาดสะบั้นลงและกลับไปใช้ชีวิตแบบไม่มีพระเจ้า ผมก็ไม่รู้ว่าพระองค์จะแสดงเรื่องอัศจรรย์ให้ผมเห็นเพื่อกลับมาศรัทธาอีกมั้ย หรือมันอาจจะหนักกว่าตรงที่พระองค์ทิ้งโลกใบนี้ไปแล้ว มันถึงได้วุ่นวายจนเหมือนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ย่อม ๆ ไปแล้วนะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่