คือไปดูเรื่องนี้เพราะ ฮิวจ์ แกรนท์ ล้วน ๆ ครับ ไม่ได้ดูตัวอย่าง ไม่ได้ศึกษาข้อมูลอะไรเลย จนก่อนเข้าโรงก็เหลือบไปเห็นโลโก้ A24 ก็เลยคิดว่า "เอาก็เอาวะ เป็นไงเป็นกัน"
หนังแนว ระทึกขวัญ สยองขวัญ ลึกลับ เล่าเรื่องของมิชชันนารี 2 คน คือหน้าที่ของพวกนางคือพูดชักจูงคนให้นับถือศาสนาคริสต์ และต้องเป็นคริสต์แบบฉบับของโบสถ์พวกนางด้วยนะ(ฟีลคล้ายๆนิกาย) ชื่อว่า "มอร์มอน" แล้วเหมือนทางโบสถ์เขาลิสต์รายชื่อมาว่าต้องไปที่บ้านนู้นบ้านนี้ ประเด็นคือพวกนางต้องไปที่บ้านของลุง "มิสเตอร์รี๊ด" (ก็คือคนที่แสดงโดย ฮิวจ์ แกรนท์ นี่แหละ) พอพวกนางไปถึงก็พูด ๆ ขายของให้ตาลุงรี๊ด แล้วฝนก็ตกพอดี ตาลุงแกก็เฟรนลี่ชวนเข้าบ้าน ทีนี้ก็บันเทิงสิครับ เพราะลุงแกมีสิ่งที่อยากจะ "สั่งสอน" พวกนางพอดี และวิธีการสอนของลุงคือแบบ...(ต้องไปดูเอง) วิบากกรรมก็เลยไปตกที่พวกนาง ที่ต้องหาทางเอาตัวรอดจากบ้านนี้ให้ได้
พล็อตเรื่องดูเผิน ๆ เหมือนหนังเอาตัวรอดจากพวกโรคจิตธรรมดา ๆ แต่คือเรื่องนี้มันแฝงปรัชญาที่ทุกคนเข้าถึงได้ ก็คือมันถามเราตรง ๆ เลยว่า "ในบรรดาศาสนาในโลกนี้ อันไหนจริง อันไหนหลอก" และที่เจ็บจี๊ดเลยคือมันถามว่า "แล้วสุดท้ายศาสนามีจริงมั้ย"
ใครที่ไม่อินกับเรื่องพวกนี้ก็คงคิดว่า ไปดูแล้วหลับแน่ ๆ (ช่วงแรก ๆ ผมก็คิดแบบนั้น) แต่พอลุงแกเริ่มปล่อยของเท่านั้นแหละ บอกเลยว่าลุ้นจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ คือลุงแกสอนไปด้วย แล้วก็สอบเราไปด้วย ประมาณว่าต้องเรียนให้เข้าใจ ถ้าสอบไม่ผ่านก็ตุยสถานเดียวนะจ๊ะ (ถ้าครูบ้านเราเป็นแบบนี้ทุกคนคงตั้งใจเรียน)
การที่หนังแฝงปรัชญาตรงนี้เขามา ผมว่ามันดูไม่ฝืนเลย มันโคตรจะลงตัว แล้วมันช่วยให้เนื้อเรื่องดำเนินไปตามที่เขาอยากให้เป็น และตลอดทางคือนอกจากจะทำให้ลุ้นไปกับตัวละครแล้ว มันยังบังคับให้เรา "คิด" ตามไปด้วย ใครที่ไม่ชอบดูหนังที่ต้องคิด อย่างน้อยก็แค่เอาใจช่วยตัวละครสองสาว แค่นั้นก็สนุกแล้ว เพราะเรื่องนี้ตัวละครเราไม่โง่นะจ๊ะ! นางสู้กลับจ้า แถมมีฉากชิงไหวชิงพริบสนุก ๆ เยอะเลย
ถามว่าคนไทยพุทธดูรู้เรื่องมั้ย ตอบเลยว่าตรงนี้ต้อง "กราบ" คนเขียนบทงาม ๆ คือ 99% ของหนังมันพูดถึงศาสนาคริสต์ หรือพวกเทวนิยม แต่เราดูเข้าใจเว้ย มันใช้การอุปมาอุปมัยที่ย่อยง่าย คำพูดอะไรใด ๆ ก็คือฟังครั้งเดียวเก็ทเลย ยิ่งบวกกับวิธีการสอนของตาลุงรี๊ด ที่ต้องยกความดีความชอบให้การแสดงของ ฮิวจ์ แกรนท์ (แอบอยากให้แกมาเป็นครูที่บ้านเรา นี่คนนึงจะตั้งใจเรียน ไม่ใช่เพราะแกดุ แต่แกสอนดีจริง ๆ แถมหน้าตาดีมีเสน่ห์อีกต่างหาก) คือเขาตั้งใจสร้างหนังให้คนทุกศาสนาดูรู้เรื่องอยู่แล้ว
นอกจากบทคม ๆ กับการแสดงชั้นครูแล้ว คือหนังมันไม่มีช่วงน่าเบื่อเลย เข้าประเด็นเร็ว แล้วรีบอัดเรารัว ๆ ด้วยคำถามมากมาย พวกบรรยากาศกับซาวด์ประกอบคือช่วยบิวต์สุด ๆ มันเพิ่มระดับความอยากรู้ให้เราขึ้นเรื่อย ๆ พอถึงจุดนึงเราจะเดาอะไรไม่ได้เลย จนกระทั่งหนังมันเฉลยทุกอย่างออกมา และที่พีคคือหลังจากเฉลยแล้ว มันยังให้ "การบ้าน" เรากลับไปคิด ไปถกเถียงกับคนอื่นต่อ ก่อนที่เครดิตจะขึ้น
มีฉากโหด ๆ เลือดสาดอยู่นะ ดูแล้วก็มีเสียวไส้บ้าง แต่ไม่เยอะ คนที่กลัวเลือดก็พอดูได้อยู่
แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้เพอร์เฟค และไม่ใช่หนังที่ดีที่สุดในห้วงเวลานี้ ยังมีบางจุดที่เกินจริงไปนิด บางจุดที่ไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะตอนเฉลยความจริงหลายคนอาจจะมองว่าหนังมันดร็อปลง จุดหักมุมก็ไม่มี (ก็เล่นบิวต์มาซะขนาดนั้น) แต่หนังมันก็มอบความบันเทิง และฝากข้อคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เรากลับไปทบทวน โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อของเรา
สรุปคือ เป็นหนังที่ลุ้นระทึกแถมความประเทืองปัญญา ที่ไม่ได้มีให้ดูบ่อย ๆ แนะนำสำหรับคนที่ชอบแนวนี้ ใครที่ศึกษาเรื่องศาสนาอยู่ยิ่งแนะนำเลย ดูแล้วมุมมองของคุณอาจจะเปลี่ยนไปเลยก็ได้
8/10 ครับ
อันนี้สปอยสำหรับคนที่ดูไม่เข้าใจ +ตีความตอนจบ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ส่วนตัวคิดว่าตาลุงรี๊ดแกมีปมกับการนับถือศาสนา คือแกก็พยายามหาเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจแหละ แต่สุดท้ายก็ได้รู้ว่า ศาสนาทุกอันมันหลอกลวง มันแค่ขายฝัน ขายคำสอนที่บิดเบือนตามศาสดาหรือผู้ก่อตั้ง เพื่อที่จะควบคุมคนอื่น ๆ ให้อยู่ใต้อำนาจปกครอง คือมีคำพูดนึงผมชอบมาก แกบอกประมาณว่า "ถ้าคำสอนของพระเจ้าบริสุทธิ์ แต่คนที่เอามาเผยแพร่เป็นคนบาป เราจะยังเขื่อได้อยู่มั้ยว่าคำสอนนั้นมาจากพระเจ้าจริง ๆ"
สุดท้ายตาลุงรี๊ดแกเลยกลายเป็นพวก "Heretic" หรือคนนอกศาสนา แล้วก็จับคนมาทดสอบความเชื่อ ด้วยเกมที่แกสร้างขึ้น (คล้ายๆหนังเรื่อง Saw) เพื่อให้คนเชื่อว่า ศาสนาที่แท้จริง คือ "การควบคุม" คือการทำให้คนอยู่ใต้อำนาจ ในที่นี้คืออำนาจของลุงแกเอง
เกมที่แกสร้างก็จะเป็นเลเวล ๆ ไป เช่นเลเวลแรกคือแกก็จะสอนผ่านมุมมองของแกที่มีตอศาสนา ว่าศาสนาคือการก็อปปี๊ต่อ ๆ กันมา เสร็จแล้วก็ให้เลือกประตู ขึ้นกับว่ายัง เชื่อ หรือ ไม่เชื่อ ในศาสนาเดิม
แต่ไม่ว่าจะเลือกบานไหน สุดท้ายก็จะไปเลเวลที่ 2 คือการแสดงปาฏิหาริย์ให้ดู (ขั้นแรกคือพูดเฉย ๆ ใช่มะ ขั้นนี้คือแสดงให้ดูเลย) พอแสดงจบแล้วก็ถามว่า ที่ได้ดูไปคือปาฏิหาริย์จริง ๆ หรือแค่มายากลแหกตา ถ้าตอบว่าเป็นปาฏิหารย์จริง ๆ ก็จะติดอยู่ในเลเวลนี้ตลอดไป(ก็คือไม่มีทางบรรลุที่แกจะสอน) แต่ถ้าตอบว่าแหกตา แกก็จะท้าให้คิด ให้จับผิด จนกระทั่งรู้ว่าเป็นการจัดฉาก ก็จะนำไปสู่เลเวลที่ 3
เลเวลที่ 3 แกบอกว่ามันคือศาสนาที่แท้จริง ซึ่งก็คือการบังคับให้จำยอม โดนขังในกรง สั่งให้ทำอะไรก็ทำ กลายเป็นหุ่นเชิดที่แกเอามาใช้แสดงในเลเวลที่ 2 นั่นเอง
จะเห็นว่าแต่ละเลเวลคือสิ่งที่ศาสนาต่าง ๆ ใช้เพื่อทำให้เราเชื่อ และหันมานับถือศาสนานั้น ๆ สุดท้ายก็จะอยู่ภายใต้อานาจของศาสนาโดยสมบูรณ์ และสังเกตว่าแต่ละเลเวลจะลงสู่ชั้นใต้ดินลึกขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งก็เหมือนการลงสู่ขุมนรกนั่นเอง
ตอนจบส่วนตัวคิดว่า แพกซ์ตันรอดมาได้ แต่ถูกตาลุงแกล้างสมองว่าศาสนาไม่มีจริง โลกหลังความตายไม่มีจริง ดังนั้นผีเสื้อที่มาเกาะมือก็เป็นแค่ภาพหลอนเท่านั้น ไม่ใช่วิญญาณของคนที่ตายแล้วแบบที่ตัวเองเคยเชื่อมาตลอด
รีวิวหนัง “Heretic บ้านสั่งตาย” ฉบับชาวไทยพุทธ
คือไปดูเรื่องนี้เพราะ ฮิวจ์ แกรนท์ ล้วน ๆ ครับ ไม่ได้ดูตัวอย่าง ไม่ได้ศึกษาข้อมูลอะไรเลย จนก่อนเข้าโรงก็เหลือบไปเห็นโลโก้ A24 ก็เลยคิดว่า "เอาก็เอาวะ เป็นไงเป็นกัน"
หนังแนว ระทึกขวัญ สยองขวัญ ลึกลับ เล่าเรื่องของมิชชันนารี 2 คน คือหน้าที่ของพวกนางคือพูดชักจูงคนให้นับถือศาสนาคริสต์ และต้องเป็นคริสต์แบบฉบับของโบสถ์พวกนางด้วยนะ(ฟีลคล้ายๆนิกาย) ชื่อว่า "มอร์มอน" แล้วเหมือนทางโบสถ์เขาลิสต์รายชื่อมาว่าต้องไปที่บ้านนู้นบ้านนี้ ประเด็นคือพวกนางต้องไปที่บ้านของลุง "มิสเตอร์รี๊ด" (ก็คือคนที่แสดงโดย ฮิวจ์ แกรนท์ นี่แหละ) พอพวกนางไปถึงก็พูด ๆ ขายของให้ตาลุงรี๊ด แล้วฝนก็ตกพอดี ตาลุงแกก็เฟรนลี่ชวนเข้าบ้าน ทีนี้ก็บันเทิงสิครับ เพราะลุงแกมีสิ่งที่อยากจะ "สั่งสอน" พวกนางพอดี และวิธีการสอนของลุงคือแบบ...(ต้องไปดูเอง) วิบากกรรมก็เลยไปตกที่พวกนาง ที่ต้องหาทางเอาตัวรอดจากบ้านนี้ให้ได้
พล็อตเรื่องดูเผิน ๆ เหมือนหนังเอาตัวรอดจากพวกโรคจิตธรรมดา ๆ แต่คือเรื่องนี้มันแฝงปรัชญาที่ทุกคนเข้าถึงได้ ก็คือมันถามเราตรง ๆ เลยว่า "ในบรรดาศาสนาในโลกนี้ อันไหนจริง อันไหนหลอก" และที่เจ็บจี๊ดเลยคือมันถามว่า "แล้วสุดท้ายศาสนามีจริงมั้ย"
ใครที่ไม่อินกับเรื่องพวกนี้ก็คงคิดว่า ไปดูแล้วหลับแน่ ๆ (ช่วงแรก ๆ ผมก็คิดแบบนั้น) แต่พอลุงแกเริ่มปล่อยของเท่านั้นแหละ บอกเลยว่าลุ้นจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ คือลุงแกสอนไปด้วย แล้วก็สอบเราไปด้วย ประมาณว่าต้องเรียนให้เข้าใจ ถ้าสอบไม่ผ่านก็ตุยสถานเดียวนะจ๊ะ (ถ้าครูบ้านเราเป็นแบบนี้ทุกคนคงตั้งใจเรียน)
การที่หนังแฝงปรัชญาตรงนี้เขามา ผมว่ามันดูไม่ฝืนเลย มันโคตรจะลงตัว แล้วมันช่วยให้เนื้อเรื่องดำเนินไปตามที่เขาอยากให้เป็น และตลอดทางคือนอกจากจะทำให้ลุ้นไปกับตัวละครแล้ว มันยังบังคับให้เรา "คิด" ตามไปด้วย ใครที่ไม่ชอบดูหนังที่ต้องคิด อย่างน้อยก็แค่เอาใจช่วยตัวละครสองสาว แค่นั้นก็สนุกแล้ว เพราะเรื่องนี้ตัวละครเราไม่โง่นะจ๊ะ! นางสู้กลับจ้า แถมมีฉากชิงไหวชิงพริบสนุก ๆ เยอะเลย
ถามว่าคนไทยพุทธดูรู้เรื่องมั้ย ตอบเลยว่าตรงนี้ต้อง "กราบ" คนเขียนบทงาม ๆ คือ 99% ของหนังมันพูดถึงศาสนาคริสต์ หรือพวกเทวนิยม แต่เราดูเข้าใจเว้ย มันใช้การอุปมาอุปมัยที่ย่อยง่าย คำพูดอะไรใด ๆ ก็คือฟังครั้งเดียวเก็ทเลย ยิ่งบวกกับวิธีการสอนของตาลุงรี๊ด ที่ต้องยกความดีความชอบให้การแสดงของ ฮิวจ์ แกรนท์ (แอบอยากให้แกมาเป็นครูที่บ้านเรา นี่คนนึงจะตั้งใจเรียน ไม่ใช่เพราะแกดุ แต่แกสอนดีจริง ๆ แถมหน้าตาดีมีเสน่ห์อีกต่างหาก) คือเขาตั้งใจสร้างหนังให้คนทุกศาสนาดูรู้เรื่องอยู่แล้ว
นอกจากบทคม ๆ กับการแสดงชั้นครูแล้ว คือหนังมันไม่มีช่วงน่าเบื่อเลย เข้าประเด็นเร็ว แล้วรีบอัดเรารัว ๆ ด้วยคำถามมากมาย พวกบรรยากาศกับซาวด์ประกอบคือช่วยบิวต์สุด ๆ มันเพิ่มระดับความอยากรู้ให้เราขึ้นเรื่อย ๆ พอถึงจุดนึงเราจะเดาอะไรไม่ได้เลย จนกระทั่งหนังมันเฉลยทุกอย่างออกมา และที่พีคคือหลังจากเฉลยแล้ว มันยังให้ "การบ้าน" เรากลับไปคิด ไปถกเถียงกับคนอื่นต่อ ก่อนที่เครดิตจะขึ้น
มีฉากโหด ๆ เลือดสาดอยู่นะ ดูแล้วก็มีเสียวไส้บ้าง แต่ไม่เยอะ คนที่กลัวเลือดก็พอดูได้อยู่
แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้เพอร์เฟค และไม่ใช่หนังที่ดีที่สุดในห้วงเวลานี้ ยังมีบางจุดที่เกินจริงไปนิด บางจุดที่ไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะตอนเฉลยความจริงหลายคนอาจจะมองว่าหนังมันดร็อปลง จุดหักมุมก็ไม่มี (ก็เล่นบิวต์มาซะขนาดนั้น) แต่หนังมันก็มอบความบันเทิง และฝากข้อคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เรากลับไปทบทวน โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อของเรา
สรุปคือ เป็นหนังที่ลุ้นระทึกแถมความประเทืองปัญญา ที่ไม่ได้มีให้ดูบ่อย ๆ แนะนำสำหรับคนที่ชอบแนวนี้ ใครที่ศึกษาเรื่องศาสนาอยู่ยิ่งแนะนำเลย ดูแล้วมุมมองของคุณอาจจะเปลี่ยนไปเลยก็ได้
8/10 ครับ
อันนี้สปอยสำหรับคนที่ดูไม่เข้าใจ +ตีความตอนจบ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้