ลุงเบเวอร์ลี่เป็นคน ตปท ที่รู้จัก ลุงแกอาศัยอยู่ที่เมืองบรุกลิน อเมริกา ลุงอายุมากแล้ว แต่ลุงแกหน้าเด็กกว่าอายุจริงอย่างไม่น่าเชื่อ แกเกิดในครอบครัวคนแอฟริกันอเมริกัน ซึ่งนับถือคริสต์ ตอนลุงแกยังเด็ก มีพี่ชาย 1 คน ครอบครัวของลุงไม่พาไปโบสถ์คริสต์ สาเหตุเพราะน้อยใจคำสอนของคริสต์ที่ว่า คนผิวดำถูกสาปให้ตกเป็นทาสของฝรั่ง ลุงแกเป็นลูกรักของแม่ แต่เป็นลูกชังของพ่อ พ่อกับแม่ก็ชอบมีปากเสียงกันอีกด้วย ลุงเบเวอร์ลี่กับพ่อแตกหักกันตั้งแต่วันที่ลุงแกชวนเพื่อนที่โรงเรียน (ซึ่งเป็นฝรั่ง) มาจัดคริสต์มาสปาร์ตี้ที่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ก็ยังอยู่ร่วมบ้านกันได้จนวันที่พ่อกับแม่หย่ากันเพราะเรื่องเล็กน้อย เพียงเพราะว่า แม่ของลุงแกเปิดบ้านให้ครูจากโรงเรียนของลูก (ซึ่งเป็นฝรั่ง) มาเยี่ยมบ้าน แค่นั้นเอง หลังหย่าร้าง แม่ของลุงแกมาขอลุงแกไปอยู่ด้วยกัน แต่พ่อของลุงแกไม่อนุญาต อีกทั้งสั่งห้ามไม่ให้มาพบลูก ๆ จนกว่าลูก ๆ จะโตเป็นผู้ใหญ่ ตลอดช่วงเวลาที่ไม่มีแม่อยู่ร่วมบ้าน แกจะถูกพี่ชายค้นกระเป๋าทุกวันหลังจากเลิกเรียน ของอะไรที่เพื่อนเอาให้จะถูกพี่ชายแย่งเอาไปหมด โดยมีพ่อคอยถือหาง เมื่อวันเกิดของลุงแกมาถึง แม่ของลุงแกซึ่งย้ายไปอยู่อีกโบโรฮ์ ส่งของขวัญวันเกิดมาให้ พี่ชายของลุงแกแย่งมันไป แต่ไม่ทันไรก็โยนมันคืนให้แก เพราะมันคือ ตุ๊กตากระต่ายอีสเตอร์บันนี่สีฟ้า ลุงแกกอดตุ๊กตาตัวนั้นแล้วร้องไห้ พ่อมาเห็นเข้าก็ล้อเลียนซ้ำเติมว่า ลุงแกเป็น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Faggot
ฟางเส้นสุดท้ายขาดตอนลุงอายุ 8 ขวบ แถมช่วงนั้นเหตุการณ์ภรรยาเก่าของเฮนรี ฟอนด้า (แม่ของปีเตอร์ ฟอนด้า ที่เพิ่งเสีย) คิดสั้นด้วยการเอาใบมีดกรีดคอกำลังเป็นข่าวใหญ่ ลุงแกเอามีดในห้องครัวกรีดคอตัวเองประชดชีวิต (เหมือนนิรา) แต่โชคดีที่ตอนนั้นแกยังไม่ตาย หลังออกจาก รพ. นักสังคมสงเคราะห์ก็มารับลุงแกไป แกรู้จักกับนักจิตวิทยาคนหนึ่ง (นามสกุลสะกดยังไงระหว่าง Tabbert กับ Tabbot) เขาสอนให้ลุงแกรู้เรื่องราวของพระเยซูมากขึ้น และรู้อีกว่า ไม่มีส่วนไหนของคัมภีร์ไบเบิลสอนให้คนเราเหยียดเชื้อชาติ นักจิตวิทยาคนนั้นเกิดในครอบครัวที่เกลียดศาสนาคริสต์ และห้ามทุกคนในบ้านไม่ให้ไปร่วมฉลองคริสต์มาสปาร์ตี้หรือไปเก็บไข่อีสเตอร์ จนวันที่เขาได้รู้จักกับพระเยซู พระเยซูเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาให้ดีขึ้นจนทั้งบ้านเปลี่ยนจากศาสนายูดาห์มาเป็นคริสต์ ลุงแกไปโบสถ์ได้เพราะนักจิตวิทยาคนนั้น ตั้งแต่นั้นลุงแกก็ไม่คิดสั้นอีกเลย พอลุงแกเรียนจบไฮสคูลได้ไม่ทันไร ลุงแกก็รู้ข่าวว่าแม่กับพี่ชายของลุงแก passed away กันตั้งหลายปีแล้ว ส่วนพ่อก็แต่งงานใหม่และมีกำลังจะมีน้อง (ลูกต่างแม่) ลุงเบเวอร์ลี่จึงมาเยี่ยมครอบครัวใหม่ของพ่อ ภรรยาคนใหม่ของพ่อเป็นคนที่มีวินัยทางศาสนาคริสต์ และอยากจะเห็นพ่อของลุงคืนดีกับลุง แต่พ่อของลุงยังปิดใจไม่รับฟัง ไม่มองลุงในแง่ดี ซ้ำยังกล่าวหาว่า ภรรยาคนใหม่ของพ่อกำลังคบชู้ (cheat on) กับลุงเบเวอร์ลี่ หลังจากนั้น 2 เดือน พ่อของลุงแกก็พบว่าตัวเองไทรอยด์เป็นพิษ แต่ไม่ทำตามคำแนะนำของหมอ จนในที่สุดก็กลายเป็นไม่มีเสียงจะพูด แต่พ่อของลุงก็ไม่ลดทิฐิจนผ่านไป 1 ปี วันหนึ่ง พ่อของลุงเข้าบ้านไม่ได้เพราะทำกุญแจหาย หลังจากแก้ไขปัญหาได้ พ่อของลุงก็อยากกลับมาพูดได้ ลุงเบเวอร์ลี่จึงอธิษฐานขอให้พ่อกลับมาพูดได้ และขอพระเจ้ายกโทษให้พ่อ ซึ่งเคยทำไม่ดีกับตัวลุงเองตอนยังเด็ก และขอพระเจ้ายกโทษให้กับตัวลุงที่เคยคิดสั้น สุดท้ายพ่อของลุงเบเวอร์ลี่ก็หายโรค กลับมาพูดได้อีกครั้ง และยอมไปโบสถ์คริสต์ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลุงเบเวอร์ลี่ดีขึ้นมาเรื่อย ๆ และดีต่อกันจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตพ่อ ลุงเบเวอร์ลี่จากนี้ก็จะใช้ชีวิตที่พระเจ้าช่วยกู้จากความตายให้คุ้มค่าที่สุด ลุงแกจะแบ่งปันเรื่องราวชีวิตตัวเองเป็น testimony สอนคนที่หมดหวังให้รู้คุณค่าของการมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อให้พระเจ้าที่ลุงแกนับถือได้รับเกียรติ
หากแปลผิดไปก็ขอโทษด้วย เพราะลุงแกพูดปากเปล่ากับคนในโบสถ์คริสต์ บางจุดก็ขาดช่วง บางประเด็นต้องใช้วิจารณญาณด้วย เพราะเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล พอได้ดูตอนจบของใบไม้ที่ปิดปลิวเวอร์ชัน 2562 ก็คิดถึงลุงแกขึ้นมาเพราะไม่ได้เจอกันเกือบจะครึ่งปี คิดว่านิราเวอร์ชันนี้ก็น่าจะนับถือคริสต์เหมือนลุงเบเวอร์ลี่ด้วย ยอมรับเลยว่า คำสอนของศาสนาคริสต์สามารถเปลี่ยนชีวิตคนให้ดูมีคุณค่ายิ่งกว่าที่เป็นอยู่ ถ้าผู้จัดละครของค่ายอื่นคิดจะทำละครใบไม้ที่ปิดปลิวเวอร์ชันใหม่ที่ตอนจบนิราตาย ก็คงต้องเปลี่ยน religious background ของนิราเสียใหม่
Thanks Mr. Beverly for sharing your testimony. It gives others courage and confidence to someday be able to share theirs.
คนรู้จักในต่างประเทศมีชีวิตคล้ายกับนิราในละครใบไม้ที่ปิดปลิวเวอร์ชัน 2562
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ฟางเส้นสุดท้ายขาดตอนลุงอายุ 8 ขวบ แถมช่วงนั้นเหตุการณ์ภรรยาเก่าของเฮนรี ฟอนด้า (แม่ของปีเตอร์ ฟอนด้า ที่เพิ่งเสีย) คิดสั้นด้วยการเอาใบมีดกรีดคอกำลังเป็นข่าวใหญ่ ลุงแกเอามีดในห้องครัวกรีดคอตัวเองประชดชีวิต (เหมือนนิรา) แต่โชคดีที่ตอนนั้นแกยังไม่ตาย หลังออกจาก รพ. นักสังคมสงเคราะห์ก็มารับลุงแกไป แกรู้จักกับนักจิตวิทยาคนหนึ่ง (นามสกุลสะกดยังไงระหว่าง Tabbert กับ Tabbot) เขาสอนให้ลุงแกรู้เรื่องราวของพระเยซูมากขึ้น และรู้อีกว่า ไม่มีส่วนไหนของคัมภีร์ไบเบิลสอนให้คนเราเหยียดเชื้อชาติ นักจิตวิทยาคนนั้นเกิดในครอบครัวที่เกลียดศาสนาคริสต์ และห้ามทุกคนในบ้านไม่ให้ไปร่วมฉลองคริสต์มาสปาร์ตี้หรือไปเก็บไข่อีสเตอร์ จนวันที่เขาได้รู้จักกับพระเยซู พระเยซูเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาให้ดีขึ้นจนทั้งบ้านเปลี่ยนจากศาสนายูดาห์มาเป็นคริสต์ ลุงแกไปโบสถ์ได้เพราะนักจิตวิทยาคนนั้น ตั้งแต่นั้นลุงแกก็ไม่คิดสั้นอีกเลย พอลุงแกเรียนจบไฮสคูลได้ไม่ทันไร ลุงแกก็รู้ข่าวว่าแม่กับพี่ชายของลุงแก passed away กันตั้งหลายปีแล้ว ส่วนพ่อก็แต่งงานใหม่และมีกำลังจะมีน้อง (ลูกต่างแม่) ลุงเบเวอร์ลี่จึงมาเยี่ยมครอบครัวใหม่ของพ่อ ภรรยาคนใหม่ของพ่อเป็นคนที่มีวินัยทางศาสนาคริสต์ และอยากจะเห็นพ่อของลุงคืนดีกับลุง แต่พ่อของลุงยังปิดใจไม่รับฟัง ไม่มองลุงในแง่ดี ซ้ำยังกล่าวหาว่า ภรรยาคนใหม่ของพ่อกำลังคบชู้ (cheat on) กับลุงเบเวอร์ลี่ หลังจากนั้น 2 เดือน พ่อของลุงแกก็พบว่าตัวเองไทรอยด์เป็นพิษ แต่ไม่ทำตามคำแนะนำของหมอ จนในที่สุดก็กลายเป็นไม่มีเสียงจะพูด แต่พ่อของลุงก็ไม่ลดทิฐิจนผ่านไป 1 ปี วันหนึ่ง พ่อของลุงเข้าบ้านไม่ได้เพราะทำกุญแจหาย หลังจากแก้ไขปัญหาได้ พ่อของลุงก็อยากกลับมาพูดได้ ลุงเบเวอร์ลี่จึงอธิษฐานขอให้พ่อกลับมาพูดได้ และขอพระเจ้ายกโทษให้พ่อ ซึ่งเคยทำไม่ดีกับตัวลุงเองตอนยังเด็ก และขอพระเจ้ายกโทษให้กับตัวลุงที่เคยคิดสั้น สุดท้ายพ่อของลุงเบเวอร์ลี่ก็หายโรค กลับมาพูดได้อีกครั้ง และยอมไปโบสถ์คริสต์ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลุงเบเวอร์ลี่ดีขึ้นมาเรื่อย ๆ และดีต่อกันจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตพ่อ ลุงเบเวอร์ลี่จากนี้ก็จะใช้ชีวิตที่พระเจ้าช่วยกู้จากความตายให้คุ้มค่าที่สุด ลุงแกจะแบ่งปันเรื่องราวชีวิตตัวเองเป็น testimony สอนคนที่หมดหวังให้รู้คุณค่าของการมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อให้พระเจ้าที่ลุงแกนับถือได้รับเกียรติ
หากแปลผิดไปก็ขอโทษด้วย เพราะลุงแกพูดปากเปล่ากับคนในโบสถ์คริสต์ บางจุดก็ขาดช่วง บางประเด็นต้องใช้วิจารณญาณด้วย เพราะเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล พอได้ดูตอนจบของใบไม้ที่ปิดปลิวเวอร์ชัน 2562 ก็คิดถึงลุงแกขึ้นมาเพราะไม่ได้เจอกันเกือบจะครึ่งปี คิดว่านิราเวอร์ชันนี้ก็น่าจะนับถือคริสต์เหมือนลุงเบเวอร์ลี่ด้วย ยอมรับเลยว่า คำสอนของศาสนาคริสต์สามารถเปลี่ยนชีวิตคนให้ดูมีคุณค่ายิ่งกว่าที่เป็นอยู่ ถ้าผู้จัดละครของค่ายอื่นคิดจะทำละครใบไม้ที่ปิดปลิวเวอร์ชันใหม่ที่ตอนจบนิราตาย ก็คงต้องเปลี่ยน religious background ของนิราเสียใหม่
Thanks Mr. Beverly for sharing your testimony. It gives others courage and confidence to someday be able to share theirs.