ตำนานโอบาโตล่า โซ่ทองคำเชื่อมสวรรค์.. กับวันลายมือแห่งชาติ



ตำนานแห่งโอบาโตล่า (Obatala) เทพผู้สร้างมนุษย์แห่งความเมตตา ผู้เป็นแรงบันดาลใจของชีวิต

.
ในดินแดนของชนเผ่ายอรูบา (Yoruba)  แห่งแอฟริกาตะวันตก มีตำนานที่เล่าขานถึงเทพเจ้าผู้ทรงภูมิปัญญา และความเมตตา เทพองค์นี้คือ "โอบาโตล่า" (Obatala) หนึ่งในโอริชา (Orisha) หรือเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของยอรูบา โอบาโตล่าถูกยกย่องว่าเป็นผู้สร้างมนุษย์ และสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ สันติภาพ และความยุติธรรม

ตำนานนี้ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ "โอลอดุมาเร" (Olodumare) พระเจ้าสูงสุดของยอรูบา มอบหมายให้โอบาโตล่ารับผิดชอบภารกิจสำคัญที่สุด และนั่นก็คือ การสร้างโลก และสร้างมนุษย์ขึ้นมา และยังมอบดินเหนียวศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งโซ่ทองคำมาให้ และสั่งให้ลงจากสวรรค์มายังบนโลก ที่ในเวลานั้นถูกปกคลุมไปด้วยน้ำ

เมื่อได้รับมอบหมายมา โอบาโตล่า ก็ออกเดินทางจากสวรรค์ลงมายังบนโลก โดยพระองค์ได้ใช้โซ่ทองคำแขวนระหว่างสวรรค์กับโลก เพื่อเชื่อมเส้นทางไว้ หลังจากที่ลงมาถึงโลก ก็ได้ทำการโรยดินเหนียวลงบนพื้นน้ำ จนก่อเกิดแผ่นดินขึ้นมาเป็นแห่งแรกบนโลก

.
...ภาพในขณะที่ โอบาโตล่า ใช้โซ่ทองคำแขวนเชื่อมเส้นทาง และเดินทางลงมายังบนโลก ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีทองสว่างจ้า ปรากฏแผ่นดินสวรรค์ค่อยๆ แผ่ขยายเชื่อมต่อกับโลก เวลานั้นโซ่ทองคำก็ค่อยๆ เลื่อนลงมายังบนโลกอย่างช้าๆ

.
โอบาโตล่าได้นึกภาพถึงร่างกายมนุษย์ และทำการปั้นมนุษย์คนแรกขึ้นมา และใช้ลมหายใจแห่งชีวิตเป่าเข้าไป ทำให้มนุษย์คนแรกมีชีวิตขึ้นมา เขาได้กลายเป็นต้นกำเนิดของชาวยอรูบา

เมื่อมนุษย์คนแรกถือกำเนิดขึ้น โอบาโตล่าก็ได้เล่าเรื่องราวถึงสวรรค์ และโลกใบนี้ และบอกให้มนุษย์คนแรกนี้เป็นผู้นำของมนุษย์ทุกคน จากนั้นโอบาโตล่าก็ได้ปั้นมนุษย์ออกมาอย่างต่อเนื่อง และใช้ลมหายใจแห่งชีวิตเป่าให้มนุษย์ทุกคนมีชีวิต การที่สร้างมนุษย์อย่างต่อเนื่อง จึงทำให้โอบาโตล่า รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้ จึงหยิบเครื่องดื่มที่นำลงมาจากสวรรค์ด้วย เป็นเครื่องดื่มที่ทำจากต้น "ปาล์ม" บ่มจนได้รสชาติที่บนโลกมนุษย์เรียกว่า "ไวน์"

ไวน์ปาล์มนี้นั้นมีกลิ่นหอมหวาน กลิ่นหอมนี้สามารถโชยออกไปได้ไกลนับร้อยกิโลเมตร โอลาโตล่าค่อยๆ จิบไวน์ปาล์มนี้อย่างผ่อนคลาย ทว่าไวน์นี้ทำให้เขามืนเมาเป็นอย่างมาก และในสภาพนั้น โอบาโตล่าก็ได้สร้างความผิดพลาดครั้งใหญ่ขึ้น

มนุษย์ที่มีรูปร่างไม่สมบูรณ์ มากมายถือกำเนิดขึ้นมา บางคนมีแขนขาไม่ครบถ้วน และบางคนมีลักษณะที่แตกต่างออกไปจากมนุษย์เป็นอย่างมาก..

เวลาเลยผ่านไป โอบาโตล่าได้ฟื้นคืนสติจากความมึนเมา และเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เขารู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง แต่ในขณะนั้นเรื่องราวก็ได้รู้ถึง โอลอดุมาเร พระเจ้าสูงสุดแล้ว พระองค์จึงส่งเทพ โอดูดูวา (Oduduwa) ลงมาตามโซ่ทองคำ และมาช่วยสร้างโลกจนสมบูรณ์


.
...ขณะที่เทพโอดูดูวา กำลังลงมายังบนโลกผ่านทางเชื่อมโซ่ทองคำ ก็เกิดปรากฏการณ์ สายลมได้พัดน้ำในมหาสมุทรก่อตัวขึ้นเป็นคลื่นที่สูงใหญ่ คลื่นที่มีความสูง 5 กิโลเมตรนี้ได้พัดถ่าโถมไปทั่วโลก

โอดูดูวา เมื่อได้ลงมาถึงบนโลก และเห็นว่าหลายสิ่งหลายยังที่นึกภาพไว้ยังไม่เกิดขึ้น จึงได้ใช้ดินเหนียวเริ่มก่อร่างภูเขาขึ้นมา สร้างสายน้ำ ต้นไม้นานาพันธุ์ และเริ่มสร้างสิ่งมีชีวิตในรูปแบบอื่นขึ้น โอดูดูวา ได้สร้างสัตว์หลากหลายสายพันธุ์ต่างๆ มากมาย ทั้งสายพันธุ์แมลงอย่าง ผีเสื้อ และผึ้ง สายพันธุ์ที่ดำลงชีวิตอยู่ได้ในทะเล อย่างปลาวาฬ สายพันธุ์สัตว์ที่อยู่บนบก อย่างหมี และสิ่งโต

เมื่อโอบาโตล่าเห็น โอดูดูวา ช่วยสร้าง และช่วยทำให้ก่อเกิดสิ่งต่างๆ มากมายขึ้นมา ก็ยิ่งรู้สึกถึงความผิดพลาดที่ตนเองได้กระทำไว้ จึงให้คำมั่นว่า จะปกป้อง และดูแลผู้ที่เกิดมาทั้งหมด รวมทั้งมนุษย์ที่มีความผิดปกติ ที่เกิดจากความผิดพลาดของเขา และเขาได้ให้การดูแลเป็นพิเศษกับมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ทุกคน 

.
และเหตุนี้เองจึงเป็นที่มาของตำนานโอบาโตล่า และเป็นเทพผู้ที่ได้รับการยกย่องอย่างสุงสุด และยังเป็นเทพผู้คุ้มครองแพทย์ นักบำบัด และผู้ทำนายอนาคต ซึ่งชาวยอรูบามักขอคำแนะนำในยามที่ต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญ ของมนุษย์ที่มีความไม่สมบูรณ์ 

ในวัฒนธรรม "ยอรูบา" โอบาโตล่ายังคงได้รับการเคารพอย่างสูง ในเทศกาล และพิธีกรรมที่จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เขาเต็มไปด้วยผู้คนที่แต่งกายด้วยชุดสีขาว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ และสันติภาพ

.
บทเรียนจากโอบาโตล่านี้ไม่ได้บอกเล่าเพียงการสร้างโลก แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งความรับผิดชอบ และความเข้าใจในความผิดพลาด

1. โอบาโตล่าพิสูจน์ว่าแม้แต่เทพเจ้าก็สามารถทำผิดพลาดได้ แต่การยอมรับ และแก้ไขนั้นเป็นสิ่งสำคัญ
2. ทุกคนมีคุณค่าไม่ว่าพวกเขาจะเกิดมาพร้อมกับข้อบกพร่องใดก็ตาม

.
เรื่องราวของโอบาโตล่าไม่เพียงเป็นตำนาน แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต มันเตือนให้เรายอมรับข้อผิดพลาดของตัวเอง มองเห็นคุณค่าของทุกคน

..แล้วคุณล่ะ พร้อมที่จะเรียนรู้จากโอบาโตล่า และสร้างชีวิตที่เต็มไปด้วยความเมตตา และความเข้าใจในชีวิตอย่างแท้จริงแล้วหรือยัง



วันลายมือแห่งชาติ 23 มกราคม National Handwriting Day

.
หากชอบเขียนไดอารี่หรือทำรายการสิ่งที่ต้องทำด้วยมือตัวเอง อาจเข้าใจความรู้สึก และความเพลิดเพลินในการเขียนด้วยมือ แต่สมัยนี้คงต้องบอกว่า การเขียนด้วยมือนั้นเก่าไปแล้ว ในยุคที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ดิจิทัล และแอปพลิเคชันสร้างเสียงข้อความแบบอัตโนมัติ หรือ AI 

ถึงอย่างนั้น การเขียนด้วยมือยังคงเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างสมอง ช่วยให้ความคิดไม่แล่นเร็วเกินไป และช่วยปรับปรุงความจำ วันลายมือแห่งชาติ 23 มกราคม ซึ่งเป็นวันเกิดของจอห์น แฮนคอล์ก ผู้เซ็นสัญญาประกาศอิสรภาพเป็นคนแรก ลายเซ็นของเขากลายเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายจนเรามักใช้คำว่า ‘John Hancock’ ซึ่งหมายถึง ‘ลายเซ็น’

.
กำเนิดการเขียนมีมาได้อย่างไรนั้น ยังคงเป็นปริศนาอยู่จนถึงปัจจุบัน แต่เรารู้ว่ามันเกิดขึ้นในหลายภูมิภาคของโลก ตั้งแต่ยุคโบราณ เมโซอเมริกา จีน อินเดีย จนถึงเมโสโปเตเมีย

การเขียนที่รู้จักกันครั้งแรกมาจากอิรัก (ในปัจจุบัน) ที่ใช้สัญลักษณ์ภาพซึ่งต่อมาแปลงเป็นระบบตัวอักษรซับซ้อนจากเสียงในภาษาซูเมเรียน (Sumerian language) ที่เรียกว่าคูนีฟอร์ม (cuneiform script อักษรรูปลิ่ม เป็นระบบการเขียนที่หลากหลาย เป็นได้ทั้งอักษรพยางค์ อักษรคำ และอักษรที่มีระบบสระ-พยัญชนะ)

บางระบบอาศัยสัญลักษณ์ภาพ บางระบบรวมตัวอักษรเพื่อสร้างความหมายใหม่ และบางระบบใช้โครงสร้างไวยากรณ์ในการสร้างประโยค และความหมายที่ลึกขึ้น ระบบการเขียนแบบตัวอักษรใช้สัญลักษณ์แทนพยัญชนะ สระ หรือเสียงคำ ส่วนระบบการเขียนแบบเซมานโต-โฟเนติกใช้สัญลักษณ์แทนทั้งเสียงและความหมาย

.
แม้ว่าปัจจุบันเรามักจะบันทึกทุกอย่างในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการเขียนสิ่งต่างๆ ด้วยมือมีประโยชน์ที่การพิมพ์ไม่สามารถเทียบได้

การเขียนด้วยมือสามารถปรับปรุงการโฟกัส ลดความเครียด และช่วยในเรื่องความจำ ไม่เพียงเท่านั้น โน้ตหรือจดหมายที่เขียนด้วยมือยังมีความหมายมากกว่าการพิมพ์หรืออีเมล

.
ไหนๆ ก็วันลายมือแห่งชาติแล้ว ก็ขอเขียนอาหารที่อยากกินซะเลย (*ลืมไปว่าใช้พิมพ์นิเนอะ)

.
1. Seafood Paella จากสเปน
ข้าวผัดปาเอญ่าซีฟู้ดกับกุ้ง หอยแมลงภู่ ปลาหมึก และมะนาวฝานบางๆ
- ข้าวสายพันธุ์ตามชอบ หรือ (Arroz de Valencia)
- ปลาหมึกหรือปลาหมึกกระดอง, กุ้งแม่น้ำหรือกุ้งทะเล, หลอยแครงหรือหอยแมลงภู่ หรือซีฟู้ดตามชอบ
- น้ำสต็อกตามชอบ จะเป็นกุ้งหรือหอยก็ได้
- หญ้าฝรั่น

.
2. Karē จากญี่ปุ่น
แกงกะหรี่ญี่ปุ่น

.
3. Kimchi Fried Rice จากเกาหลีใต้
ข้าวผัดกิมจิ

.
4. Bulgur Pilaf จากตุรกี
ข้าวอบบัลกูร์ ใช้ข้าว, หัวหอม, พริกเขียว, มะเขือเทศ, และเครื่องเทศต่างๆ กิน

.
5. Tendon จากญี่ปุ่น
ข้าวหน้าเทมปุระ


.
ปล. ส่วนอาหารไทยที่ไม่ได้ลงนั้นคิดว่าเพื่อนๆ รู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว
..ว่าแต่เพื่อนๆ ชอบอาหารไทยอะไรแบบที่กินได้ทุกวัน หรือวันเว้นวัน หรือต้องมีทุกอาทิตย์เป็นอย่างน้อย

.
ขอขอบคุณข้อมูล
: wikidates
: culturebay
: oriire
: wikipedia
: tasteatlas
.
นามปากกา: YiiYee
LookAt
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่