ความสุขของการได้ทำงานที่ใช่มันเป็นยังไงหรอคะ?
สวัสดีค่ะ สิ่งที่ทุกคนจะอ่านต่อไปนี้ เป็นความคิดของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง อายุ 22 ปี ที่กำลังหางานหลังเรียนจบได้ประมาณ 5-6 เดือน และกำลังเข้ารับปริญญเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ค่ะ ถ้าใครว่าง ๆ อยากอ่านเรื่องเพ้อ ๆ ไร้สาระของ Someone ที่อ่านแล้วไมได้มีผลสักเท่าไหร่กับการใช้ชีวิต แต่ถ้าอยากให้กำลังใจใครสักคนหนึ่ง ลองมาอ่านเรื่องของเราได้นะคะ ฮ่าๆๆ
เราโตมากับครอบครัว 4 คน พ่อ แม่ พี่สาว และตัวเราเอง โดยเรากับพี่สาวอายุห่างกัน 4 ปี ตอนเด็ก ๆ เรามึความคิดแมน ๆ ชอบเล่นกับผู้ชาย และชอบเล่นเกม พูดจาขวานผ่าซาก และความมั่นใจสูงค่ะ เสริมความน่าหมั่นไส้ไปอีกขั้นกับการที่เป็นเด็กเรียนเก่ง และยังพูดมาก แถมไม่สนใจเรื่องความสวยความงามอีก พอคิดภาพเด็กผู้หญิงคนนี้ออกใช่ไหมคะ เราโดนเลี้ยงมาในครอบครัวที่เปิดโอกาสให้น้องคนเล็กได้พูด ทำ เรียนในสิ่งที่เราอยากเรียนค่ะ เราใช้ชีวิตด้วยความมั่นใจมาตลอดและ ความกลัวแรกในชีวิตคือ ‘เกรด’ เรากลัวว่าแม่จะเช็กเกรดเรา แล้วห้ามไม่ให้เราเล่นเกมค่ะ คำขู่แรกในชีวิตที่ครั้งนึงเคยพลาด และไม่อยากพลาดอีก อีโก้ตรงนี้สูงมากเลยทำให้เราตั้งใจเรียน และแสดงออกว่าเราทำได้ และจริงจังกับเรื่องเรียนเสมอ
ตลอดชีวิตในวัยมัธยมเรายึดหลักการ ‘เรียนเป็นเรียน เล่นเป็นเล่น’ มาตลอด โตขึ้นสังคมก็หล่อหลอมให้เราวางตัวเข้าสังคมให้มากขึ้น เพราะเรารู้ว่าโลกไม่ได้หมุนรอบตัวเรา คำพูดเล็กน้อยบางอย่างที่เราพูดออกไปโดยไม่ได้คิดสามารถฝังใจและติดอยู่ในความทรงจำของคนหลายคนได้ตรงนี้เราทราบดี และเหมือนเป็นจุดนึงที่เริ่มทำให้เราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น (มั้ง) ตรงนี้แหละที่เราเปลี่ยนและทำให้เราเป็นคนที่มีเพื่อนมากขึ้น คนเคารพคำพูดเรามากขึ้น เรารู้จักที่จะพูดสิ่งที่มีประโยชน์มากขึ้น จนวันหนึ่งเราโดนครูเปรียบเทียบเรากับเด็กกิจกรรมคนนึงว่า ‘ทำไมไม่ทำเกรด ตั้งใจเรียนให้เท่า xxx บ้าง วันๆมัวแต่ไปทำอะไรไม่รู้ ตอนแกจะสอบเข้ามหาลัย จะได้ใช้มั้ยไอ้สิ่งเนี๊ยะ’ จำชัดๆ ไม่ได้หรอก แต่ใจความประมาณนี้ วันนั้นเราตกผลึกอะไรออกมาไม่รู้ แต่คำพูดของครูวิทย์-คณิตคนนั้น ทำให้เราไม่อยากเป็นเด็กวิทย์-คณิต เกลียดสังคมการแข่งขัน เกลียดการตัดสินคนผ่านตัวเลขในกระดาษ และมีความคิดว่าอยากเล่นกิจกรรม ไปพร้อมกับเป็นเด็กเรียนดีไปพร้อม ๆ กัน เราไม่อยากให้เด็กวงโย เด็กฟุตซอล นางรำ หรือนักกีฬาคนไหน ต้องโดนเหยียดคุณค่าของกิจกรรม หรือสิ่งที่เขาเก่ง หรือทำได้ดีนอกห้องเรียน (พวกเด็กกิจกรรมคนไหนที่ชอบบุลลี่คนอื่น ไม่นับ) เราเต็มใจให้ลอกการบ้าน และช่วยเหลือเรื่องการเรียนเพื่อน ๆ ที่เป็นเด็กกิจกรรมตลอด จนมหาวิทยาลัยเรามาจบที่คณะเกี่ยวกับดนตรี
ตอนนี้เราเรียนจบแล้วระหว่างเรียนมหาลัยเราเรียนสาขาที่ไม่ใช่การปฏิบัติดนตรี แต่เรียนวางแผน Marketing ทำงานหลังบ้านให้ศิลปิน ระหว่างเรียน คลุกคลีอยู่กับวงการดนตรีในประเทศไทยเรารู้สึกว่า ค่าเรียนกับเงินเดือนที่เราได้จริงๆ ในอุตสาหกรรมเพลง ‘มันไม่แฟร์เลยสักนิด’ ค่าเทอมเราครึ่งแสน เงินเดือนเริ่มต้น 15000 ในกรุงเทพฯ ออกตัวก่อนว่า เราคนกรุงเทพฯ ไม่ต้องจ่ายค่าหอ รายจ่ายน้อยกว่าคนอื่น อย่างมากก็ค่าน้ำ ไฟ ที่บ้าน มาช่วยแบ่งเบาภาระพี่สาวได้นิดหน่อย ถึงตาโอกาสดี ๆ ในชีวิตเราก็มาถึง เราตั้งใจไปฝึกงานหลังเรียนจบเพิ่มเติม (เพราะเป็น บ. ใหญ่ในประเทศ คาแรคเตอร์น่ารัก คนส่วนใหญ่พูดกันว่า เรียนจบแล้วอยากมาทำงานที่นี่) เราไม่รอช้ารีบคว้าโอกาสนั้นไว้ พร้อมความมั่นใจเต็มเปี่ยม ตั้งแต่ขั้นตอนการสัมภาษณ์รอบ 1 จนถึงรอบสุดท้าย Culture Shock ระหว่างที่เราได้ฝึกงานที่นี่คือทอปปิค ‘คิดว่าเด็กจบใหม่ควรได้เงินเดือนเท่าไหร่หรอ?’ ตอนนั้นเรานั่งคุยกับเพื่อนฝึกงานระหว่างทางกลับบ้าน เพื่อนของเราคนนึงในรถที่เรียน ม. ชั้นนำบอกว่าหลังฝึกงานจบที่นี่จะไปทำงานที่ใหม่เลยพร้อมบอกว่า ‘ถ้าเป็นเราคงไม่สนใจบริษัทใหญ่ที่ให้เงินน้อยกว่า 23000 บาทอ่ะ’ ตอนนั้นเราทั้งอึ้ง ทึ่ง เสียว เพราะเงินเดือนฝึกงานที่เราได้อยู่เดือนละ 10000 บาท (ไม่รวมหักภาษี สวัสดิการข้าวฟรี น้ำฟรี ก็พออยู่ได้แล้วนะ พี่ที่งานดีมาก แฮปปี้ งานที่ชอบ ชีวิตมีความสุขสุด ๆ ) ไม่ได้บอกว่าพอใจเงินเท่านี้นะ แต่เราประมาณการว่า ถ้าออกไปทำงานจริงๆแล้ว 18000 เราก็โอเคแหละ ตอนนั้นเพื่อน ๆ ทั้งรถ เออ ออ และร่วมแชร์ประสบการณ์เงินเดือนของแต่ละวงการให้เราฟัง เราได้แต่นั่งอยู่เงียบ ๆ เก็บข้อมูล แต่ตั้งมั่นไว้ในใจแล้วว่า ‘เราอย่าด้อยค่าตัวเองเกินไป’ ถ้าเรามีความสามารถได้มาทำงานกับคนเก่ง ๆ สังคมเก่งๆ แบบนี้แล้ว เราเองก็มีโอกาสไม่ใช่หรอ? นั่นคือประโยคเด็ดหลังจากจบฝึกงานที่นี่เลย บอกเลยว่าเป็นอีก 1 บริษัทที่ต่อให้จ้าง 18000 ก็จะตอบตกลงและกลับไปทำงานด้วยอยู่ดี เขาให้โอกาสเรา และทำให้เราได้รู้ว่าเรามีคุณค่ากับการอยู่ที่นี่จริง ๆ เพื่อนร่วมงาน พี่ ๆ ทั้งสอน และช่วยเหลือเราเสมอ แถมยังกล้าจ่ายงานใหญ่ ๆ ให้เราได้ทำอีกด้วย เรากินเลี้ยงอำลากับพี่ ๆ ในวันสุดท้ายพร้อมกับน้ำตา เพราะกำลังคิดภาพโลกแห่งความจริงที่ไม่ได้สวยงามแบบนี้ และมันเข้ามาหาด้วยระยะเวลาไม่ถึง 2 อาทิตย์
เราว่างงานแค่ 2 อาทิตย์เท่านั้นแหละ เพื่อนก็รีเฟอร์งานหนึ่งมาให้เราถามว่าเราสนใจทำไหม เขาหาคนด่วนมากเลยอุตสาหกรรมเอเจนซี่ ตำแหน่งเกี่ยวกับโซเชียลมีเดีย เพราะฝึกโซเชียลมีเดียมานี่ อยากลองไหม ไอ้เราเห็นเงินเดือน 23000 ใจเราตอบตกลงไปแบบไม่ลังเล ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้เนื้องานหรือหรือองค์กรเลยด้วยซ้ำ ยื่นพอร์ต ยื่นเรซูเม่ส่งไปวันศุกร์ เขานัดสัมภาษณ์เราวันจันทร์เลย สัมภาษณ์เสร็จ คุยเรื่องงานเสร็จ เขานัดเราเข้าทำงานวันศุกร์เลย (โคตรไว) ด้วยความไวเป็นของปีศาจนี้แหละ เราก็รู้สึกฟินแค่ตอนเราสัมภาษณ์กับเขาถูกคอ แต่เพราะไม่รู้จักอุตสาหกรรมหรือองค์กรนี้เลย ทำให้เราตัดสินใจไม่ต่อสัญญาต่อ จบแค่ 3 เดือนครึ่ง ทุกคนเคยได้ยินประโยค ‘อย่าให้บริษัทเลือกเราเข้าทำงานฝ่ายเดียว เราก็มีสิทธิ์เลือกบริษัทที่จะทำงานด้วยเหมือนกัน’ บ้างไหมคะ ประโยคนี้เราโทรไปปรึกษาที่ปรึกษาด้านอารมณ์ทางโทรศัพท์แล้วเขาพูดกลับมา ฮ่าๆๆ เราทำงานเป็นบ้าตลอด 3 เดือนด้วยสัญญาแบบ Contract ที่ไม่มีวันหยุดเลยสักวัน แล้วเดือนสุดท้ายเป็นการทำงานช่วงปีใหม่ที่เหลือคนทำงานในทีม 3/30 คน หน้าเทศกาลแบบนี้นอกจากจะเห็นคนอื่นได้เที่ยวแล้ว เรายังเจ็บใจที่ไม่ได้เที่ยว แถมยังต้องเห็นคนในออฟฟิศไปเที่ยวกันอีก (ลูกค้าแอคเคาท์ที่ถืออยู่ก็สัญชาติจีน ขึ้นชื่อเรื่องบ้างานสุด ๆ เพราะวันที่ 31 ในปฏิธินปี 2567 ไม่ใช่วันหยุด) แจกเซอร์ไพรส์ด้วยการใส่อารมณ์ลงแชทตั้งแต่ 8.30 น. พร้อมสั่งให้ขึ้น Artwork ใหม่ภายในวันนี้เดี๋ยวนี้ ทุกคนคะ AE ก็ไม่ทำงาน Design ก็หยุดงาน เราก็พยายามติดต่อทุกทีมไปทำให้งานนี้เสร็จลุล่วงสำเร็จ ทำงานพร้อมน้ำตาสุด เพราะ 1 เดือนก่อนหมดสัญญาเราเฝ้าถาม HR ตลอดว่า ‘จะเซ็นสัญญาต่อเมื่อไหร่คะ’ พร้อมกับหัวหน้าที่พูดปากเปล่าว่า ‘ทำงานแบบนี้ได้ต่ออยู่แล้ว ไม่ต้องกังวล’ ทุกอย่างล่วงเลยไปจนทุกคน ‘ลาพักร้อน’ เราหดหู่มาก ตลอดการทำงานไม่มีแม้กระทั่งสังคม การพูดคุยที่เกิดประโยชน์ การทำงานแบบ Team Work กินเลี้ยงด้วยกันวันออฟฟิศมีเบียร์ฟรียังไม่เคยกับทีมเลยสักครั้ง เราไม่ใช่คนไม่เอาสังคม เราพยายามชวนตลอด ประโยคที่ได้กลับมาจากพี่หัวหน้าทีมเราคือ ‘ง่วง อยากกลับบ้าน/ งานอีกเยอะเลย เอาเวลาไปทำงานดีกว่า เสียเวลา’ ตอนแรกนึกว่าพนักงานบริษัทส่วนใหญ่เป็นแบบนี้แหละ แต่เรามี Case Study งานของพี่สาวที่บ้าน พี่สาวเราได้งานใหม่พร้อมๆกับเรา องค์กรต่างชาติ อบอุ่น และเฟรนลี่กว่านี้เยอะ เรากลับบ้านคุยเรื่องงานกับพี่และครอบครัวตลอด ทำให้เราตัดสินใจ ‘ลาออกจากงาน’ ครั้งแรก จริง ๆ ไม่น่าใช้คำนี้นะ เป็นคำว่าไม่ต่อสัญญามากกว่า เพราะหมดสัญญาแบบ 100% ไปเมื่อปลายปี 2567 ตามสัญญาพอดี เราไม่ไหว เราอึดอัดกับสังคมการทำงานแบบนี้ เรานั่งคิดนอนคิด 2-3 วัน บวกกับความไม่ชัดเจนของสัญญา เราเลือกแก้ไขปัญหาโดยการโทรไปหา Manager เราบอกล่วงหน้า 2 อาทิตย์ด้วยเมทเสชประมาณว่าไตร่ตรองมาสักพักแล้วว่าต่อให้คุยเรื่องสัญญาต่อก็คงไม่ต่ออยู่ดี ขอจบงานตามสัญญาเลยนะ เมเนเจอร์คนนี้ฉุนเราหนักมาก เขาโทรคุยกับเราด้วยข้อความรุนแรง และบั่นทอนทุกอย่างในตัวเรา ‘คิดว่าจะเก่ง สุดท้ายก็เห็นแก่ตัว / ไม่คิดว่าจะเป็นคนแบบนี้ / ตัวปัญหา สร้างเรื่อง ไม่เจริญหรอก’ ทั้ง ๆ ที่ก่อนเกิดเรื่องนี้เราขอนัดคุยเรื่อง Performance การทำงานของเราแบบตัวต่อตัว ปรึกษาพี่ ๆ ว่าเราทำงานเป็นยังไงบ้าง เราต้องแก้ตรงไหนไหม (ตลอดทำงานที่นี่ 1 เดือนครึ่ง HR ก็ไม่มี คุยเรื่องนี้เลย) จนเราทักไปขอคุยกับพี่ที่ดูแลเราว่าเรามีปัญหาตรงไหนไหม เขากลับโยนเรื่องให้พี่เมเนเจอร์เพราะคิดว่าเราต้องการจะไฟท์กับเขา เราปวดหัวมาก จนวันสุดท้ายก่อนออกได้คุยกับพี่ AE ที่เราทำงานด้วยกัน สนิทกันมาก กลับมาพร้อมประโยคฮีลใจเดียว ‘เสียดายเราจัง ทีมแกมีแต่คนทำงานกลับบ้าน ไม่ค่อยมีคนไหนที่ทำงานแล้วเข้าขากันได้แบบนี้เลย แกเข้าใจงานเรา เข้าใจลูกค้า และเข้าใจงานที่แกกำลังทำ’ ทั้ง ๆ ที่ทำงานมาตลอด 3 เดือน เรากลับมองว่าพี่ๆ Design เป็นตัวร้ายในสายตาเพื่อนร่วมงานมาตลอด แต่จริง ๆ แล้วการออกครั้งนี้ทำให้เรารู้ว่า ทีมเราเป็นตัวร้ายของสายตาคนทั้งบริษัท ไม่แปลกที่จะรู้สึกอึดอัด หรือคนไม่กล้าคุย ไม่กล้าออกความเห็น เพราะทีมเรามีคาแรคเตอร์แบบนี้
อ่านมาจนถึงขนาดนี้เกริ่นไปที่ชื่อกระทู้ได้แล้วแหละค่ะ 555 เราว่างงาน และกดดันเรื่องหางานใหม่ เพราะเราเกรงใจพี่สาว ครอบครัว ที่ต้องมาคิดว่าเราเป็นไอ้ขี้แพ้ ที่ตอนนี้ดีขึ้นนิดหน่อยด้วยกำลังใจดี ๆ จากเพื่อนที่เคยเรียนกับเรา ร่วมงานกับเรา และรุ่นน้องที่เชื่อถือเรามาเสมอ เราอยากบอกทุกคนว่าเราอาจจะไม่ได้เป็นคนเก่งในสายตาน้อง ๆ หรือคนอื่น ๆ แล้วนะ ตอนนี้เรายังเป็นไอ้ขี้แพ้ในสายตาแม่ ที่ลาออกจากงานเงินเดือน 23000 และยังหางานใหม่อยู่เลย 555 แถมอีโก้ก็สูงด้วย เมื่อเช้า บ. ใหญ่อุตส่าห์สัมภาษณ์เรา เราก็คาดหวังว่าจะได้คุยกันแบบดี ๆ แต่บรรยากาศกลับมาคุ แล้วเราก็ทำได้ห่วยแตก
เลย ผู้ใหญ่ทุกคนที่ทำงานอยู่ทำงานต่อที่เดิมได้นาน ๆ เป็นเพราะเรื่องอะไรบ้างคะ เราจะมีโอกาสเจออะไรดี ๆ แบบที่ทุกคนเจอบ้างไหม หรือวันที่แย่ ๆ ทุกคนเริ่มมองอะไรที่ทำให้เกิดความสุขบ้างหรอคะ
ตอนนี้ยังไม่หยุดหางาน แต่ไม่มีความมั่นใจในการสัมภาษณ์งานใหม่เลยค่ะ เราไม่อยากให้คนที่เลือกเราต้องมากดเรา ข่มเราด้วยตำแหน่ง คำพูดของคุณมันแทงจิตใจเรามาก มันทำให้เรารู้สึกไม่ดีพอในสายตาของใครเลย ทั้ง ๆ ที่คุณอ่านและเลือกเรซูเม่ของเราขึ้นมา เราควรคุยกันเรื่องเนื้อหางานที่เราสามารถทำได้ไหม เราแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ไหม แต่พยายามจี้จุดเราว่า ทำไมที่นั่น ที่นู่นดีนักไม่ไปทำงานที่แบบนั้นเลยหล่ะ คือคุณ จังหวะและเวลาที่เขารับมันไม่ตรงกัน หนูไม่ได้โตในครอบครัวที่หยุดทำงานได้เป็นปี ๆ รองานนั้นว่างแล้วยังไหวอยู่นะคะ ตอนนี้เริ่มมีใจอยากเรียนต่อภาษาเพราะโดนดูถูกมาเยอะมาก เรามองว่ามันจะเสริมอนาคตของเรา และเราก็รู้สึกผิดหวังในตัวเองมาก ๆ ค่ะ แต่กลัวที่บ้านรับไม่ได้ เขาสนับสนุนเราเรื่องเรียนนะคะ เราวางแผนจะเรียนรามเพราะค่าเทอมถูกสุดค่ะ เราต้องทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วย เลยคิดว่าจะหางานที่ใช้แรง และไหวพริบการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มากกว่างานที่ต้องใช้ทักษะระดับปริญญาตรีแทนค่ะ เพื่อจะไม่เอางานกลับมาทำที่บ้านในเวลาครอบครัว หรือวันหยุด และยังได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ และได้เรียนไปด้วยอยู่ ทุกคนคิดว่ามันน่าอายไหมคะ
ความสุขของการได้ทำงานที่ใช่มันเป็นยังไงหรอคะ?
สวัสดีค่ะ สิ่งที่ทุกคนจะอ่านต่อไปนี้ เป็นความคิดของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง อายุ 22 ปี ที่กำลังหางานหลังเรียนจบได้ประมาณ 5-6 เดือน และกำลังเข้ารับปริญญเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ค่ะ ถ้าใครว่าง ๆ อยากอ่านเรื่องเพ้อ ๆ ไร้สาระของ Someone ที่อ่านแล้วไมได้มีผลสักเท่าไหร่กับการใช้ชีวิต แต่ถ้าอยากให้กำลังใจใครสักคนหนึ่ง ลองมาอ่านเรื่องของเราได้นะคะ ฮ่าๆๆ
เราโตมากับครอบครัว 4 คน พ่อ แม่ พี่สาว และตัวเราเอง โดยเรากับพี่สาวอายุห่างกัน 4 ปี ตอนเด็ก ๆ เรามึความคิดแมน ๆ ชอบเล่นกับผู้ชาย และชอบเล่นเกม พูดจาขวานผ่าซาก และความมั่นใจสูงค่ะ เสริมความน่าหมั่นไส้ไปอีกขั้นกับการที่เป็นเด็กเรียนเก่ง และยังพูดมาก แถมไม่สนใจเรื่องความสวยความงามอีก พอคิดภาพเด็กผู้หญิงคนนี้ออกใช่ไหมคะ เราโดนเลี้ยงมาในครอบครัวที่เปิดโอกาสให้น้องคนเล็กได้พูด ทำ เรียนในสิ่งที่เราอยากเรียนค่ะ เราใช้ชีวิตด้วยความมั่นใจมาตลอดและ ความกลัวแรกในชีวิตคือ ‘เกรด’ เรากลัวว่าแม่จะเช็กเกรดเรา แล้วห้ามไม่ให้เราเล่นเกมค่ะ คำขู่แรกในชีวิตที่ครั้งนึงเคยพลาด และไม่อยากพลาดอีก อีโก้ตรงนี้สูงมากเลยทำให้เราตั้งใจเรียน และแสดงออกว่าเราทำได้ และจริงจังกับเรื่องเรียนเสมอ
ตลอดชีวิตในวัยมัธยมเรายึดหลักการ ‘เรียนเป็นเรียน เล่นเป็นเล่น’ มาตลอด โตขึ้นสังคมก็หล่อหลอมให้เราวางตัวเข้าสังคมให้มากขึ้น เพราะเรารู้ว่าโลกไม่ได้หมุนรอบตัวเรา คำพูดเล็กน้อยบางอย่างที่เราพูดออกไปโดยไม่ได้คิดสามารถฝังใจและติดอยู่ในความทรงจำของคนหลายคนได้ตรงนี้เราทราบดี และเหมือนเป็นจุดนึงที่เริ่มทำให้เราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น (มั้ง) ตรงนี้แหละที่เราเปลี่ยนและทำให้เราเป็นคนที่มีเพื่อนมากขึ้น คนเคารพคำพูดเรามากขึ้น เรารู้จักที่จะพูดสิ่งที่มีประโยชน์มากขึ้น จนวันหนึ่งเราโดนครูเปรียบเทียบเรากับเด็กกิจกรรมคนนึงว่า ‘ทำไมไม่ทำเกรด ตั้งใจเรียนให้เท่า xxx บ้าง วันๆมัวแต่ไปทำอะไรไม่รู้ ตอนแกจะสอบเข้ามหาลัย จะได้ใช้มั้ยไอ้สิ่งเนี๊ยะ’ จำชัดๆ ไม่ได้หรอก แต่ใจความประมาณนี้ วันนั้นเราตกผลึกอะไรออกมาไม่รู้ แต่คำพูดของครูวิทย์-คณิตคนนั้น ทำให้เราไม่อยากเป็นเด็กวิทย์-คณิต เกลียดสังคมการแข่งขัน เกลียดการตัดสินคนผ่านตัวเลขในกระดาษ และมีความคิดว่าอยากเล่นกิจกรรม ไปพร้อมกับเป็นเด็กเรียนดีไปพร้อม ๆ กัน เราไม่อยากให้เด็กวงโย เด็กฟุตซอล นางรำ หรือนักกีฬาคนไหน ต้องโดนเหยียดคุณค่าของกิจกรรม หรือสิ่งที่เขาเก่ง หรือทำได้ดีนอกห้องเรียน (พวกเด็กกิจกรรมคนไหนที่ชอบบุลลี่คนอื่น ไม่นับ) เราเต็มใจให้ลอกการบ้าน และช่วยเหลือเรื่องการเรียนเพื่อน ๆ ที่เป็นเด็กกิจกรรมตลอด จนมหาวิทยาลัยเรามาจบที่คณะเกี่ยวกับดนตรี
ตอนนี้เราเรียนจบแล้วระหว่างเรียนมหาลัยเราเรียนสาขาที่ไม่ใช่การปฏิบัติดนตรี แต่เรียนวางแผน Marketing ทำงานหลังบ้านให้ศิลปิน ระหว่างเรียน คลุกคลีอยู่กับวงการดนตรีในประเทศไทยเรารู้สึกว่า ค่าเรียนกับเงินเดือนที่เราได้จริงๆ ในอุตสาหกรรมเพลง ‘มันไม่แฟร์เลยสักนิด’ ค่าเทอมเราครึ่งแสน เงินเดือนเริ่มต้น 15000 ในกรุงเทพฯ ออกตัวก่อนว่า เราคนกรุงเทพฯ ไม่ต้องจ่ายค่าหอ รายจ่ายน้อยกว่าคนอื่น อย่างมากก็ค่าน้ำ ไฟ ที่บ้าน มาช่วยแบ่งเบาภาระพี่สาวได้นิดหน่อย ถึงตาโอกาสดี ๆ ในชีวิตเราก็มาถึง เราตั้งใจไปฝึกงานหลังเรียนจบเพิ่มเติม (เพราะเป็น บ. ใหญ่ในประเทศ คาแรคเตอร์น่ารัก คนส่วนใหญ่พูดกันว่า เรียนจบแล้วอยากมาทำงานที่นี่) เราไม่รอช้ารีบคว้าโอกาสนั้นไว้ พร้อมความมั่นใจเต็มเปี่ยม ตั้งแต่ขั้นตอนการสัมภาษณ์รอบ 1 จนถึงรอบสุดท้าย Culture Shock ระหว่างที่เราได้ฝึกงานที่นี่คือทอปปิค ‘คิดว่าเด็กจบใหม่ควรได้เงินเดือนเท่าไหร่หรอ?’ ตอนนั้นเรานั่งคุยกับเพื่อนฝึกงานระหว่างทางกลับบ้าน เพื่อนของเราคนนึงในรถที่เรียน ม. ชั้นนำบอกว่าหลังฝึกงานจบที่นี่จะไปทำงานที่ใหม่เลยพร้อมบอกว่า ‘ถ้าเป็นเราคงไม่สนใจบริษัทใหญ่ที่ให้เงินน้อยกว่า 23000 บาทอ่ะ’ ตอนนั้นเราทั้งอึ้ง ทึ่ง เสียว เพราะเงินเดือนฝึกงานที่เราได้อยู่เดือนละ 10000 บาท (ไม่รวมหักภาษี สวัสดิการข้าวฟรี น้ำฟรี ก็พออยู่ได้แล้วนะ พี่ที่งานดีมาก แฮปปี้ งานที่ชอบ ชีวิตมีความสุขสุด ๆ ) ไม่ได้บอกว่าพอใจเงินเท่านี้นะ แต่เราประมาณการว่า ถ้าออกไปทำงานจริงๆแล้ว 18000 เราก็โอเคแหละ ตอนนั้นเพื่อน ๆ ทั้งรถ เออ ออ และร่วมแชร์ประสบการณ์เงินเดือนของแต่ละวงการให้เราฟัง เราได้แต่นั่งอยู่เงียบ ๆ เก็บข้อมูล แต่ตั้งมั่นไว้ในใจแล้วว่า ‘เราอย่าด้อยค่าตัวเองเกินไป’ ถ้าเรามีความสามารถได้มาทำงานกับคนเก่ง ๆ สังคมเก่งๆ แบบนี้แล้ว เราเองก็มีโอกาสไม่ใช่หรอ? นั่นคือประโยคเด็ดหลังจากจบฝึกงานที่นี่เลย บอกเลยว่าเป็นอีก 1 บริษัทที่ต่อให้จ้าง 18000 ก็จะตอบตกลงและกลับไปทำงานด้วยอยู่ดี เขาให้โอกาสเรา และทำให้เราได้รู้ว่าเรามีคุณค่ากับการอยู่ที่นี่จริง ๆ เพื่อนร่วมงาน พี่ ๆ ทั้งสอน และช่วยเหลือเราเสมอ แถมยังกล้าจ่ายงานใหญ่ ๆ ให้เราได้ทำอีกด้วย เรากินเลี้ยงอำลากับพี่ ๆ ในวันสุดท้ายพร้อมกับน้ำตา เพราะกำลังคิดภาพโลกแห่งความจริงที่ไม่ได้สวยงามแบบนี้ และมันเข้ามาหาด้วยระยะเวลาไม่ถึง 2 อาทิตย์
เราว่างงานแค่ 2 อาทิตย์เท่านั้นแหละ เพื่อนก็รีเฟอร์งานหนึ่งมาให้เราถามว่าเราสนใจทำไหม เขาหาคนด่วนมากเลยอุตสาหกรรมเอเจนซี่ ตำแหน่งเกี่ยวกับโซเชียลมีเดีย เพราะฝึกโซเชียลมีเดียมานี่ อยากลองไหม ไอ้เราเห็นเงินเดือน 23000 ใจเราตอบตกลงไปแบบไม่ลังเล ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้เนื้องานหรือหรือองค์กรเลยด้วยซ้ำ ยื่นพอร์ต ยื่นเรซูเม่ส่งไปวันศุกร์ เขานัดสัมภาษณ์เราวันจันทร์เลย สัมภาษณ์เสร็จ คุยเรื่องงานเสร็จ เขานัดเราเข้าทำงานวันศุกร์เลย (โคตรไว) ด้วยความไวเป็นของปีศาจนี้แหละ เราก็รู้สึกฟินแค่ตอนเราสัมภาษณ์กับเขาถูกคอ แต่เพราะไม่รู้จักอุตสาหกรรมหรือองค์กรนี้เลย ทำให้เราตัดสินใจไม่ต่อสัญญาต่อ จบแค่ 3 เดือนครึ่ง ทุกคนเคยได้ยินประโยค ‘อย่าให้บริษัทเลือกเราเข้าทำงานฝ่ายเดียว เราก็มีสิทธิ์เลือกบริษัทที่จะทำงานด้วยเหมือนกัน’ บ้างไหมคะ ประโยคนี้เราโทรไปปรึกษาที่ปรึกษาด้านอารมณ์ทางโทรศัพท์แล้วเขาพูดกลับมา ฮ่าๆๆ เราทำงานเป็นบ้าตลอด 3 เดือนด้วยสัญญาแบบ Contract ที่ไม่มีวันหยุดเลยสักวัน แล้วเดือนสุดท้ายเป็นการทำงานช่วงปีใหม่ที่เหลือคนทำงานในทีม 3/30 คน หน้าเทศกาลแบบนี้นอกจากจะเห็นคนอื่นได้เที่ยวแล้ว เรายังเจ็บใจที่ไม่ได้เที่ยว แถมยังต้องเห็นคนในออฟฟิศไปเที่ยวกันอีก (ลูกค้าแอคเคาท์ที่ถืออยู่ก็สัญชาติจีน ขึ้นชื่อเรื่องบ้างานสุด ๆ เพราะวันที่ 31 ในปฏิธินปี 2567 ไม่ใช่วันหยุด) แจกเซอร์ไพรส์ด้วยการใส่อารมณ์ลงแชทตั้งแต่ 8.30 น. พร้อมสั่งให้ขึ้น Artwork ใหม่ภายในวันนี้เดี๋ยวนี้ ทุกคนคะ AE ก็ไม่ทำงาน Design ก็หยุดงาน เราก็พยายามติดต่อทุกทีมไปทำให้งานนี้เสร็จลุล่วงสำเร็จ ทำงานพร้อมน้ำตาสุด เพราะ 1 เดือนก่อนหมดสัญญาเราเฝ้าถาม HR ตลอดว่า ‘จะเซ็นสัญญาต่อเมื่อไหร่คะ’ พร้อมกับหัวหน้าที่พูดปากเปล่าว่า ‘ทำงานแบบนี้ได้ต่ออยู่แล้ว ไม่ต้องกังวล’ ทุกอย่างล่วงเลยไปจนทุกคน ‘ลาพักร้อน’ เราหดหู่มาก ตลอดการทำงานไม่มีแม้กระทั่งสังคม การพูดคุยที่เกิดประโยชน์ การทำงานแบบ Team Work กินเลี้ยงด้วยกันวันออฟฟิศมีเบียร์ฟรียังไม่เคยกับทีมเลยสักครั้ง เราไม่ใช่คนไม่เอาสังคม เราพยายามชวนตลอด ประโยคที่ได้กลับมาจากพี่หัวหน้าทีมเราคือ ‘ง่วง อยากกลับบ้าน/ งานอีกเยอะเลย เอาเวลาไปทำงานดีกว่า เสียเวลา’ ตอนแรกนึกว่าพนักงานบริษัทส่วนใหญ่เป็นแบบนี้แหละ แต่เรามี Case Study งานของพี่สาวที่บ้าน พี่สาวเราได้งานใหม่พร้อมๆกับเรา องค์กรต่างชาติ อบอุ่น และเฟรนลี่กว่านี้เยอะ เรากลับบ้านคุยเรื่องงานกับพี่และครอบครัวตลอด ทำให้เราตัดสินใจ ‘ลาออกจากงาน’ ครั้งแรก จริง ๆ ไม่น่าใช้คำนี้นะ เป็นคำว่าไม่ต่อสัญญามากกว่า เพราะหมดสัญญาแบบ 100% ไปเมื่อปลายปี 2567 ตามสัญญาพอดี เราไม่ไหว เราอึดอัดกับสังคมการทำงานแบบนี้ เรานั่งคิดนอนคิด 2-3 วัน บวกกับความไม่ชัดเจนของสัญญา เราเลือกแก้ไขปัญหาโดยการโทรไปหา Manager เราบอกล่วงหน้า 2 อาทิตย์ด้วยเมทเสชประมาณว่าไตร่ตรองมาสักพักแล้วว่าต่อให้คุยเรื่องสัญญาต่อก็คงไม่ต่ออยู่ดี ขอจบงานตามสัญญาเลยนะ เมเนเจอร์คนนี้ฉุนเราหนักมาก เขาโทรคุยกับเราด้วยข้อความรุนแรง และบั่นทอนทุกอย่างในตัวเรา ‘คิดว่าจะเก่ง สุดท้ายก็เห็นแก่ตัว / ไม่คิดว่าจะเป็นคนแบบนี้ / ตัวปัญหา สร้างเรื่อง ไม่เจริญหรอก’ ทั้ง ๆ ที่ก่อนเกิดเรื่องนี้เราขอนัดคุยเรื่อง Performance การทำงานของเราแบบตัวต่อตัว ปรึกษาพี่ ๆ ว่าเราทำงานเป็นยังไงบ้าง เราต้องแก้ตรงไหนไหม (ตลอดทำงานที่นี่ 1 เดือนครึ่ง HR ก็ไม่มี คุยเรื่องนี้เลย) จนเราทักไปขอคุยกับพี่ที่ดูแลเราว่าเรามีปัญหาตรงไหนไหม เขากลับโยนเรื่องให้พี่เมเนเจอร์เพราะคิดว่าเราต้องการจะไฟท์กับเขา เราปวดหัวมาก จนวันสุดท้ายก่อนออกได้คุยกับพี่ AE ที่เราทำงานด้วยกัน สนิทกันมาก กลับมาพร้อมประโยคฮีลใจเดียว ‘เสียดายเราจัง ทีมแกมีแต่คนทำงานกลับบ้าน ไม่ค่อยมีคนไหนที่ทำงานแล้วเข้าขากันได้แบบนี้เลย แกเข้าใจงานเรา เข้าใจลูกค้า และเข้าใจงานที่แกกำลังทำ’ ทั้ง ๆ ที่ทำงานมาตลอด 3 เดือน เรากลับมองว่าพี่ๆ Design เป็นตัวร้ายในสายตาเพื่อนร่วมงานมาตลอด แต่จริง ๆ แล้วการออกครั้งนี้ทำให้เรารู้ว่า ทีมเราเป็นตัวร้ายของสายตาคนทั้งบริษัท ไม่แปลกที่จะรู้สึกอึดอัด หรือคนไม่กล้าคุย ไม่กล้าออกความเห็น เพราะทีมเรามีคาแรคเตอร์แบบนี้
อ่านมาจนถึงขนาดนี้เกริ่นไปที่ชื่อกระทู้ได้แล้วแหละค่ะ 555 เราว่างงาน และกดดันเรื่องหางานใหม่ เพราะเราเกรงใจพี่สาว ครอบครัว ที่ต้องมาคิดว่าเราเป็นไอ้ขี้แพ้ ที่ตอนนี้ดีขึ้นนิดหน่อยด้วยกำลังใจดี ๆ จากเพื่อนที่เคยเรียนกับเรา ร่วมงานกับเรา และรุ่นน้องที่เชื่อถือเรามาเสมอ เราอยากบอกทุกคนว่าเราอาจจะไม่ได้เป็นคนเก่งในสายตาน้อง ๆ หรือคนอื่น ๆ แล้วนะ ตอนนี้เรายังเป็นไอ้ขี้แพ้ในสายตาแม่ ที่ลาออกจากงานเงินเดือน 23000 และยังหางานใหม่อยู่เลย 555 แถมอีโก้ก็สูงด้วย เมื่อเช้า บ. ใหญ่อุตส่าห์สัมภาษณ์เรา เราก็คาดหวังว่าจะได้คุยกันแบบดี ๆ แต่บรรยากาศกลับมาคุ แล้วเราก็ทำได้ห่วยแตกเลย ผู้ใหญ่ทุกคนที่ทำงานอยู่ทำงานต่อที่เดิมได้นาน ๆ เป็นเพราะเรื่องอะไรบ้างคะ เราจะมีโอกาสเจออะไรดี ๆ แบบที่ทุกคนเจอบ้างไหม หรือวันที่แย่ ๆ ทุกคนเริ่มมองอะไรที่ทำให้เกิดความสุขบ้างหรอคะ
ตอนนี้ยังไม่หยุดหางาน แต่ไม่มีความมั่นใจในการสัมภาษณ์งานใหม่เลยค่ะ เราไม่อยากให้คนที่เลือกเราต้องมากดเรา ข่มเราด้วยตำแหน่ง คำพูดของคุณมันแทงจิตใจเรามาก มันทำให้เรารู้สึกไม่ดีพอในสายตาของใครเลย ทั้ง ๆ ที่คุณอ่านและเลือกเรซูเม่ของเราขึ้นมา เราควรคุยกันเรื่องเนื้อหางานที่เราสามารถทำได้ไหม เราแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ไหม แต่พยายามจี้จุดเราว่า ทำไมที่นั่น ที่นู่นดีนักไม่ไปทำงานที่แบบนั้นเลยหล่ะ คือคุณ จังหวะและเวลาที่เขารับมันไม่ตรงกัน หนูไม่ได้โตในครอบครัวที่หยุดทำงานได้เป็นปี ๆ รองานนั้นว่างแล้วยังไหวอยู่นะคะ ตอนนี้เริ่มมีใจอยากเรียนต่อภาษาเพราะโดนดูถูกมาเยอะมาก เรามองว่ามันจะเสริมอนาคตของเรา และเราก็รู้สึกผิดหวังในตัวเองมาก ๆ ค่ะ แต่กลัวที่บ้านรับไม่ได้ เขาสนับสนุนเราเรื่องเรียนนะคะ เราวางแผนจะเรียนรามเพราะค่าเทอมถูกสุดค่ะ เราต้องทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วย เลยคิดว่าจะหางานที่ใช้แรง และไหวพริบการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มากกว่างานที่ต้องใช้ทักษะระดับปริญญาตรีแทนค่ะ เพื่อจะไม่เอางานกลับมาทำที่บ้านในเวลาครอบครัว หรือวันหยุด และยังได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ และได้เรียนไปด้วยอยู่ ทุกคนคิดว่ามันน่าอายไหมคะ