จากช่องยูทูปของคุณวิทย์ สิทเวคิน
1. ประเทศจีน เด็กมีปัญหาด้านการแข่งขันที่สูงมาก ๆ โดยเฉพาะการสอบเข้ามหาลัยชั้นนำของรัฐบาล เช่นมหาลัยปักกิ่ง อย่าง
เร็ว ๆ นี้เกิดข่าวฆ่าตัวตายทั้งครอบครัวเกิดจากลูกสาวทำคะแนนสอบ 95 เต็ม 100 คะแนน ลูกถูกพ่อแม่ดุด่า จึงกระโดดตึกตาย พ่อแม่ตัดสินใจกระโดดตึกตายตามรวมเป็น 3 ศพ วัยรุ่นชาวจีนจำนวนมากต้องเผชิญปัญหาการแข่งขันสูงเกินไปจนไม่อยากแข่งขัน โดยเฉพาะคนที่ไม่มีความหวังในการสอบเข้ามหาลัยปักกิ่งได้เหมือนเด็กที่เก่ง จึงถอดใจไม่อยากเรียนเพราะถ้ายิ่งแข่งขันจะรู้สึกว่าตัวเองยิ่งไม่มีคุณค่ามากขึ้นเท่านั้น เพราะแข่งไปก็ไม่สามารถสอบเข้ามหาลัยปักกิ่งได้แน่ ๆ กลายเป็นผลพวงตามมาทั้งเรื่องไม่อยากเรียน ไม่อยากทำงาน หรือเลือกทำงานแค่พอกินไปวัน ๆ แต่ไม่ต้องแข่งขันดิ้นรนกับใคร จีนตอนนี้ต้องเจอกับภาวะการว่างงานถึง 18% ตัวเลขที่สูงมากจากการปัญหาการถดถอยเศรษฐกิจและมาตรการทางการค้าสหรัฐ ยุโรป
2.เกาหลีใต้ เด็กต้องกันและแข่งกันเรียนอย่างหนักเพื่อสอบเข้ามหาลัยโซล มหาลัยชั้นนำของเกาหลีใต้เพื่อรับประกันการมีงานทำ และการเติบโต แต่พอมาถึงสถานการณ์ปัจจุบันแม้จะเรียนมหาลัยชั้นนำได้ก็จริงแต่ โลกของการทำงานยิ่งโหดร้ายกว่า เมื่อการจะทำงานในบริษัทชั้นนำหรือรับราชการ ต้องอาศัยเส้นสาย คอนเนคชั่น ูไปถึงพ่อแม่ว่าเคยทำงานบริษัทนี้มาก่อนหรือเปล่า ทำให้คนหนุ่มสาวเบื่อหน่ายกับการแข่งขันตั้งแต่วัยเรียน วัยทำงาน อยากย้ายประเทศ บางส่วนตัดสินใจอยู่บ้านเฉย ๆ หรือเลือกทำงานแค่ part time เพื่อมีชีวิตพออยู่ไปวัน ๆ แต่ไม่ต้องแข่งขันดิ้นรนกับใครและไม่แต่งงานสร้างครอบครัว ทำให้เกาหลีใต้ยิ่งต้องเผชิญอัตราการเกิดของเด็กทารกต่ำมาก
3.ญี่ปุ่น เป็นอีกประเทศนึงที่เผชิญกับปัญหาการกดดันและความคาดหวังสูง เด็กยุคใหม่ ๆ กลับไม่ต้องการการแข่งขันรุนแรงเหมือนในอดีต ทำงานอย่างบ้าคลั่ง เด็กที่เกิดมาในยุคนี้หลายคนโยนความรับผิดชอบไปให้พ่อแม่ เมื่อทำให้เค้าเกิดมาแล้วต้องมีหน้าที่เลี้ยงดูไปจนตาย เด็กบางคนเลือกไม่ทำงานอยู่บ้านกินนอนเล่นเกมไปวัน ๆ และมองว่าทรัพย์สินกิจการมรดกของพ่อแม่คือภาระที่โยนมาให้เด็กรุ่นหลังอย่างพวกเขา เด็กบางคนจึงเลือกไม่ทำงานต่อกิจการรุ่นพ่อรุ่นแม่และอยู่บ้านในห้องเก็บตัวเงียบ ๆ คนเดียว กินนอนอยู่ในห้อง ไม่เจอกับโลกภายนอก ส่วนพวกที่เลือกทำงานเป็นมนูษย์เงินเดือนในเด็กวัยรุ่นยุคใหม่ ๆ ของญี่ปุ่นก็ไม่เน้นการทำงานหนักเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
สังคมไทย กับญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ มีส่วนคล้ายคลึงกัน คาดว่าในอนาคต พ่อแม่ครอบครัวไทยต้องเจอปัญหาลูกหลาน ไม่อยากทำงาน ไม่อยากเจอโลกภายนอก นอนอยู่บ้านเล่นเกมไปวัน ๆ มากขึ้น
อนาคตพ่อแม่ครอบครัวคนไทยอาจต้องเผชิญปัญหา ที่ลูกหลานอาจไม่อยากทำงานหรือแข่งขันมากขึ้นเรื่อย ๆ
1. ประเทศจีน เด็กมีปัญหาด้านการแข่งขันที่สูงมาก ๆ โดยเฉพาะการสอบเข้ามหาลัยชั้นนำของรัฐบาล เช่นมหาลัยปักกิ่ง อย่าง
เร็ว ๆ นี้เกิดข่าวฆ่าตัวตายทั้งครอบครัวเกิดจากลูกสาวทำคะแนนสอบ 95 เต็ม 100 คะแนน ลูกถูกพ่อแม่ดุด่า จึงกระโดดตึกตาย พ่อแม่ตัดสินใจกระโดดตึกตายตามรวมเป็น 3 ศพ วัยรุ่นชาวจีนจำนวนมากต้องเผชิญปัญหาการแข่งขันสูงเกินไปจนไม่อยากแข่งขัน โดยเฉพาะคนที่ไม่มีความหวังในการสอบเข้ามหาลัยปักกิ่งได้เหมือนเด็กที่เก่ง จึงถอดใจไม่อยากเรียนเพราะถ้ายิ่งแข่งขันจะรู้สึกว่าตัวเองยิ่งไม่มีคุณค่ามากขึ้นเท่านั้น เพราะแข่งไปก็ไม่สามารถสอบเข้ามหาลัยปักกิ่งได้แน่ ๆ กลายเป็นผลพวงตามมาทั้งเรื่องไม่อยากเรียน ไม่อยากทำงาน หรือเลือกทำงานแค่พอกินไปวัน ๆ แต่ไม่ต้องแข่งขันดิ้นรนกับใคร จีนตอนนี้ต้องเจอกับภาวะการว่างงานถึง 18% ตัวเลขที่สูงมากจากการปัญหาการถดถอยเศรษฐกิจและมาตรการทางการค้าสหรัฐ ยุโรป
2.เกาหลีใต้ เด็กต้องกันและแข่งกันเรียนอย่างหนักเพื่อสอบเข้ามหาลัยโซล มหาลัยชั้นนำของเกาหลีใต้เพื่อรับประกันการมีงานทำ และการเติบโต แต่พอมาถึงสถานการณ์ปัจจุบันแม้จะเรียนมหาลัยชั้นนำได้ก็จริงแต่ โลกของการทำงานยิ่งโหดร้ายกว่า เมื่อการจะทำงานในบริษัทชั้นนำหรือรับราชการ ต้องอาศัยเส้นสาย คอนเนคชั่น ูไปถึงพ่อแม่ว่าเคยทำงานบริษัทนี้มาก่อนหรือเปล่า ทำให้คนหนุ่มสาวเบื่อหน่ายกับการแข่งขันตั้งแต่วัยเรียน วัยทำงาน อยากย้ายประเทศ บางส่วนตัดสินใจอยู่บ้านเฉย ๆ หรือเลือกทำงานแค่ part time เพื่อมีชีวิตพออยู่ไปวัน ๆ แต่ไม่ต้องแข่งขันดิ้นรนกับใครและไม่แต่งงานสร้างครอบครัว ทำให้เกาหลีใต้ยิ่งต้องเผชิญอัตราการเกิดของเด็กทารกต่ำมาก
3.ญี่ปุ่น เป็นอีกประเทศนึงที่เผชิญกับปัญหาการกดดันและความคาดหวังสูง เด็กยุคใหม่ ๆ กลับไม่ต้องการการแข่งขันรุนแรงเหมือนในอดีต ทำงานอย่างบ้าคลั่ง เด็กที่เกิดมาในยุคนี้หลายคนโยนความรับผิดชอบไปให้พ่อแม่ เมื่อทำให้เค้าเกิดมาแล้วต้องมีหน้าที่เลี้ยงดูไปจนตาย เด็กบางคนเลือกไม่ทำงานอยู่บ้านกินนอนเล่นเกมไปวัน ๆ และมองว่าทรัพย์สินกิจการมรดกของพ่อแม่คือภาระที่โยนมาให้เด็กรุ่นหลังอย่างพวกเขา เด็กบางคนจึงเลือกไม่ทำงานต่อกิจการรุ่นพ่อรุ่นแม่และอยู่บ้านในห้องเก็บตัวเงียบ ๆ คนเดียว กินนอนอยู่ในห้อง ไม่เจอกับโลกภายนอก ส่วนพวกที่เลือกทำงานเป็นมนูษย์เงินเดือนในเด็กวัยรุ่นยุคใหม่ ๆ ของญี่ปุ่นก็ไม่เน้นการทำงานหนักเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
สังคมไทย กับญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ มีส่วนคล้ายคลึงกัน คาดว่าในอนาคต พ่อแม่ครอบครัวไทยต้องเจอปัญหาลูกหลาน ไม่อยากทำงาน ไม่อยากเจอโลกภายนอก นอนอยู่บ้านเล่นเกมไปวัน ๆ มากขึ้น