จขกท.มาเรียนมหาลัยที่เชียงใหม่ แล้วก็คิดจะปักหลังอยู่เชียงใหม่ มีบ้าน มีรถ มีญาติอยู่บ้าง น้องๆก็เรียนเชียงใหม่หมด ชีวิตที่เชียงใหม่แฮปปี้ดี
เมื่อก่อนทำงานเอกชน แต่รู้สึกเนื้องานไม่ใช่ ปัจจุบันทำงานลูกจ้างโครงการ เงินโอเค แต่อาชีพไม่สามารถเติบโตได้
เรื่องมีอยู่ว่า คุณแม่อยากให้ทำงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจ รบเร้าอยู่ตั้งนาน เราก็โอเค ลองสอบตำแหน่งหนึ่งของรัฐวิสาหกิจ ตำแหน่งที่สมัครได้มีแต่ที่ส่วนกลาง ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร สมัครไปก่อน ไม่คิดว่าจะได้ด้วยซ้ำเพราะเขาเอาน้อยมาก เราก็ไปสอบ แล้วก็ดันผ่านไปรอบสัมภาษณ์
ตอนสัม เราเล็งตำแหน่งนึงไว้(จาก4หน่วยงาน) กรรมการก็บอกชัดเจนว่าตำแหน่งนี้มันย้ายไม่ได้ กรรมการถามจะมาอยู่เมืองกรุงไหวหรอ ห่างครอบครัวแบบนี้ มันย้ายไม่ได้นะ คือเราก็ปากเก่ง ตอบไปว่า อยู่ได้ค่ะ ไม่ย้ายก็ไม่ย้าย 5555555555 เอาจริงๆตอนสัมภาษณ์ เรา messed up มาก ตอบคำถามแบบสไตล์ genz สุดๆ ตอนนั้นคิดว่าได้ก็เอา ไม่ได้ก็ไม่เสียดาย ไม่ได้อยากได้ขนาดนั้น
เมื่อต้นปีเขาประกาศผลผ่านเว็บ เราไม่ผ่านการสัมภาษณ์ ตอนนั้นในใจคือโล่งมาก แต่หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ องค์กรนั้นโทรมาบอกว่ามีคนสละสิทะธิ์ ยังสนใจอยู่ไหม เป็นอีกตำแหน่งนึง (ไม่ใช่อันที่เล็งไว้ตอนแรก) เราบอกไว้ว่าจะโทรกลับ ตอนนั้นใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มเลยค่ะ ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวคือ ปฏิเสธไปแล้วเก็บเงียบเป็นความลับไม่บอกใครทั้งนั้น แต่เราก็คิดว่าทำแบบนี้มันไม่ถูก
เราโทรไปหาญาติ หาแม่ คือโทรไปบอกว่าไม่อยากไปทำงานที่เมืองใหญ่ แต่คนรอบตัวแม้แต่ที่ทำงานตอนนี้ พูดแบบเดียวกันว่าอายุยังน้อย ไปเถอะ ไปลอง ไม่ชอบก็กลับมา คุณแม่เราก็บอกแบบนี้ อย่าพึ่งคิดว่าจะไม่ได้ย้าย ให้ไปลองดู โอกาสมันมาแล้ว ตอนนั้นเราก็คิดว่าโอเค ลองสักตั้งก็ได้ คืออยากให้แม่สบายใจ แล้วก็กลัวว่าถ้าปฏิเสธ คุณแม่จะผิดหวังจะเสียใจ เราจะกลายเป็นคนโง่ไหมถ้าปฏิเสธโอกาสนี้ เราก็โทรไปตกลง นัดตรวจสุขภาพ
คือตั้งแต่วันที่เขาโทร จนถึงปัจจุบัน เราร้องไห้ทุกวันเลย พอคิดว่าจะไปอยู่ที่เมืองกรุง น้ำตามันก็ไหล มันเหมือเราเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในนรกที่เลือกเอง ไม่ใช่ว่าไม่เราไม่เคยไปอยู่กรุงเทพ เราเคยไปฝึกงานที่กรุงเทพ4เดือน ตั้งใจไปเพราะอยากรู้ว่าเราจะอยู่ได้ไหม คำตอบคือ อยู่ได้นะ แต่ไม่ค่อยมีความสุขเลย พูดตามตรงนึกภาพตัวเองมีความสุขทำงานจนเกษียณอยู่กรุงเทพไม่ออก
มันเหมือนว่าเรากำลังเอาความสุขที่มีตอนนี้ ไปเสี่ยงกับอะไรก็ไม่รู้ที่นู่น ทิ้งชีวิตเจ้าหญิงมีบ้าน มีรถ ไปอยู่เมืองกรุงไม่มีอะไรสักอย่าง เราไม่ได้สนใจการเติบโตในอาชีพ ไม่ได้สนใจสวัสดิการ ไม่ได้อยากรวย อยากใช้ชีวิตไปเรื่อยๆอย่างมีความสุข พยายามบอกตัวเองว่าพอไปถึงแล้วมันก็คงปลง คงรู้สึกดีขึ้น แต่ก็ยังรู้สึกเศร้าร้องไห้ทุกวัน เราก็ไม่เคยเป็นอะไรแบบนี้ค่ะ ใช้ชีวิตแบบสบายๆมาตลอด ไม่ค่อยรู้สึกเครียดกับวิตกกังวลอะไรหนักๆ พอเรากลายเป็นแบบนี้แล้วรู้สึกแย่มาก รู้สึกแย่ที่ร้องไห้ทุกวัน ที่ต้องไปกรุงเทพ ที่เอาความสุขของแม่ก่อนของตัวเอง ที่ตัวเองก็โตแล้วแต่ใจแข็งกับแม่ไม่ลงเลย
ตอนนี้ก็เหลือแค่รอผลตรวจสุขภาพกับตรวจประวัติออก เขาก็จะโทรมาว่าพร้อมเริ่มงานเมื่อไหร่ ขั้นตอนมันก็ไปไกลแล้ว แต่ใจเราไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย ไม่อยากเป็นแบบนี้เลยค่ะ รับมือกับตัวเองตอนนี้ไม่ถูก แต่ก็พยายามอยู่ ปี2025นี่เป็นปีชงชาวมะเส็งของจริงเลย555555 เริ่มต้นปีได้จะเครซี่มาก หวังว่าตัวเองจะไม่เป็นซึมเศร้า กลัวเสียประกันสุขภาพ555
สุดท้าย กระทู้นี้มันก็แค่การระบายความอัดอั้น และหวังว่าทุกคนที่ต้องเจอกับการตัดสินใจอะไรยากๆ จะผ่านมันไปได้ เราก็ด้วย
ขอบคุณค่ะ
ยังไม่ทันได้ไปทำงานที่เมืองกรุง ก็ร้องไห้ทุกวันซะแล้ว
เมื่อก่อนทำงานเอกชน แต่รู้สึกเนื้องานไม่ใช่ ปัจจุบันทำงานลูกจ้างโครงการ เงินโอเค แต่อาชีพไม่สามารถเติบโตได้
เรื่องมีอยู่ว่า คุณแม่อยากให้ทำงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจ รบเร้าอยู่ตั้งนาน เราก็โอเค ลองสอบตำแหน่งหนึ่งของรัฐวิสาหกิจ ตำแหน่งที่สมัครได้มีแต่ที่ส่วนกลาง ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร สมัครไปก่อน ไม่คิดว่าจะได้ด้วยซ้ำเพราะเขาเอาน้อยมาก เราก็ไปสอบ แล้วก็ดันผ่านไปรอบสัมภาษณ์
ตอนสัม เราเล็งตำแหน่งนึงไว้(จาก4หน่วยงาน) กรรมการก็บอกชัดเจนว่าตำแหน่งนี้มันย้ายไม่ได้ กรรมการถามจะมาอยู่เมืองกรุงไหวหรอ ห่างครอบครัวแบบนี้ มันย้ายไม่ได้นะ คือเราก็ปากเก่ง ตอบไปว่า อยู่ได้ค่ะ ไม่ย้ายก็ไม่ย้าย 5555555555 เอาจริงๆตอนสัมภาษณ์ เรา messed up มาก ตอบคำถามแบบสไตล์ genz สุดๆ ตอนนั้นคิดว่าได้ก็เอา ไม่ได้ก็ไม่เสียดาย ไม่ได้อยากได้ขนาดนั้น
เมื่อต้นปีเขาประกาศผลผ่านเว็บ เราไม่ผ่านการสัมภาษณ์ ตอนนั้นในใจคือโล่งมาก แต่หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ องค์กรนั้นโทรมาบอกว่ามีคนสละสิทะธิ์ ยังสนใจอยู่ไหม เป็นอีกตำแหน่งนึง (ไม่ใช่อันที่เล็งไว้ตอนแรก) เราบอกไว้ว่าจะโทรกลับ ตอนนั้นใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มเลยค่ะ ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวคือ ปฏิเสธไปแล้วเก็บเงียบเป็นความลับไม่บอกใครทั้งนั้น แต่เราก็คิดว่าทำแบบนี้มันไม่ถูก
เราโทรไปหาญาติ หาแม่ คือโทรไปบอกว่าไม่อยากไปทำงานที่เมืองใหญ่ แต่คนรอบตัวแม้แต่ที่ทำงานตอนนี้ พูดแบบเดียวกันว่าอายุยังน้อย ไปเถอะ ไปลอง ไม่ชอบก็กลับมา คุณแม่เราก็บอกแบบนี้ อย่าพึ่งคิดว่าจะไม่ได้ย้าย ให้ไปลองดู โอกาสมันมาแล้ว ตอนนั้นเราก็คิดว่าโอเค ลองสักตั้งก็ได้ คืออยากให้แม่สบายใจ แล้วก็กลัวว่าถ้าปฏิเสธ คุณแม่จะผิดหวังจะเสียใจ เราจะกลายเป็นคนโง่ไหมถ้าปฏิเสธโอกาสนี้ เราก็โทรไปตกลง นัดตรวจสุขภาพ
คือตั้งแต่วันที่เขาโทร จนถึงปัจจุบัน เราร้องไห้ทุกวันเลย พอคิดว่าจะไปอยู่ที่เมืองกรุง น้ำตามันก็ไหล มันเหมือเราเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในนรกที่เลือกเอง ไม่ใช่ว่าไม่เราไม่เคยไปอยู่กรุงเทพ เราเคยไปฝึกงานที่กรุงเทพ4เดือน ตั้งใจไปเพราะอยากรู้ว่าเราจะอยู่ได้ไหม คำตอบคือ อยู่ได้นะ แต่ไม่ค่อยมีความสุขเลย พูดตามตรงนึกภาพตัวเองมีความสุขทำงานจนเกษียณอยู่กรุงเทพไม่ออก
มันเหมือนว่าเรากำลังเอาความสุขที่มีตอนนี้ ไปเสี่ยงกับอะไรก็ไม่รู้ที่นู่น ทิ้งชีวิตเจ้าหญิงมีบ้าน มีรถ ไปอยู่เมืองกรุงไม่มีอะไรสักอย่าง เราไม่ได้สนใจการเติบโตในอาชีพ ไม่ได้สนใจสวัสดิการ ไม่ได้อยากรวย อยากใช้ชีวิตไปเรื่อยๆอย่างมีความสุข พยายามบอกตัวเองว่าพอไปถึงแล้วมันก็คงปลง คงรู้สึกดีขึ้น แต่ก็ยังรู้สึกเศร้าร้องไห้ทุกวัน เราก็ไม่เคยเป็นอะไรแบบนี้ค่ะ ใช้ชีวิตแบบสบายๆมาตลอด ไม่ค่อยรู้สึกเครียดกับวิตกกังวลอะไรหนักๆ พอเรากลายเป็นแบบนี้แล้วรู้สึกแย่มาก รู้สึกแย่ที่ร้องไห้ทุกวัน ที่ต้องไปกรุงเทพ ที่เอาความสุขของแม่ก่อนของตัวเอง ที่ตัวเองก็โตแล้วแต่ใจแข็งกับแม่ไม่ลงเลย
ตอนนี้ก็เหลือแค่รอผลตรวจสุขภาพกับตรวจประวัติออก เขาก็จะโทรมาว่าพร้อมเริ่มงานเมื่อไหร่ ขั้นตอนมันก็ไปไกลแล้ว แต่ใจเราไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย ไม่อยากเป็นแบบนี้เลยค่ะ รับมือกับตัวเองตอนนี้ไม่ถูก แต่ก็พยายามอยู่ ปี2025นี่เป็นปีชงชาวมะเส็งของจริงเลย555555 เริ่มต้นปีได้จะเครซี่มาก หวังว่าตัวเองจะไม่เป็นซึมเศร้า กลัวเสียประกันสุขภาพ555
สุดท้าย กระทู้นี้มันก็แค่การระบายความอัดอั้น และหวังว่าทุกคนที่ต้องเจอกับการตัดสินใจอะไรยากๆ จะผ่านมันไปได้ เราก็ด้วย
ขอบคุณค่ะ