“สุขภาพจิตในที่ทำงาน” สัญญาณบ่งบอกว่าเรากำลังเผชิญ “โรคซึมเศร้า”
พาสำรวจตัวเองกับ "สุขภาพจิตในที่ทำงาน" อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณอาจกำลังเผชิญกับ "โรคซึมเศร้า" โดยไม่รู้ตัว!
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา “Healthy Clean” มีโอกาศได้รับข้อมูลที่น่าสนใจจาก พญ.ปวีณา ศรีมโนทิพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านสุขภาพจิต Bangkok Mental Health Hospital หรือ BMHH ที่ได้เผยถึง สถิติสุขภาพจิตในประเทศไทยประจำปี 2567 จากข้อมูลล่าสุดของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า “ประชากรในประเทศไทยมีปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดการสุขภาพจิตในที่ทำงานในประเทศไทย” โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานที่มักพบปัญหาความเครียดจากการทำงาน การต่อสู้กับความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า
วันนี้เราจึงขอพาไปเจาะลึกในเรื่องนี้กัน ซึ่งจะเห็นได้ว่า “จากข้อมูลของ BMHH พบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่มารับบริการสูงที่สุดของโรงพยาบาลคือวัยทำงานอายุ 25-40 ปี” โดย 5 โรคที่พบมากที่สุดในวัยนี้ ได้แก่ โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล ภาวะเครียดสะสม โรคแพนิค และโรคไบโพลาร์ เห็นได้ชัด โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีงานเครียดสูง หรือทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีแรงกดดันสูง ทั้งจากความคาดหวังในงานและความยากลำบากในการรักษาสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวกับการทำงาน
“การใส่ใจสุขภาพจิตในที่ทำงานไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นที่ทุกองค์กรต้องให้ความสำคัญ ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนจะร่วมกันผลักดันให้สุขภาพจิตเป็นวาระสำคัญขององค์กรและสังคม เพื่อสร้างสังคมที่ให้คุณค่ากับสุขภาพกายและใจอย่างสมดุลส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป การดูแลสุขภาพจิตคือความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคน ไม่ได้เพียงสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งขึ้น แต่กำลังสร้างโลกที่น่าอยู่ขึ้นสำหรับทุกคน สุขภาพจิตในที่ทำงานเป็นประเด็นที่เราต้องให้ความสำคัญอย่างจริงจัง” พญ.ปวีณา กล่าว
สำหรับ “โรคซึมเศร้าภัยเงียบในที่ทำงาน ไม่ใช่แค่เรื่องของอารมณ์ที่แปรปรวน แต่เป็นภาวะที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจของผู้ที่เผชิญอยู่” การมีความเครียดสะสมจากการทำงาน หรือสภาพแวดล้อมที่กดดันสามารถกระตุ้นหรือทำให้โรคซึมเศร้ารุนแรงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ในหลายกรณี ผู้ที่มีอาการซึมเศร้าในที่ทำงานมักไม่แสดงอาการอย่างชัดเจน เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าตนเองต้องแสดงออกถึงความเข้มแข็ง และไม่อยากให้คนอื่นเห็นความอ่อนแอ แต่ความเครียดที่สะสมจากการทำงานหนัก ความวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคต และปัญหาภายในองค์กรสามารถผลักดันให้โรคซึมเศร้าเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ จนกลายเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการรักษาอย่างจริงจัง
ผลกระทบจากโรคซึมเศร้าในที่ทำงาน
อาการของโรคซึมเศร้าสามารถส่งผลกระทบทั้งในด้านการทำงานและความสัมพันธ์ภายในที่ทำงานได้อย่างลึกซึ้ง โดยผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้ามักจะมีอาการซึมเศร้า เบื่อหน่าย ขาดสมาธิ และมักรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ซึ่งทำให้การตัดสินใจหรือการทำงานเป็นเรื่องยาก และไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ความขัดแย้งในทีมอาการซึมเศร้าอาจทำให้พนักงานรู้สึกโดดเดี่ยวหรือหงุดหงิดได้ง่าย จนส่งผลต่อความสัมพันธ์ภายในทีม และทำให้บรรยากาศในการทำงานไม่ดี พนักงานที่มีอาการซึมเศร้าอาจขาดงานบ่อย หรือมีปัญหาในการทำงานให้เสร็จตามกำหนดเวลา
วิธีการจัดการสุขภาพจิตและโรคซึมเศร้าในที่ทำงาน
-สร้างพื้นที่ให้พนักงานสามารถเปิดใจเกี่ยวกับสุขภาพจิต พนักงานควรรู้สึกปลอดภัยที่จะพูดคุยเกี่ยวกับอาการทางจิตเวชโดยไม่ต้องกลัวการตัดสิน หรือผลกระทบต่อหน้าที่การงาน
-ให้การสนับสนุนด้านจิตวิทยา องค์กรสามารถจัดให้มีบริการคำปรึกษาจิตวิทยาภายในองค์กร หรือส่งพนักงานที่มีอาการซึมเศร้าไปหาผู้เชี่ยวชาญ
-ส่งเสริมการทำงานที่ยืดหยุ่น การจัดการกับการทำงานที่มีความยืดหยุ่น เช่น การทำงานจากที่บ้าน หรือการกำหนดเวลาทำงานที่เหมาะสมกับพนักงานแต่ละคน จะช่วยลดความเครียดและบรรเทาความวิตกกังวลที่เกิดจากงาน
-ส่งเสริมการออกกำลังกายและกิจกรรมเพื่อผ่อนคลาย การให้พนักงานเข้าร่วมกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพจิต เช่น โครงการโยคะในที่ทำงาน การเดินเล่น หรือกิจกรรมสันทนาการสามารถช่วยลดระดับความเครียดได้
-อบรมและให้ความรู้แก่ผู้บริหารและหัวหน้างาน การอบรมให้หัวหน้างานและผู้บริหารเข้าใจและรับรู้เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าและสัญญาณต่างๆ จะช่วยให้พวกเขาสามารถช่วยเหลือพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม พญ.ปวีณา ได้ทิ้งท้ายเพิ่มเติมด้วยว่า “โรคซึมเศร้าเป็นภัยเงียบที่กำลังกลายเป็นปัญหาที่ไม่สามารถมองข้ามได้ในที่ทำงานในปัจจุบัน โดยเฉพาะในปี 2567 ที่สถิติโรคซึมเศร้าในกลุ่มวัยทำงานเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด” การดูแลสุขภาพจิตของพนักงานและการจัดการกับโรคซึมเศร้าในที่ทำงานจึงเป็นเรื่องที่องค์กรไม่สามารถมองข้ามได้ หากองค์กรสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีและมีการสนับสนุนด้านสุขภาพจิต พนักงานก็จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และองค์กรก็จะเติบโตไปอย่างยั่งยืน.....
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/articles/4254279/
แจกเทคนิคนวด5จุด ช่วยผ่อนคลายออฟฟิศซินโดรม
เปิดเทคนิคนวด 5 จุด คลายปวดเมื่อยช่วยผ่อนคลาย "ออฟฟิศซินโดรม" ได้ง่ายๆด้วยตัวเอง
“ออฟฟิศซินโดรม” แค่ได้ยินชื่อก็สัมผัสได้ถึงความปวดเมื่อยที่สุดแสนจะทรมาน อาการที่ตึงร้าวกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า ไหล่ หากสะสมเป็นเวลานานก็ทำให้บางคนมีอาการลามไปถึงการปวดหัวร่วมด้วย โดยออฟฟิศซินโดรม เป็นอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด รวมถึงอาการปวดหรือชาจากอาการอักเสบจากเนื้อเยื่อและเอ็น ซึ่งเป็นการใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำ ๆ การที่มีอาการสะสมยิ่งส่งผลไม่ดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพใจจนกลายเป็นความเครียดได้ และการปวดเมื่อยก็อาจทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ
สำหรับวิธีช่วยให้ผ่อนคลายอาการปวดกล้ามเนื้อที่นิยมมีทั้ง การประคบเย็น การประคบร้อน การนวดด้วยเครื่องความถี่สูง รวมไปถึงการทานยา เช่น ยาลดการอักเสบ ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยาบรรเทาอาการปวด แต่การใช้ยาในการรักษาก็อาจมีผลข้างเคียงตามมาได้ เมื่อรับประทานเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น การนวด จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีในการช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย แต่เวลาก็เป็นเรื่องสำคัญ ทำให้ไม่ได้มีเวลาไปนวดได้อย่างเป็นประจำ จะดีแค่ไหนถ้านวดผ่อนคลายตัวเองได้เบื้องต้น ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น ปวดเมื่อยน้อยลงเพราะมีเทคนิคในการนวดตรงจุด
5 จุดนวด บรรเทาปวด คอ บ่า ไหล่ ที่ทำเองได้ง่ายๆ โดยมีวิธีดังนี้
1.ใช้ปลายนิ้วมือขวาทั้ง 4 กดคลึงไปทั่วหน้าอก และหัวไหล่ด้านซ้าย
2.ใช้ปลายนิ้วมือขวาทั้ง 4 กดนวดบริเวณกล้ามเนื้อบ่า และเกลียวคอ พร้อมหันศีรษะไปด้านตรงข้ามให้มากที่สุด จากนั้นสลับข้างนวด
3.ใช้หัวแม่มือนวดไปตามแนวเกลียวคอทั้ง 2 ข้าง ตั้งแต่ฐานคอจนถึงใต้ฐานกะโหลกศีรษะ โดยนวดขึ้นอย่างเดียว
4.นวดกดจุดฐานใต้กะโหลก 3 จุด โดยใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้นวด ประคองหน้าผากไว้ กดจุดค้างไว้ จุดละ 5 วินาที ทำซ้ำ 2-3 รอบ
5.ใช้ปลายนิ้วกลางและนิ้วนาง คลึงขมับเบา ๆ ตามเข็มนาฬิกา และใช้นิ้วหัวแม่มือกดและดันเบา ๆ ที่หัวคิ้ว 2-3 ครั้ง
นอกจากการนวดให้ตรงจุดแล้ว ยังสามารถผ่อนคลายได้มากขึ้น ด้วยสมุนไพรไทยที่คนไทยนิยมใช้มาตั้งแต่โบราณในหลากหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดช่วยบรรเทาอาการปวดได้
-ไพล : ช่วยลดอาการปวด บวมแดงร้อน บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ลดอาการอักเสบและเส้นตึง แก้อาการเคล็ดขัดยอก
-น้ำมันระกำ : มีฤทธิ์เป็นยาชาแบบอ่อน ๆ ช่วยต้านการอักเสบ ช่วยบรรเทาอาการปวด เช่น ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อจากภาวะตึง หรือเคล็ด ข้อต่ออักเสบ ช้ำ หรือปวดหลังได้
-กานพลู : มีสรรพคุณในการลดอาการปวด มีฤทธิ์เป็นยาชา ช่วยต้านการอักเสบ
-เกล็ดสะระแหน่ : ลดอาการปวดเมื่อยทำให้ผ่อนคลาย ช่วยให้อุณหภูมิที่ผิวหนังลดลง เช่นเดียวกับการประคบน้ำแข็งหรือประคบเย็น ลดการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือด
-การบูร : ช่วยลดอาการปวด นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นให้ผิวหนังเกิดความเย็นและอุ่น รวมถึงช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด.....
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/articles/4142641/
“สุขภาพจิตในที่ทำงาน” สัญญาณบ่งบอกว่าเรากำลังเผชิญ “โรคซึมเศร้า” และ เทคนิคนวด5จุด ช่วยผ่อนคลายออฟฟิศซินโดรม
พาสำรวจตัวเองกับ "สุขภาพจิตในที่ทำงาน" อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณอาจกำลังเผชิญกับ "โรคซึมเศร้า" โดยไม่รู้ตัว!
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา “Healthy Clean” มีโอกาศได้รับข้อมูลที่น่าสนใจจาก พญ.ปวีณา ศรีมโนทิพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านสุขภาพจิต Bangkok Mental Health Hospital หรือ BMHH ที่ได้เผยถึง สถิติสุขภาพจิตในประเทศไทยประจำปี 2567 จากข้อมูลล่าสุดของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า “ประชากรในประเทศไทยมีปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดการสุขภาพจิตในที่ทำงานในประเทศไทย” โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานที่มักพบปัญหาความเครียดจากการทำงาน การต่อสู้กับความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า
วันนี้เราจึงขอพาไปเจาะลึกในเรื่องนี้กัน ซึ่งจะเห็นได้ว่า “จากข้อมูลของ BMHH พบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่มารับบริการสูงที่สุดของโรงพยาบาลคือวัยทำงานอายุ 25-40 ปี” โดย 5 โรคที่พบมากที่สุดในวัยนี้ ได้แก่ โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล ภาวะเครียดสะสม โรคแพนิค และโรคไบโพลาร์ เห็นได้ชัด โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีงานเครียดสูง หรือทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีแรงกดดันสูง ทั้งจากความคาดหวังในงานและความยากลำบากในการรักษาสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวกับการทำงาน
“การใส่ใจสุขภาพจิตในที่ทำงานไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นที่ทุกองค์กรต้องให้ความสำคัญ ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนจะร่วมกันผลักดันให้สุขภาพจิตเป็นวาระสำคัญขององค์กรและสังคม เพื่อสร้างสังคมที่ให้คุณค่ากับสุขภาพกายและใจอย่างสมดุลส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป การดูแลสุขภาพจิตคือความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคน ไม่ได้เพียงสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งขึ้น แต่กำลังสร้างโลกที่น่าอยู่ขึ้นสำหรับทุกคน สุขภาพจิตในที่ทำงานเป็นประเด็นที่เราต้องให้ความสำคัญอย่างจริงจัง” พญ.ปวีณา กล่าว
สำหรับ “โรคซึมเศร้าภัยเงียบในที่ทำงาน ไม่ใช่แค่เรื่องของอารมณ์ที่แปรปรวน แต่เป็นภาวะที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจของผู้ที่เผชิญอยู่” การมีความเครียดสะสมจากการทำงาน หรือสภาพแวดล้อมที่กดดันสามารถกระตุ้นหรือทำให้โรคซึมเศร้ารุนแรงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ในหลายกรณี ผู้ที่มีอาการซึมเศร้าในที่ทำงานมักไม่แสดงอาการอย่างชัดเจน เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าตนเองต้องแสดงออกถึงความเข้มแข็ง และไม่อยากให้คนอื่นเห็นความอ่อนแอ แต่ความเครียดที่สะสมจากการทำงานหนัก ความวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคต และปัญหาภายในองค์กรสามารถผลักดันให้โรคซึมเศร้าเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ จนกลายเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการรักษาอย่างจริงจัง
ผลกระทบจากโรคซึมเศร้าในที่ทำงาน
อาการของโรคซึมเศร้าสามารถส่งผลกระทบทั้งในด้านการทำงานและความสัมพันธ์ภายในที่ทำงานได้อย่างลึกซึ้ง โดยผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้ามักจะมีอาการซึมเศร้า เบื่อหน่าย ขาดสมาธิ และมักรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ซึ่งทำให้การตัดสินใจหรือการทำงานเป็นเรื่องยาก และไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ความขัดแย้งในทีมอาการซึมเศร้าอาจทำให้พนักงานรู้สึกโดดเดี่ยวหรือหงุดหงิดได้ง่าย จนส่งผลต่อความสัมพันธ์ภายในทีม และทำให้บรรยากาศในการทำงานไม่ดี พนักงานที่มีอาการซึมเศร้าอาจขาดงานบ่อย หรือมีปัญหาในการทำงานให้เสร็จตามกำหนดเวลา
วิธีการจัดการสุขภาพจิตและโรคซึมเศร้าในที่ทำงาน
-สร้างพื้นที่ให้พนักงานสามารถเปิดใจเกี่ยวกับสุขภาพจิต พนักงานควรรู้สึกปลอดภัยที่จะพูดคุยเกี่ยวกับอาการทางจิตเวชโดยไม่ต้องกลัวการตัดสิน หรือผลกระทบต่อหน้าที่การงาน
-ให้การสนับสนุนด้านจิตวิทยา องค์กรสามารถจัดให้มีบริการคำปรึกษาจิตวิทยาภายในองค์กร หรือส่งพนักงานที่มีอาการซึมเศร้าไปหาผู้เชี่ยวชาญ
-ส่งเสริมการทำงานที่ยืดหยุ่น การจัดการกับการทำงานที่มีความยืดหยุ่น เช่น การทำงานจากที่บ้าน หรือการกำหนดเวลาทำงานที่เหมาะสมกับพนักงานแต่ละคน จะช่วยลดความเครียดและบรรเทาความวิตกกังวลที่เกิดจากงาน
-ส่งเสริมการออกกำลังกายและกิจกรรมเพื่อผ่อนคลาย การให้พนักงานเข้าร่วมกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพจิต เช่น โครงการโยคะในที่ทำงาน การเดินเล่น หรือกิจกรรมสันทนาการสามารถช่วยลดระดับความเครียดได้
-อบรมและให้ความรู้แก่ผู้บริหารและหัวหน้างาน การอบรมให้หัวหน้างานและผู้บริหารเข้าใจและรับรู้เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าและสัญญาณต่างๆ จะช่วยให้พวกเขาสามารถช่วยเหลือพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม พญ.ปวีณา ได้ทิ้งท้ายเพิ่มเติมด้วยว่า “โรคซึมเศร้าเป็นภัยเงียบที่กำลังกลายเป็นปัญหาที่ไม่สามารถมองข้ามได้ในที่ทำงานในปัจจุบัน โดยเฉพาะในปี 2567 ที่สถิติโรคซึมเศร้าในกลุ่มวัยทำงานเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด” การดูแลสุขภาพจิตของพนักงานและการจัดการกับโรคซึมเศร้าในที่ทำงานจึงเป็นเรื่องที่องค์กรไม่สามารถมองข้ามได้ หากองค์กรสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีและมีการสนับสนุนด้านสุขภาพจิต พนักงานก็จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และองค์กรก็จะเติบโตไปอย่างยั่งยืน.....
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/articles/4254279/
แจกเทคนิคนวด5จุด ช่วยผ่อนคลายออฟฟิศซินโดรม
เปิดเทคนิคนวด 5 จุด คลายปวดเมื่อยช่วยผ่อนคลาย "ออฟฟิศซินโดรม" ได้ง่ายๆด้วยตัวเอง
“ออฟฟิศซินโดรม” แค่ได้ยินชื่อก็สัมผัสได้ถึงความปวดเมื่อยที่สุดแสนจะทรมาน อาการที่ตึงร้าวกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า ไหล่ หากสะสมเป็นเวลานานก็ทำให้บางคนมีอาการลามไปถึงการปวดหัวร่วมด้วย โดยออฟฟิศซินโดรม เป็นอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด รวมถึงอาการปวดหรือชาจากอาการอักเสบจากเนื้อเยื่อและเอ็น ซึ่งเป็นการใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำ ๆ การที่มีอาการสะสมยิ่งส่งผลไม่ดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพใจจนกลายเป็นความเครียดได้ และการปวดเมื่อยก็อาจทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ
สำหรับวิธีช่วยให้ผ่อนคลายอาการปวดกล้ามเนื้อที่นิยมมีทั้ง การประคบเย็น การประคบร้อน การนวดด้วยเครื่องความถี่สูง รวมไปถึงการทานยา เช่น ยาลดการอักเสบ ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยาบรรเทาอาการปวด แต่การใช้ยาในการรักษาก็อาจมีผลข้างเคียงตามมาได้ เมื่อรับประทานเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น การนวด จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีในการช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย แต่เวลาก็เป็นเรื่องสำคัญ ทำให้ไม่ได้มีเวลาไปนวดได้อย่างเป็นประจำ จะดีแค่ไหนถ้านวดผ่อนคลายตัวเองได้เบื้องต้น ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น ปวดเมื่อยน้อยลงเพราะมีเทคนิคในการนวดตรงจุด
5 จุดนวด บรรเทาปวด คอ บ่า ไหล่ ที่ทำเองได้ง่ายๆ โดยมีวิธีดังนี้
1.ใช้ปลายนิ้วมือขวาทั้ง 4 กดคลึงไปทั่วหน้าอก และหัวไหล่ด้านซ้าย
2.ใช้ปลายนิ้วมือขวาทั้ง 4 กดนวดบริเวณกล้ามเนื้อบ่า และเกลียวคอ พร้อมหันศีรษะไปด้านตรงข้ามให้มากที่สุด จากนั้นสลับข้างนวด
3.ใช้หัวแม่มือนวดไปตามแนวเกลียวคอทั้ง 2 ข้าง ตั้งแต่ฐานคอจนถึงใต้ฐานกะโหลกศีรษะ โดยนวดขึ้นอย่างเดียว
4.นวดกดจุดฐานใต้กะโหลก 3 จุด โดยใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้นวด ประคองหน้าผากไว้ กดจุดค้างไว้ จุดละ 5 วินาที ทำซ้ำ 2-3 รอบ
5.ใช้ปลายนิ้วกลางและนิ้วนาง คลึงขมับเบา ๆ ตามเข็มนาฬิกา และใช้นิ้วหัวแม่มือกดและดันเบา ๆ ที่หัวคิ้ว 2-3 ครั้ง
นอกจากการนวดให้ตรงจุดแล้ว ยังสามารถผ่อนคลายได้มากขึ้น ด้วยสมุนไพรไทยที่คนไทยนิยมใช้มาตั้งแต่โบราณในหลากหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดช่วยบรรเทาอาการปวดได้
-ไพล : ช่วยลดอาการปวด บวมแดงร้อน บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ลดอาการอักเสบและเส้นตึง แก้อาการเคล็ดขัดยอก
-น้ำมันระกำ : มีฤทธิ์เป็นยาชาแบบอ่อน ๆ ช่วยต้านการอักเสบ ช่วยบรรเทาอาการปวด เช่น ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อจากภาวะตึง หรือเคล็ด ข้อต่ออักเสบ ช้ำ หรือปวดหลังได้
-กานพลู : มีสรรพคุณในการลดอาการปวด มีฤทธิ์เป็นยาชา ช่วยต้านการอักเสบ
-เกล็ดสะระแหน่ : ลดอาการปวดเมื่อยทำให้ผ่อนคลาย ช่วยให้อุณหภูมิที่ผิวหนังลดลง เช่นเดียวกับการประคบน้ำแข็งหรือประคบเย็น ลดการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือด
-การบูร : ช่วยลดอาการปวด นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นให้ผิวหนังเกิดความเย็นและอุ่น รวมถึงช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด.....
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/articles/4142641/