เราอายุ 19 ปีครับ ตอนนี้กำลังจะมีสอบมิดเทอม แต่ดันได้รับสิ่งที่กวนใจ พูดตรงๆ ก็ความรักน่ะครับ เราเป็นคนที่ค่อนข้างสนุกสนาน เฮฮา ยิ้มง่าย หัวเราะเก่ง เสียงดังมากเวลาอยู่กับเพื่อน แต่นั่นก็เป็นแค่บุคลิกนึงน่ะครับ เราจะเป็นเหมือนคนที่เดาอารมณ์ไม่ได้ทันที เมื่ออยู่กับคนที่สนิทหรือคนที่ใกล้ชิด แต่มักจะเงียบเอามากๆ ซะส่วนใหญ่ แต่บุคลิกที่เราว่าน่าจะเป็นตัวเราเองที่สุด น่าจะเป็นตอนที่เราอยู่คนเดียว ในห้องของเราโลกของเรา
เราเป็นคนคิดมาก เท่าที่จำได้ก็ราวๆ ตั้งแต่ป.6 แต่ที่เราเริ่มรู้สึกว่า การที่คิดมากมันเป็นปัญหากับเราก็ตอนราวๆ ม.2-3 เป็นช่วงที่เราต้องเลือกสายการเรียน ซึ่งเราก็ยังเลือกไม่ค่อยได้น่ะครับ ยังลังเลว่าจริงๆ เราชอบอะไรกันแน่ ภาษา คำนวณ หรือสายิาชีพไปเลย แต่เราก็เลือกเดินตามทางที่พ่อเราแนะนำเราไปสายวิทย์-คณิต จริงๆ ช่วงนั้นก็พอจะมีดีเทลเล็กๆ น้อยๆ บ้าง ที่ทำให้เราเครียดเกี่ยวกับอนาคตของเรา + เราเป็นลูกชายคนเดียว (แต่มีพี่สาวนะครับ) เราเลยคิดมากไปถึงการที่เราจะต้องเป็นคนที่ดูแลพ่อแม่ ป้า อา แล้วก็ที่ดินบางส่วน (ที่ครอบครัวใหญ่ และก็มีป้ากับอาที่เป็นผู้หญิง แล้วก็โสดทั้งหมดเลยครับ เราเลยคิดไว้ว่าเราต้องดูแลทุกคนในอนาคตแน่ๆ) กับอีกเรื่องคือความรัก เราแอบชอบผู้หญิงในห้องมาตั้งแต่ราวๆ ม.1-2 เราเป็นเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทระดับนึง แต่มักทะเลาะกันบ่อย และเป็นการทะเลาะที่นานมาก จนกว่าจะกลับมาคุยกันที 4 เดือน 8 เดือน จนม.2 เราทะเลาะกับเธอ จนเป็นสาเหตุทำให้เราทั้งคู่ไม่ได้คุยกันถึง 3 ปีกว่า เราหลบหน้ากัน ไม่พูดถึงกันเลย ในช่วงม.3 เรามักนอนหลับไปพร้อมกับน้ำตา มักเป็นอยู่ราวๆ สัปดาห์เต็มๆแล้วก็จะเว้นหายไปสักพัก แล้วก็เป็นอีก สลับกันไป 2-3 ครั้ง เพราะการคิดมากในเรื่องอนาคตในสายการเรียนและภาระที่เราทราบตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็เรื่องความรัก
จนผ่านช่วงนั้นมา เป็นช่วงม.4 รร. เราให้เรียนออนไลน์ ซึ่งเราก็ค่อนข้างเป็นเด็กขี้เกียจเอามากๆ น่ะ
การเรียนก็ดรอปลง แต่ก็ถูๆ ไถๆ ไม่ต่ำกว่า 3.5 เราก็ยังโอเคในเรื่องการเรียน แต่เรื่องภาระหน้าที่ในอนาคตของเราก็ยังคงอยู่ในหัวเรามาเรื่อยๆ ถึงจะไม่หนักเท่าตอนม.3 แต่ก็ยังคอยคระหนักอยู่เสมอ ส่วนเรื่องความรัก เนื่องจากเราค่อนข้างเธอมากๆ ไม่พบ ไม่ได้ยินเสียง เราก็ค่อนข้างที่จะเบาลงในเรื่องนั้น ไม่ได้นึกถึงบ่อยๆ แต่ถ้าตั้งคำถามว่าชอบใคร เราก็ตอบตัวเองได้ว่าเป็น เธอ
ม.5 รร. กลับมาเรียนเหมือนปกติ และเป็นช่วงที่เราเปิดโลกมากขึ้น เข้าสังคมมากขึ้น ทำกิจกรรมมากขึ้น ทำความรู้จักกับเด็กใหม่ในห้อง(ที่ควรจะรู้จักตั้งแต่ม.4 อะนะ) แล้วก็รู้จักกับพวกรุ่นน้องสายรหัสบ้าง ในช่วงม.5 เราแทบไม่ได้หนักใจเรื่องเรียนเอามากนัก เรากึ่งเรียนกึ่งไม่เรียน แค่ให้พอเกรดไม่ตกมากก็พอใจแล้ว เราค่อนข้างสนุกกับเพื่อนฝูงมากๆ ในตอนนั้น ไม่เรื่องให้เครียดน้อย และเป็นช่วงที่ร้องไห้น้อยเอามากๆ มีผู้หญิงเข้าหาบ้างแค่ คน2คน แต่ก็เพียงแค่คุยกันไม่กี่เดือนเท่านั้น และปีนี้ก็เป็นปีแรกที่เราได้กลับไปคุยกับเธอ ที่ไม่ได้คุยกันมานานมากๆ เราคุยกันเหมือนไม่เคยมีการเหตุการทะเลาะเกิดขึ้น เหมือนเราไม่เคยหลบหน้ากัน เหมือนแค่เพื่อนที่ไม่ได้คุยกันมานานมาก ได้กลับมาคุยกัน ในตอนนั้นเราไม่ได้รู้สึกกับเธอในเชิงชู้สาว เท่าตอนม.3 แต่ก็ยังคงมีความชอบอยู่
ม.6 เป็นช่วงที่เราแอบเศร้าเอามากๆ มีทั้งเรื่องอนาคตการศึกษาของเรา การที่เราต้องจากลาเพื่อนๆ ที่เราพบเจอกันทุกวัน แต่ ณ ตอนนั้นทุกคนก็วุ่นอยู่กับเรื่องทำพอร์ตยื่นเข้ามหาลัยกันหมด ซึ่งเราไม่สนเลยน่ะ
เรารอสอบรอบ Gat Pat A level อย่างเดียวเลย และเราก็เอาแต่นับถอยหลัง วันสุดท้ายที่จะได้พบเพื่อนๆ ในชุดนักเรียน ย้อนไปเราก็เศร้าเอามากๆ เลยแหละ จนในช่วงท้ายของม.6 ก่อนจบประมาณ 3 เดือน เราได้คบกับผู้หญิงคนนึง เป็นแฟนคนแรกของเราเลยแหละ ซึ่งก็คือเธอคนที่เราชอบมาตั้งแต่ ม.1-2 ชอบมาตั้ง 5 ปีแน่ะ เป็นการคบกันที่งงๆ แล้วก็รวดเร็วมากๆ พูดคุยกันก็พบว่า เธอเคยชอบเราช่วง ม.3 นิดๆ หน่อยๆ เหมือนกัน แต่ก็เพราะทะเลาะกันเลยไม่มีโอกาสแม้แต่จะทัก พูดคุย
ในช่วงนั้นเราก็รักกันมาก อารมณ์เหมือนเราเป็นคนที่รักกันแต่แรกแล้วก็โดนบังคับให้ห่างกันไป (พูดไปงั้นแหละ จริงๆ ก็คงจะรักเหมือนคู่อื่นๆ อะเนอะ) นั่นแหละๆ เราก็เป็นไปตามเหมือนคู่รักอื่นๆ แต่ด้วยที่เราไม่เคยมีแฟนมาก่อน เราเลยอาจไม่ค่อยเข้าใจบางการกระทำไปบ้าง เลยมักโดนติวเข้มบ่อยๆ เราก็รักกันมาแบบปกติมาเรื่อยๆ จนเราเองเป็นคนที่เปลี่ยนไป หลังจากคบกันได้ราวๆ 6 เดือน พฤติกรรมเราเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เหมือนคนหมดโปร จากมุมมองของเราในสาเหตุที่เป็นอย่างนี้ น่าจะเป็นเกิดจากที่คู่เราทะเลาะกันค่อนข้างบ่อย ในช่วงแรก เราทั้งคู่ค่อนข้างพยายามเอามากๆ พูดคุย แก้ปัญหากันอยู่เสมอ เรามักเป็นฝ่ายที่เย็น แล้วเธอเป็นฝ่ายที่ร้อน แต่ทุกครั้งก็จบด้วยการที่คุยกันได้ดี แต่ด้วยความที่เป็นตัวเรา เราเป็นคนคิดมาก มากๆ เลยแหละ เธอมักชอบพูดในเชิงเลิกกันในช่วงแรกๆ ที่คบ ซึ่งเราก็ประคองมันมาได้ตลอด แต่ในใจเราก็ค่อยๆ กร่อนไปทุกครั้งที่ทะเลาะกัน จนมันถึงช่วงที่เรากล่าวไป ช่วงที่เราเริ่มหมดโปร 6 เดือนหลัง เราเปลี่ยนไป เวลาทะเลาะกันเรามักเป็นคนที่หนีหาย เราหนีไปนอนหลับ และทิ้งเธอไว้กับเรื่องที่ยังค้างคาอยู่ เราตอบแชทเธอช้าลง เราโฟกัสกับเรื่องมหาลัยและงานพาร์ททามมากขึ้น จนไม่ได้สนใจเธอมากเท่าไหร่
แต่มันก็ดันเกิดเหตุการณ์นึงขึ้น เราไม่ติดมหาลัยในรอบ 3 ด้วยสาเหตุที่โง่เง่าที่สุดที่เราเคยทำมา คือการไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ใจว่า เรากดยืนยันการชำระเงินในการยื่นรอบที่ 3 รึยัง ในวันนั้นเราร้องไห้ค่อนข้างหนักเอามากๆ โทรไปลางานที่ทำงาน โทรไปหาแม่พร้อมร้องไห้ (แทบจะเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ที่ร้องไห้ให้คนในครอบครัวได้รับรู้) ร้องไห้ในครั้งเกิดจากความผิดหวังก็ส่วนนึง แต่ ณ ตอนนั้น เราคิดแค่ว่า เราทำให้พ่อแม่ต้องผิดหวังแน่ๆ พ่อต้องโกรธเรามากๆ แน่ๆ ที่เราพลาดอะไรที่ไม่เป็นเรื่องขนาดนี้ได้ เราโกรธตัวเอง ณ ตอนนั้น ตอนที่ไม่มีใครอยู่ที่บ้าน เราคิดสารพัดในการหาวิธีการจากโลกไป แต่มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราคิดหรอก เราคิดเรื่องนี้มาบ่อยมากๆ แต่เราถูกรั้งเอาไว้ด้วยความคิดว่า "เราจากไป ใครจะดูแลพ่อแม่แล้วครอบครัว ใครจะเป็นที่พึ่งพาให้พวกเขาในอนาคต" ความคิดนี้ช่วยเราได้มาตลอด จนถึงตอนนั้นเราก็ไม่ได้พยายามจะจากไป จนพ่อมาถึง เราคิดว่าพ่อจะมีอาการสักนิดนึงที่ปวดหัวกับเรื่องของเรา แต่พ่อเหมือนพูดอะไรไม่ถูก ไม่กล้าที่จะบ่นเรา แค่ถามว่ามันมีทางอื่นอีกมั้ยที่จะพอยื่นได้ จนกว่าเราจะทำใจได้ก็หลายชม. อยู่แหละ จนเราก็คิดในแง่บวกไว้ว่า ลองเสี่ยงในรอบ 4 เอาก็ได้ แล้วก็ปล่อยผ่านไป ในตอนนั้นก็มีแฟนที่ค่อยคุยกับเราทั้งวัน ปลอบใจเราตลอดทั้งวัน
ที่เล่าเรื่องมหาลัยขึ้นมานั้น เพราะเราคิดว่า นี่คงเป็นสาเหตุ ที่ทำให้เราหมดอะไรตายอยากกับทุกสิ่ง เราไม่มีแรงบันดาลใจที่จะค่อยแก้ปัญหาเรื่องความรัก เราแทบจะไม่อยากจะเรียนต่อด้วยซ้ำ เนื่องจากเพราะไม่ใช่มหาลัยที่เราคาดไว้ ไม่ใช่สาขาวิชาที่ฝันไว้ เราเปลี่ยนเป็นคนละคนตั้งแต่ตอนนั้น เราปรึกษาแฟนเราน้อยลง และกลับเข้าหาตัวเองในตอนม.3 คนที่มองไปเห็นที่พึ่งที่เดียว คือตัวเราเอง ที่ที่สงบและปลอดภัยที่สุดคือห้องนอนเรา เรากลับไปเป็นคนที่อยู่กับเองเหมือนก่อน แต่มันหนักกว่าเดิมด้วยความที่เราพบกับผิดหวังครั้งนั้น มันเลยเละเอามากๆ
เราได้เข้ามหาลัยที่นึง แล้วก็ได้ร่วมสังคมใหม่ ได้รู้จักเพื่อนใหม่ การเรียนแบบใหม่ ซึ่งอย่างที่เราบอก ไม่มีแรงจูงใจที่จะเรียนแล้ว เราแทบไม่ได้ตั้งใจเรียนเลย เอาแต่สนุกกับเพื่อนๆ จนมันทำให้ชีวิตคู่เราพังไปด้วย เราเพลิดเพลินกับสังคมใหม่จนเกินไป จนเราไม่มีเวลาให้แฟน เราทะเลาะกับเธอบ่อยขึ้นกว่าเดิม ถี่เอามากๆ และเป็นเธอที่มักยอมเราตลอด เรามีพฤติกรรมที่ไม่ดี (บอกไว้ก่อนนะ ไม่ได้ไปแอบมีกิ๊กนะเว้ย) ฟอลบอกสาวๆ ตามคลิปต่างๆ จนเขาไม่พอใจ ซึ่งในตอนนั้นเราก็เห็นแก่ตัว ไม่นึกถึงใจเขา เราก็เถียงไปว่า ไม่ได้ไปแอบคุยอะไรสักหน่อย มันเป็นปัญหาขนาดนั้นเลยหรอ ไอเรื่องนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เราเลิกกันไปครั้งหนึ่ง แต่ก็เลิกไปแค่ 1 วันกว่าๆ แล้วก็กลับมาคบกันต่อ แต่พอกลับไปอ่านแล้ว เราก็รู้สึกผิด รู้แย่มากๆ เลยแหละ แต่ทำไงได้ล่ะ เราแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่นั้นแหละ ก็มีแบบนั้น ทะเลาะกันมาเรื่อย จากแต่ก่อนที่เราเป็นฝ่ายเย็น กลายเป็นเราก็ร้อนตามไปด้วย พอร้อนกับร้อนมาชนกันเป็นยังไงล่ะ
อย่างที่บอก เธอมักชอบเผลอปากบอกเลิกมาตั้งแต่คบแรกๆ แล้ว ครั้งนี้ก็เช่นกัน แล้วเราที่กลายเป็นอีกคนไปแล้ว ก็ได้ตอบตกลงไป เธอก็เหมือนไม่ตั้งตัวว่าเราจะตกลง ก็พยายามคุยกับเราต่อ ถามว่าแน่ใจแล้วหรอ ไม่รักกันแล้วหรอ แต่เราก็ยืนยันคำเดิมไป ผ่านไปเรื่อยๆ เธอพยายามถามให้เรากลับคบกันใหม่อีกครั้ง แต่เราก็ปฏิเสธตลอด จนเรากลับไปฟอลสาวอีกครั้ง ทำให้เธอปรี๊ดแตก มาทะเลาะกันอีกครั้ง แล้วจบที่บล็อกเราไปหมด ทุกช่องทาง
หลังจากที่เลิกกันไป เราเฉยๆ เอามากๆ ทำทุกอย่างแทบจะปกติ แต่พอผ่านไปได้แค่เดือนเดียว เราก็ลืมรู้สึกคิดถึงต่างๆ นาๆ เข้าเดือนที่ 2 เราก็เพ้อเลยแหละ อยากขอโทษ อยากคุย อยากกลับไปหา อยากได้แก้ไขอะไรต่างๆ แต่มารู้อีกที เธอก็คบกับคนใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่เลิกกันได้ 1 เดือนก่อนแล้ว ทำให้เราเพ้อเอาหนักมากๆ เรากลับไปร้องไห้เหมือนแต่ก่อน เหมือนตอนที่เราผิดหวังเรื่องมหาลัย แต่ในครั้งนี้มันดันมาถูกช่วงเวลาด้วยน่ะสิ
มันเป็นช่วงที่เรากำลังจะสอบมิดเทอม เทอมที่ 2 ซึ่งอย่างที่บอก เราแทบไม่ได้ตั้งใจเรียนเลย แล้วในหัวก็คิดแต่เรื่องว่า จะซิ่วไปสอบตรงด้านภาษาที่เราถนัด เพราะคณะที่เราเรียนอยู่ เรารู้สึกว่าเราไม่ไหวกับมัน อาจจะเป็นเพราะสภาพจิตใจพักหลังมา ที่ไม่เอาอะไรเลย แต่เราก็คือตัวเราอะเนอะ เราเป็นคนคิดมากๆๆๆ เราคิดว่าถ้าเราบอกพ่อแม่ไป เราจะทำให้พวกเขาคิดว่าเราเสียใจเวลารึป่าว เราผลาญตังค์พ่อแม่ไปเสียเปล่าๆ ตั้ง 1 ปี เราไม่กล้าที่จะปรึกษาใครเลย ในแต่ก่อนเรามีแฟนให้พูดคุย แต่ตอนนี้ เราไม่เหลือใครเลย เราคุยอยู่กับตัวเองคนเดียว แล้วพอมีเรื่องอนาคตของเราแล้วครอบครัวอยู่แล้ว แล้วยิ่งมีเรื่องความรักที่เราเป็นคนพังมันเอง วนกลับกระทบเราอีก กลายเป็นว่า ณ ปัจจุบัน เราคิดว่าจุดนี้คือจุดที่ดิ่งที่สุดที่เคยพบมา คิดมากวนไป ตื่นมาก็ร้องไห้ ระหว่างวันก็ร้อง นอนก็ร้อง (จริงๆ น่าไปฝึกร้องเพลงนะแหม่) อยู่แต่ในห้องของตัวเองไม่ออกไปพบหน้าใคร แล้วเราก็เริ่มคิดจริงๆ จังๆ ว่าจะไปพบแพทย์ ความคิดนี้เรามีตั้งแต่ม.ปลาย แล้วแหละ แต่มีหนักๆ คือช่วงตอนที่ผิดหวังจากมหาลัย ตอนที่ยังคบกับแฟนอยู่
อาจจะเป็นเพราะเราไม่คุย ไม่ปรึกษากับใครเลย เลยทำให้คิดมากอยู่คนเดียวตลอด ไม่รู้เลยว่าสเกลที่ตัวเองกำลังเป็นอยู่มันถือว่าเป็นปกติของคนทั่วไปด้วยซ้ำรึป่าว แค่เราโอเวอร์รีแอ็คไปเอง ในตอนนี้เราคิดว่า ที่เราไม่ได้จากโลกไป ก็เพราะว่ายังมีพ่อแม่และภาระอื่นอยู่ ถ้าพวกท่านไม่อยู่ขึ้นมา เราก็คงจะจากไปแบบง่ายดายแน่ๆ เรารู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่เพื่อตัวเรา เราอยู่เพื่อคนรอบข้างที่รักเราอย่างเดียว สิ่งที่ค่อยทำให้เรามีความสุขคือตอนที่เราร้องไห้ ตอนที่น้ำตาได้ไหล มันคือความสุขที่เราเลือกตลอด อาจจะเพราะเราเสพติดอะไรเศร้าตลอด เราชอบฟังเพลงเศร้าน่ะ ละก็เวลาว่างๆ ดิ่งๆ จะชอบนึกถึงเหตุการณ์เศร้า อย่างเช่น เราจากโลกไป แล้วจะมีใครมานึกเรามั้ยนะ หรือนึกถึงตอนที่ยังคบหรือทะเลาะกับแฟน พอนึกทีไร น้ำตามักไหลตลอด นั่นแหละเป็นความสุขเราที่ชินมาตลอด
ณ ปัจจุบันนี้คือ เราตัดสินใจได้แล้วว่าจะพยายามสอบตรงใหม่ เราจะไปคุยกับพ่อแม่เราโดยตรง แต่เราก็ยังคงไม่น่าจะเล่าเรื่องที่แบกไว้ให้พวกท่านฟังอยู่ดีอะนะ
ส่วนเรื่องความรัก เราว่าจะทักหาเพื่อนเราคนนึงที่เราสนิทมากๆ ถ้าเขายอมที่จะให้เราระบายอะนะ แล้วก็คงไปปรึกษาแพทย์แบบจริงๆ จังๆ
อยากรู้เหมือนกันครับว่าตัวเราที่เป็นตลอดมานี้ มันปกติเมื่อเทียบกับคนอื่นมั้ย ถ้ามีคนผ่านมาอ่านช่วยบอกผมด้วยนะครับ
รักตัวเองให้มากๆ นะทุกคน
แค่มาขอพื้นที่ระบายครับ (แท็กผิดขอโทษนะครับ กระทู้แรกและกระทู้เดียว)
เราเป็นคนคิดมาก เท่าที่จำได้ก็ราวๆ ตั้งแต่ป.6 แต่ที่เราเริ่มรู้สึกว่า การที่คิดมากมันเป็นปัญหากับเราก็ตอนราวๆ ม.2-3 เป็นช่วงที่เราต้องเลือกสายการเรียน ซึ่งเราก็ยังเลือกไม่ค่อยได้น่ะครับ ยังลังเลว่าจริงๆ เราชอบอะไรกันแน่ ภาษา คำนวณ หรือสายิาชีพไปเลย แต่เราก็เลือกเดินตามทางที่พ่อเราแนะนำเราไปสายวิทย์-คณิต จริงๆ ช่วงนั้นก็พอจะมีดีเทลเล็กๆ น้อยๆ บ้าง ที่ทำให้เราเครียดเกี่ยวกับอนาคตของเรา + เราเป็นลูกชายคนเดียว (แต่มีพี่สาวนะครับ) เราเลยคิดมากไปถึงการที่เราจะต้องเป็นคนที่ดูแลพ่อแม่ ป้า อา แล้วก็ที่ดินบางส่วน (ที่ครอบครัวใหญ่ และก็มีป้ากับอาที่เป็นผู้หญิง แล้วก็โสดทั้งหมดเลยครับ เราเลยคิดไว้ว่าเราต้องดูแลทุกคนในอนาคตแน่ๆ) กับอีกเรื่องคือความรัก เราแอบชอบผู้หญิงในห้องมาตั้งแต่ราวๆ ม.1-2 เราเป็นเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทระดับนึง แต่มักทะเลาะกันบ่อย และเป็นการทะเลาะที่นานมาก จนกว่าจะกลับมาคุยกันที 4 เดือน 8 เดือน จนม.2 เราทะเลาะกับเธอ จนเป็นสาเหตุทำให้เราทั้งคู่ไม่ได้คุยกันถึง 3 ปีกว่า เราหลบหน้ากัน ไม่พูดถึงกันเลย ในช่วงม.3 เรามักนอนหลับไปพร้อมกับน้ำตา มักเป็นอยู่ราวๆ สัปดาห์เต็มๆแล้วก็จะเว้นหายไปสักพัก แล้วก็เป็นอีก สลับกันไป 2-3 ครั้ง เพราะการคิดมากในเรื่องอนาคตในสายการเรียนและภาระที่เราทราบตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็เรื่องความรัก
จนผ่านช่วงนั้นมา เป็นช่วงม.4 รร. เราให้เรียนออนไลน์ ซึ่งเราก็ค่อนข้างเป็นเด็กขี้เกียจเอามากๆ น่ะ การเรียนก็ดรอปลง แต่ก็ถูๆ ไถๆ ไม่ต่ำกว่า 3.5 เราก็ยังโอเคในเรื่องการเรียน แต่เรื่องภาระหน้าที่ในอนาคตของเราก็ยังคงอยู่ในหัวเรามาเรื่อยๆ ถึงจะไม่หนักเท่าตอนม.3 แต่ก็ยังคอยคระหนักอยู่เสมอ ส่วนเรื่องความรัก เนื่องจากเราค่อนข้างเธอมากๆ ไม่พบ ไม่ได้ยินเสียง เราก็ค่อนข้างที่จะเบาลงในเรื่องนั้น ไม่ได้นึกถึงบ่อยๆ แต่ถ้าตั้งคำถามว่าชอบใคร เราก็ตอบตัวเองได้ว่าเป็น เธอ
ม.5 รร. กลับมาเรียนเหมือนปกติ และเป็นช่วงที่เราเปิดโลกมากขึ้น เข้าสังคมมากขึ้น ทำกิจกรรมมากขึ้น ทำความรู้จักกับเด็กใหม่ในห้อง(ที่ควรจะรู้จักตั้งแต่ม.4 อะนะ) แล้วก็รู้จักกับพวกรุ่นน้องสายรหัสบ้าง ในช่วงม.5 เราแทบไม่ได้หนักใจเรื่องเรียนเอามากนัก เรากึ่งเรียนกึ่งไม่เรียน แค่ให้พอเกรดไม่ตกมากก็พอใจแล้ว เราค่อนข้างสนุกกับเพื่อนฝูงมากๆ ในตอนนั้น ไม่เรื่องให้เครียดน้อย และเป็นช่วงที่ร้องไห้น้อยเอามากๆ มีผู้หญิงเข้าหาบ้างแค่ คน2คน แต่ก็เพียงแค่คุยกันไม่กี่เดือนเท่านั้น และปีนี้ก็เป็นปีแรกที่เราได้กลับไปคุยกับเธอ ที่ไม่ได้คุยกันมานานมากๆ เราคุยกันเหมือนไม่เคยมีการเหตุการทะเลาะเกิดขึ้น เหมือนเราไม่เคยหลบหน้ากัน เหมือนแค่เพื่อนที่ไม่ได้คุยกันมานานมาก ได้กลับมาคุยกัน ในตอนนั้นเราไม่ได้รู้สึกกับเธอในเชิงชู้สาว เท่าตอนม.3 แต่ก็ยังคงมีความชอบอยู่
ม.6 เป็นช่วงที่เราแอบเศร้าเอามากๆ มีทั้งเรื่องอนาคตการศึกษาของเรา การที่เราต้องจากลาเพื่อนๆ ที่เราพบเจอกันทุกวัน แต่ ณ ตอนนั้นทุกคนก็วุ่นอยู่กับเรื่องทำพอร์ตยื่นเข้ามหาลัยกันหมด ซึ่งเราไม่สนเลยน่ะ เรารอสอบรอบ Gat Pat A level อย่างเดียวเลย และเราก็เอาแต่นับถอยหลัง วันสุดท้ายที่จะได้พบเพื่อนๆ ในชุดนักเรียน ย้อนไปเราก็เศร้าเอามากๆ เลยแหละ จนในช่วงท้ายของม.6 ก่อนจบประมาณ 3 เดือน เราได้คบกับผู้หญิงคนนึง เป็นแฟนคนแรกของเราเลยแหละ ซึ่งก็คือเธอคนที่เราชอบมาตั้งแต่ ม.1-2 ชอบมาตั้ง 5 ปีแน่ะ เป็นการคบกันที่งงๆ แล้วก็รวดเร็วมากๆ พูดคุยกันก็พบว่า เธอเคยชอบเราช่วง ม.3 นิดๆ หน่อยๆ เหมือนกัน แต่ก็เพราะทะเลาะกันเลยไม่มีโอกาสแม้แต่จะทัก พูดคุย
ในช่วงนั้นเราก็รักกันมาก อารมณ์เหมือนเราเป็นคนที่รักกันแต่แรกแล้วก็โดนบังคับให้ห่างกันไป (พูดไปงั้นแหละ จริงๆ ก็คงจะรักเหมือนคู่อื่นๆ อะเนอะ) นั่นแหละๆ เราก็เป็นไปตามเหมือนคู่รักอื่นๆ แต่ด้วยที่เราไม่เคยมีแฟนมาก่อน เราเลยอาจไม่ค่อยเข้าใจบางการกระทำไปบ้าง เลยมักโดนติวเข้มบ่อยๆ เราก็รักกันมาแบบปกติมาเรื่อยๆ จนเราเองเป็นคนที่เปลี่ยนไป หลังจากคบกันได้ราวๆ 6 เดือน พฤติกรรมเราเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เหมือนคนหมดโปร จากมุมมองของเราในสาเหตุที่เป็นอย่างนี้ น่าจะเป็นเกิดจากที่คู่เราทะเลาะกันค่อนข้างบ่อย ในช่วงแรก เราทั้งคู่ค่อนข้างพยายามเอามากๆ พูดคุย แก้ปัญหากันอยู่เสมอ เรามักเป็นฝ่ายที่เย็น แล้วเธอเป็นฝ่ายที่ร้อน แต่ทุกครั้งก็จบด้วยการที่คุยกันได้ดี แต่ด้วยความที่เป็นตัวเรา เราเป็นคนคิดมาก มากๆ เลยแหละ เธอมักชอบพูดในเชิงเลิกกันในช่วงแรกๆ ที่คบ ซึ่งเราก็ประคองมันมาได้ตลอด แต่ในใจเราก็ค่อยๆ กร่อนไปทุกครั้งที่ทะเลาะกัน จนมันถึงช่วงที่เรากล่าวไป ช่วงที่เราเริ่มหมดโปร 6 เดือนหลัง เราเปลี่ยนไป เวลาทะเลาะกันเรามักเป็นคนที่หนีหาย เราหนีไปนอนหลับ และทิ้งเธอไว้กับเรื่องที่ยังค้างคาอยู่ เราตอบแชทเธอช้าลง เราโฟกัสกับเรื่องมหาลัยและงานพาร์ททามมากขึ้น จนไม่ได้สนใจเธอมากเท่าไหร่
แต่มันก็ดันเกิดเหตุการณ์นึงขึ้น เราไม่ติดมหาลัยในรอบ 3 ด้วยสาเหตุที่โง่เง่าที่สุดที่เราเคยทำมา คือการไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ใจว่า เรากดยืนยันการชำระเงินในการยื่นรอบที่ 3 รึยัง ในวันนั้นเราร้องไห้ค่อนข้างหนักเอามากๆ โทรไปลางานที่ทำงาน โทรไปหาแม่พร้อมร้องไห้ (แทบจะเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ที่ร้องไห้ให้คนในครอบครัวได้รับรู้) ร้องไห้ในครั้งเกิดจากความผิดหวังก็ส่วนนึง แต่ ณ ตอนนั้น เราคิดแค่ว่า เราทำให้พ่อแม่ต้องผิดหวังแน่ๆ พ่อต้องโกรธเรามากๆ แน่ๆ ที่เราพลาดอะไรที่ไม่เป็นเรื่องขนาดนี้ได้ เราโกรธตัวเอง ณ ตอนนั้น ตอนที่ไม่มีใครอยู่ที่บ้าน เราคิดสารพัดในการหาวิธีการจากโลกไป แต่มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราคิดหรอก เราคิดเรื่องนี้มาบ่อยมากๆ แต่เราถูกรั้งเอาไว้ด้วยความคิดว่า "เราจากไป ใครจะดูแลพ่อแม่แล้วครอบครัว ใครจะเป็นที่พึ่งพาให้พวกเขาในอนาคต" ความคิดนี้ช่วยเราได้มาตลอด จนถึงตอนนั้นเราก็ไม่ได้พยายามจะจากไป จนพ่อมาถึง เราคิดว่าพ่อจะมีอาการสักนิดนึงที่ปวดหัวกับเรื่องของเรา แต่พ่อเหมือนพูดอะไรไม่ถูก ไม่กล้าที่จะบ่นเรา แค่ถามว่ามันมีทางอื่นอีกมั้ยที่จะพอยื่นได้ จนกว่าเราจะทำใจได้ก็หลายชม. อยู่แหละ จนเราก็คิดในแง่บวกไว้ว่า ลองเสี่ยงในรอบ 4 เอาก็ได้ แล้วก็ปล่อยผ่านไป ในตอนนั้นก็มีแฟนที่ค่อยคุยกับเราทั้งวัน ปลอบใจเราตลอดทั้งวัน
ที่เล่าเรื่องมหาลัยขึ้นมานั้น เพราะเราคิดว่า นี่คงเป็นสาเหตุ ที่ทำให้เราหมดอะไรตายอยากกับทุกสิ่ง เราไม่มีแรงบันดาลใจที่จะค่อยแก้ปัญหาเรื่องความรัก เราแทบจะไม่อยากจะเรียนต่อด้วยซ้ำ เนื่องจากเพราะไม่ใช่มหาลัยที่เราคาดไว้ ไม่ใช่สาขาวิชาที่ฝันไว้ เราเปลี่ยนเป็นคนละคนตั้งแต่ตอนนั้น เราปรึกษาแฟนเราน้อยลง และกลับเข้าหาตัวเองในตอนม.3 คนที่มองไปเห็นที่พึ่งที่เดียว คือตัวเราเอง ที่ที่สงบและปลอดภัยที่สุดคือห้องนอนเรา เรากลับไปเป็นคนที่อยู่กับเองเหมือนก่อน แต่มันหนักกว่าเดิมด้วยความที่เราพบกับผิดหวังครั้งนั้น มันเลยเละเอามากๆ
เราได้เข้ามหาลัยที่นึง แล้วก็ได้ร่วมสังคมใหม่ ได้รู้จักเพื่อนใหม่ การเรียนแบบใหม่ ซึ่งอย่างที่เราบอก ไม่มีแรงจูงใจที่จะเรียนแล้ว เราแทบไม่ได้ตั้งใจเรียนเลย เอาแต่สนุกกับเพื่อนๆ จนมันทำให้ชีวิตคู่เราพังไปด้วย เราเพลิดเพลินกับสังคมใหม่จนเกินไป จนเราไม่มีเวลาให้แฟน เราทะเลาะกับเธอบ่อยขึ้นกว่าเดิม ถี่เอามากๆ และเป็นเธอที่มักยอมเราตลอด เรามีพฤติกรรมที่ไม่ดี (บอกไว้ก่อนนะ ไม่ได้ไปแอบมีกิ๊กนะเว้ย) ฟอลบอกสาวๆ ตามคลิปต่างๆ จนเขาไม่พอใจ ซึ่งในตอนนั้นเราก็เห็นแก่ตัว ไม่นึกถึงใจเขา เราก็เถียงไปว่า ไม่ได้ไปแอบคุยอะไรสักหน่อย มันเป็นปัญหาขนาดนั้นเลยหรอ ไอเรื่องนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เราเลิกกันไปครั้งหนึ่ง แต่ก็เลิกไปแค่ 1 วันกว่าๆ แล้วก็กลับมาคบกันต่อ แต่พอกลับไปอ่านแล้ว เราก็รู้สึกผิด รู้แย่มากๆ เลยแหละ แต่ทำไงได้ล่ะ เราแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่นั้นแหละ ก็มีแบบนั้น ทะเลาะกันมาเรื่อย จากแต่ก่อนที่เราเป็นฝ่ายเย็น กลายเป็นเราก็ร้อนตามไปด้วย พอร้อนกับร้อนมาชนกันเป็นยังไงล่ะ
อย่างที่บอก เธอมักชอบเผลอปากบอกเลิกมาตั้งแต่คบแรกๆ แล้ว ครั้งนี้ก็เช่นกัน แล้วเราที่กลายเป็นอีกคนไปแล้ว ก็ได้ตอบตกลงไป เธอก็เหมือนไม่ตั้งตัวว่าเราจะตกลง ก็พยายามคุยกับเราต่อ ถามว่าแน่ใจแล้วหรอ ไม่รักกันแล้วหรอ แต่เราก็ยืนยันคำเดิมไป ผ่านไปเรื่อยๆ เธอพยายามถามให้เรากลับคบกันใหม่อีกครั้ง แต่เราก็ปฏิเสธตลอด จนเรากลับไปฟอลสาวอีกครั้ง ทำให้เธอปรี๊ดแตก มาทะเลาะกันอีกครั้ง แล้วจบที่บล็อกเราไปหมด ทุกช่องทาง
หลังจากที่เลิกกันไป เราเฉยๆ เอามากๆ ทำทุกอย่างแทบจะปกติ แต่พอผ่านไปได้แค่เดือนเดียว เราก็ลืมรู้สึกคิดถึงต่างๆ นาๆ เข้าเดือนที่ 2 เราก็เพ้อเลยแหละ อยากขอโทษ อยากคุย อยากกลับไปหา อยากได้แก้ไขอะไรต่างๆ แต่มารู้อีกที เธอก็คบกับคนใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่เลิกกันได้ 1 เดือนก่อนแล้ว ทำให้เราเพ้อเอาหนักมากๆ เรากลับไปร้องไห้เหมือนแต่ก่อน เหมือนตอนที่เราผิดหวังเรื่องมหาลัย แต่ในครั้งนี้มันดันมาถูกช่วงเวลาด้วยน่ะสิ
มันเป็นช่วงที่เรากำลังจะสอบมิดเทอม เทอมที่ 2 ซึ่งอย่างที่บอก เราแทบไม่ได้ตั้งใจเรียนเลย แล้วในหัวก็คิดแต่เรื่องว่า จะซิ่วไปสอบตรงด้านภาษาที่เราถนัด เพราะคณะที่เราเรียนอยู่ เรารู้สึกว่าเราไม่ไหวกับมัน อาจจะเป็นเพราะสภาพจิตใจพักหลังมา ที่ไม่เอาอะไรเลย แต่เราก็คือตัวเราอะเนอะ เราเป็นคนคิดมากๆๆๆ เราคิดว่าถ้าเราบอกพ่อแม่ไป เราจะทำให้พวกเขาคิดว่าเราเสียใจเวลารึป่าว เราผลาญตังค์พ่อแม่ไปเสียเปล่าๆ ตั้ง 1 ปี เราไม่กล้าที่จะปรึกษาใครเลย ในแต่ก่อนเรามีแฟนให้พูดคุย แต่ตอนนี้ เราไม่เหลือใครเลย เราคุยอยู่กับตัวเองคนเดียว แล้วพอมีเรื่องอนาคตของเราแล้วครอบครัวอยู่แล้ว แล้วยิ่งมีเรื่องความรักที่เราเป็นคนพังมันเอง วนกลับกระทบเราอีก กลายเป็นว่า ณ ปัจจุบัน เราคิดว่าจุดนี้คือจุดที่ดิ่งที่สุดที่เคยพบมา คิดมากวนไป ตื่นมาก็ร้องไห้ ระหว่างวันก็ร้อง นอนก็ร้อง (จริงๆ น่าไปฝึกร้องเพลงนะแหม่) อยู่แต่ในห้องของตัวเองไม่ออกไปพบหน้าใคร แล้วเราก็เริ่มคิดจริงๆ จังๆ ว่าจะไปพบแพทย์ ความคิดนี้เรามีตั้งแต่ม.ปลาย แล้วแหละ แต่มีหนักๆ คือช่วงตอนที่ผิดหวังจากมหาลัย ตอนที่ยังคบกับแฟนอยู่
อาจจะเป็นเพราะเราไม่คุย ไม่ปรึกษากับใครเลย เลยทำให้คิดมากอยู่คนเดียวตลอด ไม่รู้เลยว่าสเกลที่ตัวเองกำลังเป็นอยู่มันถือว่าเป็นปกติของคนทั่วไปด้วยซ้ำรึป่าว แค่เราโอเวอร์รีแอ็คไปเอง ในตอนนี้เราคิดว่า ที่เราไม่ได้จากโลกไป ก็เพราะว่ายังมีพ่อแม่และภาระอื่นอยู่ ถ้าพวกท่านไม่อยู่ขึ้นมา เราก็คงจะจากไปแบบง่ายดายแน่ๆ เรารู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่เพื่อตัวเรา เราอยู่เพื่อคนรอบข้างที่รักเราอย่างเดียว สิ่งที่ค่อยทำให้เรามีความสุขคือตอนที่เราร้องไห้ ตอนที่น้ำตาได้ไหล มันคือความสุขที่เราเลือกตลอด อาจจะเพราะเราเสพติดอะไรเศร้าตลอด เราชอบฟังเพลงเศร้าน่ะ ละก็เวลาว่างๆ ดิ่งๆ จะชอบนึกถึงเหตุการณ์เศร้า อย่างเช่น เราจากโลกไป แล้วจะมีใครมานึกเรามั้ยนะ หรือนึกถึงตอนที่ยังคบหรือทะเลาะกับแฟน พอนึกทีไร น้ำตามักไหลตลอด นั่นแหละเป็นความสุขเราที่ชินมาตลอด
ณ ปัจจุบันนี้คือ เราตัดสินใจได้แล้วว่าจะพยายามสอบตรงใหม่ เราจะไปคุยกับพ่อแม่เราโดยตรง แต่เราก็ยังคงไม่น่าจะเล่าเรื่องที่แบกไว้ให้พวกท่านฟังอยู่ดีอะนะ ส่วนเรื่องความรัก เราว่าจะทักหาเพื่อนเราคนนึงที่เราสนิทมากๆ ถ้าเขายอมที่จะให้เราระบายอะนะ แล้วก็คงไปปรึกษาแพทย์แบบจริงๆ จังๆ
อยากรู้เหมือนกันครับว่าตัวเราที่เป็นตลอดมานี้ มันปกติเมื่อเทียบกับคนอื่นมั้ย ถ้ามีคนผ่านมาอ่านช่วยบอกผมด้วยนะครับ
รักตัวเองให้มากๆ นะทุกคน