ก่อนอื่นจะบอกว่าเราจะแจกแจงสิ่งที่เขาพูดและสิ่งที่เราเข้าใจจากการฟังแกเล่าออกจากกันนะคะ
คุณ Fortuneteller ไม่เคยว่าร้ายหรือด่าใครนะ หรือใช้คำหยาบ
ตอนนั้นเรายังเด็กประมาณ 20 อยากเก่งภาษาอังกฤษมากแต่ไม่มีเงิน เรามาโพสต์ใน Pantip มั้งเท่าที่จำได้ แกเลยตอบมาทาง inbox วิธีฝึกภาษาอังกฤษ พอคุยกันไปมาแกก็ชวนออกมาห้างสิมาเรียนกันเราก็เลยออกไปเจอแก แกดันชวนไปกินบุฟเฟ่ต์ซึ่งกับ 10 ปีก่อนอาหารญี่ปุ่นมันแพง เราเลยบอกแกว่าเราไม่มีตังค์จ่ายนะไปที่อื่นเถอะ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะว่าไม่ได้ไปหลอกเอาตังค์แก มันเป็นฟิลแบบผู้หญิงแก่อายุ 70 เลี้ยงข้าวรุ่นน้องอะไรประมาณนั้น พอเราคุยกับแกไปมาเราก็เข้าใจมาตลอดว่าแกเป็นผู้หญิงแก่ เราไม่ได้รู้จักเรื่องราวของแกมากเท่าไหร่หรอกในพันทิป แต่แกก็เล่าให้ฟังเหมือนกับที่แกเคยโพสต์เลย ทั้งเรื่องฝึกวิทยายุทธทั้งเรื่องแกไม่กินน้ำตาล หรือกระทั่งเรื่องแฟนเก่าแก แกก็เล่าไปอย่างที่เคยมีเรื่องราวในพันทิพย์นั่นแหละ ซึ่งแกก็เล่าเรื่องแฟนคนก่อนหน้าเป็นไกด์ ช่วงนั้นคบกันก็ขอเงินแกและแกก็ดูแลตลอดจนเขามีแฟนใหม่ ตอนนั้นเราฟังแล้วน้ำตาไหลเรานึกถึงภาพ ผู้ชายมาหลอกผู้หญิงแก่ ประมาณ 20 ปีก่อนแกน่าจะ 50 ปี แล้วเรารู้สึกถึงความโดดเดี่ยวมาก เราอยากร้องไห้เราเลยพูดไปว่า
"ทำไมผู้ชายถึงทำอย่างนี้"
แกก็เลยมองหน้าเรา แบบงงๆ แล้วตอบว่า"แฟนฉันเป็นผู้หญิง"
เราก็เลยฮะ ด้วยความเป็นเด็กตอนนั้นคือไม่รู้อะไรจริงๆ ด้วยความที่เสียงแกเป็นผู้หญิงมากผู้หญิงมีอายุเลยถามแกว่า "Miss ฟอร์จูน สรุปแล้วคุณเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายคะ?" แกก็คุยปกตินะ แต่เปลี่ยนเรื่องแล้วแกก็เล่าเรื่องแกต่อว่า
ต่อมาแกก็ได้คบกับคนบ้านรวย( แกไม่ได้ไปเกาะเขากินนะ บังเอิญเจอกันเพราะอะไรไม่รู้จำไม่ได้แล้ว) แกบอกว่าแกแปลหนังสือให้เขาจนเขาได้รางวัล แล้วพ่อแม่แฟนเขาก็อยากให้แกเป็นผู้ชายปกติตัดผม ส่วนเรื่องราวอื่นๆก็อย่างที่แกเคยเล่าไปใน Pantip นั่นแหละ แต่แกเป็นคนสุดโต่งอย่างที่ทุกคนเข้าใจแล้วแหละแกก็เลือกที่จะเป็นอย่างนี้ของแก ซึ่งในสมัยนั้น Social มันยังไม่คึกเท่าทุกวันนี้ สไตล์แบบแกต่างประเทศมันมีเยอะแยะ แต่เหมือนกับประเทศไทยแม้ว่าจะปัจจุบันก็ตามถ้าคนทำธุรกิจแล้วมันมีสไตล์แบบสาวสองแต่งหญิงได้เมียเป็นผู้หญิงแบบสไตล์แก ถ้าเป็นธุรกิจที่ไม่ใช่วงการดารามันก็จะดูยังไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ถึงทุกวันนี้จะมีการเปิดรับก็ตาม เพราะแม่ของแฟนแกเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม อยากให้ทุกคนนึกถึงความเป็นจริงในมุมมองนี้ หลังจากนั้น 7 ปีมั้งเหมือนผู้หญิงได้แต่งงานกับคนมีเงินเหมือนกัน มันเหมือนกับธุรกิจค่ะ คนเขาจะแต่งงานกับคนที่ระดับเดียวกันเพื่อธุรกิจ เพราะ Miss Fortune ก็ไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเช่นกันเพราะแม่แฟนอยากให้แต่งตัวแมนๆดูดีตัดผม ประมาณว่าทำเพศตัวเองให้มันชัดเจน
ตอนเห็นนาง เรารู้สึกว่านางมีวัฒนธรรมความเป็นฝรั่งค่อนข้างสูง พวกฝรั่งจะไม่ค่อยผูกพันกับญาติ จะอยู่ใครอยู่มัน ลูกโตแล้วก็ต้องแยกย้ายไปมีครอบครัว ไม่ได้มาตอบแทนพระคุณครอบครัวเท่าฝั่งเอเชีย นางก็เป็นเหมือนคนตัวคนเดียวแบบนั้นแหละ
ตอนที่ฟังเรื่องแฟนที่ชอบมาขอเงินนาง เรารู้สึกเองเลยว่า เหมือนนางให้ใครด้วยความจริงใจ นางไม่ได้หวังอะไร และนางเป็นคนที่ไม่ได้มีชั้นเชิงไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรเลย คือนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้หญิงมาหลอกเอาตังค์นาง และตอนนางเล่านางไม่ได้ใส่ร้ายอะไรใครเลยนะนางแค่เล่าตามด้านบนที่เราเขียน
เรื่องการกินแบบสุดโต่ง
แกไม่กินน้ำตาลเลยซึ่งตอนนั้นการกินแบบ Keto, low Carb ยังไม่ดังเลย ตัวเราเองก็ยังไม่รู้จักเช่นกัน เราก็เห็นคนมาว่าแกเยอะนั่นแหละเรื่องนี้ แต่ ณ ปัจจุบันวิธีการกินของแกมันก็คือการกินแบบ low Carb เพราะเคยถามว่าคนแบบแกกินอาหารแบบไหนอยากกินอาหารเหมือนฝรั่งกินก็คือขนมปัง แต่แกจะไม่ใส่น้ำตาลเลยกระทั่งโชยุ ถ้าเป็นยุคปัจจุบันสิ่งที่แกกินมันมีหลายคนเขาทำอย่างที่เรารู้จักนั่นแหละ
เราได้ทำความรู้จักกับแกประมาณเดือนนึง ในระหว่างนั้นก่อนที่เราจะรู้ว่าแกเป็นสาวสอง เราได้เห็นชีวิตของแกแกเป็นคนไม่ได้ประหยัดขนาดนั้น คือแกเลี้ยงของกินเราสมัยนั้นเราว่าแพงนะ ของเหลือแล้วก็ไม่ได้เอากลับบ้านนะเราเกรงใจแก แกให้เราห่อกลับเพราะแกไม่กินของที่มีไขมันหรือน้ำตาล แต่พอคิดแล้วน่าจะเอากลับ เพราะมันแพง เสียดายเงินแก แกไม่ค่อยวางแผนการเงินเพราะการไปของแกก็ได้เงินมาง่าย เป็นสาเหตุหนึ่งที่แกชอบบ่นเรื่องการเงินตัวเอง แต่เป็นความสุขสไตล์ฝรั่งของแกที่แกชอบไปดูดนตรีที่คาเฟ่แห่งหนึ่ง ถ้าเปรียบเทียบเรทราคาซาซิมิประมาณ 2,000 บาท เหมือนแกเหงาแกจะชอบมานั่งฟังเพลงตามประสาคนแก่ตัวคนเดียว แล้วเหมือนแกแค่อยากมีเพื่อนแกก็เลยชวนเราไป แกให้เกียรติเราตลอด เราไม่รู้ว่าเพราะแกอยู่ในสังคมฝรั่งหรือเปล่าเพราะส่วนมากการล่วงเกินต่างๆจะไม่เท่าเมืองไทย ก่อนหน้าที่เราจะรู้ว่าแกเป็นสาวสองแล้วเคยไปบ้านแกครั้งนึง นึกถึงคนสูงอายุที่อยู่ตัวคนเดียว แกเล่าให้ฟังว่าแกมีเงินมรดกสุดท้ายไม่กี่ล้าน(คือไว้ใจคนง่ายมาก) สมัยกลับไทยพ่อแกโกรธมากเพราะว่าแกไม่ได้ใบจบเกรด 12 แกบอกว่าในต่างประเทศไม่ว่าจะจบชั้นไหนของการศึกษาขั้นต้นก็สามารถทำงานซื้อบ้านได้ ในมุมมองเรามันก็คือความมักง่ายของแกนั่นแหละแทนที่จะให้จบสัก ม.6 สรุปจบแค่ ม.3 ทั้งที่พ่อแกทุ่มทรัพย์สินทั้งชีวิตให้ลูกได้ดี แกขี้เกียจไปสอบแก้มั้งแกบอกเลยไม่จบแต่ก็ทำงานมีครอบครัวที่อังกฤษ พอกลับมาไทยเพราะแกเลิกกับเมียทางนั้น พอพ่อรู้แกเรียนไม่จบ ม.6 พ่อก็เกลียดแกมากเลย มีช่วงที่พ่อแกป่วยปกติจะมีลูกพี่ลูกน้องคอยดูแลแต่บังเอิญพ่อทะเลาะกับลูกพี่ลูกน้องแกเลยได้กลับมาดูแลพ่อเพราะว่าสุดท้ายแกก็คือลูก สุดท้ายพ่อแกก็เลยรู้ว่าลูกคือคนที่สำคัญกับแกยังไงผู้สืบทอดก็คือแกอยู่แล้วถ้าพ่อไม่ได้ไปเซ็นให้คนอื่นสุดท้ายพ่อก็ยกสมบัติที่เหลือให้แก ซึ่งแกก็ขาย แกนำเงินมาซื้อคอนโดส่วนนึง ห้องเล็กๆ ไม่ได้หรูหราแต่อยู่เกือบใกล้เมือง แล้วแกก็ลุ้นว่าแต่ละวันจะมีงานเข้าหาแกไหม เพราะด้วยความที่ประเทศไทยเขาเอาวุฒิ แกจะไปสมัครงานอะไรก็ลำบากจนกระทั่งแกแก่แกก็หากินหาเลี้ยงชีพด้วยการแปลมาตลอด
สำหรับเราสิ่งที่แกพูดมันก็เป็นเรื่องจริงนะ เพราะการใช้ภาษาจริงๆถ้าในการไปและการพูดปกติมันไม่ตรงตามหลักแกรมม่าเสมอไป เพราะเราเป็นคนนึงที่เคยใช้ตามแกรมม่าแล้วมันดูแปลกๆ เราต้องเข้าใจภาษาอังกฤษให้ลึกซึ้งกว่านั้นเหมือนคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับฝรั่งเลย มันถึงจะไปออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ระยะเวลาที่เราเรียนกับแกมันน้อยนิดมากเพราะว่าเราทะเลาะกันก่อน ตอนนั้นเหมือนเราไปเล่นกับแก เหมือนเป็นเพื่อนคนแก่มากกว่า แกน่าจะไม่สามารถสอนคนตามแกรมม่าเป๊ะๆได้หรอกเพราะแกไม่ได้เรียนการสอนมา ก็เหมือนกับคนไทยนี่แหละ สามารถสอนพูดได้ แต่จะให้สอนเอาไปสอบน่ะก็ลำบาก แต่ถ้าเราแค่ฝึกอ่านแกรมม่าและด้วยความที่เราเข้าใจอยู่แล้วเราไปสอบมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก
แกเป็นสาวสองที่ไม่ได้โหวกเหวกโวยวาย ยกตัวอย่างในหนังสาวสองที่เป็นฝรั่ง เขาจะไม่ได้กรี๊ดกร๊าดโวยวายมากมายเขาก็จะเป็นตัวของเขาเองเพราะเขาชอบเพศแบบนั้นและเขาชอบผู้หญิงมั้งเพราะไม่เคยเจอแกชอบผู้ชายนะ บุคลิกแกเหมือนคนปกติเลยเราถึงได้ดูไม่ออกว่าเขาเป็นสาวสอง แต่วันที่เราทะเลาะกันตอนนั้นเราเด็กเกินไป เรื่องที่เราทะเลาะกันคือเรื่องการเมืองแกก็ออกแนวสุดโต่งของแกนั่นแหละ แต่เอาจริงๆแล้วไม่ว่าจะใครที่ไม่ใช่แกคุยเรื่องการเมืองมันตีกันทั้งนั้นแหละ ตอนนั้นเราแค่รู้สึกว่าทำไมแกจะต้องมาเอาชนะเรื่องการเมือง ทำไมถึงต้องชอบคนที่โกงกิน ทั้งๆที่ต่างประเทศถ้ามีการโกงกินมันไม่ได้ แกก็มาเถียงว่า "ต่างประเทศก็มีการโกงกินเยอะเหมือนกันนั่นแหละ ใครที่มันให้เงินเราได้คนนั้นแหละดี" แล้วเราก็เดินออกมาจากแกเลยตอนนั้น แกก็ไม่ได้รั้งอะไรนะ แต่พอเราคิดแล้วเรานึกถึงแววตาแกแล้ว แล้วเราเคยอยู่กับสังคมฝรั่งมาเหมือนฝรั่งก็จะต้องอยู่คนเดียวให้เป็น อยู่กับความโดดเดี่ยว บางคนถึงขนาดที่ไม่มีความผูกพันกับใคร แต่ตอนนั้นเราจำแววตาของแกครั้งสุดท้ายได้ เหมือนกับแกโดนทิ้งมาบ่อยมากแล้วจนทำใจเป็นปกติ แกก็ปล่อยมันไป เหมือนแกจะปลงแต่มันก็ไม่ใช่การปลง เป็นการยอมรับชีวิตประมาณว่าเราก็อยู่คนเดียว มาตลอด แล้วทุกคนผ่านเข้ามายังไงก็ต้องผ่านไป แกเลือกที่จะเป็นตัวของตัวเองมากกว่า
หลังจากนั้นด้วยความที่เราไม่ได้เป็นคนเล่น Pantip และเราก็เติบโตเจอชีวิต เจอปัญหาเราก็ลืมแกไป แต่เราก็เคยคิดถึงแกอยู่นะช่วงโควิดแกจะรอดไหม เราเจอแกตอนช่วงปี 58 ซึ่งเราจะไม่ได้ว่าแกอายุ 70 เท่าไหร่ช่วงนั้น ถ้าผ่านมาแกก็คงอายุมากแล้ว แต่ตอนเราเจอแกสุขภาพแกดีนะ เดินเหินดี วันนี้เราเลยนึกถึงแกเลยมาโพสถาม เราก็อยากคุยกับแกนะ เรานึกว่าแกเสียไปนานแล้วถ้าเรารู้ว่าแกยังไม่เสียเราก็อยากไปหา แกเป็นเหมือนเพื่อนเราเลย แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆแต่ตอนนั้นเราเด็กเกินไป ทั้งๆที่ตอนทะเลาะกันเราไม่ได้ทะเลาะอะไรกันรุนแรงเลย
ส่วนเรื่องที่แกตั้งกระทู้แปลกๆอะไรต่างๆ แค่มันคนที่คิดยังไงก็คิดอย่างนั้นแค่นั้นแหละ คิดอะไรก็แสดงออกเพราะแกเป็นพวกไม่มีชั้นเชิงหรือคิดทำร้ายใครและเรื่องภาษาอังกฤษที่แกบอกมันก็เป็นเรื่องจริง หลายๆคนก็รับไม่ได้ที่แกโพสต์แต่ยังไงอ่ะมันก็เป็นความจริงนะ
คิดถึงแกเสมอ เสียใจจังที่ไม่ได้คุยกับแกเลย แกเหมือนเป็นเพื่อนคนนึงเลย นึกถึงสาวสองมีแฟนหญิงในยุคนี้แล้วเหมือนแกเลย
เคยเจอ Miss Fortunteller ที่สอนภาษาค่ะ อยากเล่าเรื่องราวบางส่วนและไว้อาลัยให้แก