เมื่อปีนี้หนาวนาน และแก๊งป้าอยากหาที่เที่ยว
ทริปนี้ป้าๆ 6 คน ไปเที่ยวอุทัยธานี 4 วัน 3 คืน
โห...
อุทัยธานี ไปได้ไงตั้ง 4 วัน
ป้าบอกเลยว่ายังเที่ยวไม่ทั่วเลย
บอกเลย....อุทัยธานีน่ะ เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ ยาวนานกว่า 3,000 ปี เลยนะ
และเป็นบ้านเกิดของพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกอีกด้วย
เลยมีข้อความว่า “อุทัยธานี เมืองพระชนกจักรี”
มาดูกันเลยว่าป้าๆ ไปไหนกันมาบ้าง
.
วันแรก ป้าๆ ธุระเยอะ กว่าจะออกเดินทางก็เกือบ 10 โมง
แวะทานอาหารกลางวันแถวๆ สิงห์บุรี
.
พอเข้าเมืองป้าๆ ก็เริ่มหาที่เที่ยว
เข้ามาเขตเมืองก็จะเขียวๆ ประมาณนี้
GPS พาป้าๆ มาที่ วัดอุโปสถาราม เป็นที่แรก
วัดนี้ชาวบ้านเรียกว่า “วัดโบสถ์” อยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง ฝั่งตรงข้ามตลาดเทศบาล มีสะพานเดินข้ามไปเที่ยวตลาดเทศบาลได้ หรือจะจอดรถฝั่งตลาดแล้วเดินข้ามมาเที่ยววัดก็ได้
นอกจากนี้ยังสามารถจ้างเรือพาล่องแม่น้ำสะแกกรังชมวิถีชีวิตชาวแพได้ แต่ป้าๆ ไม่ได้ไป
วัดโบสถ์เป็นวัดคู่เมืองอุทัยธานีมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
และเป็นสถานที่รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)
เมื่อครั้งเสด็จประพาสต้นครั้งที่ 2 พ.ศ. 2449
ถ้าไปอ่านประวัติของจังหวัดอุทัยธานีจะพบว่า เป็นชุมชนชาวแพ ริมแม่น้ำสะแกกรัง
ตั้งแต่ปี พ.ศ.2541 ทางราชการได้ให้ย้ายแพออกจากริมแม่น้ำ เพราะกีดขวางทางเดินของน้ำ และทำให้น้ำสกปรก เหลือเพียงแพที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองอยู่ไม่กี่แพเท่านั้น และแพเหล่านั้นก็อยู่ด้านหน้าวัดอุโปสถนี้เอง
แพที่ยังหลงเหลือหน้าวัดอุโปสถาราม
ชุมชนแพหน้าวัดโบสถ์ เกิดจากหมู่บ้านต่างๆ ในเมืองอุทัย ไม่มีแม่น้ำผ่าน ชาวบ้านก็เลยขนข้าวใส่เกวียนมาที่แม่น้ำสะแกกรัง
ตั้งยุ้งฉาง เป็นชุมชนค้าขายเรือนแพ ที่นี่มีต้นสะแกอยู่ เลยเรียกว่า “บ้านสะแกกรัง”
กลับมาเรื่องวัด ภายในอุโบสถ นอกจากพระพุทธรูปที่เป็นองค์ประธานแล้ว ยังมีจิตรกรรมฝาผนังที่เขียนขึ้นตั้งแต่ตอนปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3)
มีเจดีย์สามสมัย ด้านหลังวิหาร เป็นเจดีย์รูปแบบต่างกันทั้งสามองค์
มีมณฑปแปดเหลี่ยม เป็นรูปแบบผสมวัฒนธรรมตะวันตก
นอกจากนี้ยังมีโบราณสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์อีกหลายแห่ง
ด้านหน้าโบสถ์มีร้านขายของที่ระลึก ที่มีผู้ขายเป็นคนเก่าคนแก่ของย่านนั้น และเล่าประวัติ รวมถึงอธิบายสิ่งต่างๆ ในวัดให้ป้าๆ ฟังอีกด้วย
.
ตอนแรกป้าๆ ว่าจะเดินข้ามไปตลาดเทศบาล แต่แดดยังร้อน เลยไปเที่ยวเขาสะแกกรังก่อนเดี๋ยวเย็นๆ กลับมาใหม่ สรุป ไม่ได้กลับมาจ้า เที่ยวที่อื่นเพลิน
จากวัดข้ามสะพานไปตลาดเทศบาลได้
ต่อจากวัดอุโปสถาราม มาอุทัยก็ขาดไม่ได้ต้องไปวัดเขาสะแกกรัง
.
วัดเขาสะแกกรัง หรือวัดสังกัตรัตนคีรี เป็นวันสำคัญที่ใครมาอุทัยธานีก็ต้องไป เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของประเพณี ตักบาตรเทโว ในวันออกพรรณษา โดยพระสงฆ์จำนวนมากกว่า 500 รูป จะเดินลงมาตามบันได 449 ขั้นของวัด เพื่อรับบิณฑบาต ตามพุทธประวัติที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ภายหลังจากการเทศนาโปรดพระมารดา ในวันออกพรรษา
ภาพวาดประเพณีตักบาตรเทโว จากพิพิธภัณฑ์วัดเขาสะแกกรัง
ทางขึ้นวัดสมัยโบราณ และปัจจุบัน
บันไดของวัดมี 449 ขั้น มีนาคตัวยาวตั้งแต่ข้างบนลงมาถึงข้างล่าง
ป้าๆ ก็ทำฟอร์มเหมือนจะเดินขึ้นบันได 449 ขั้น ไปไหว้พระข้างบน แต่...ขึ้นไปแค่ 10 ขั้นแหละ
ก็รถขึ้นได้นี่นา ก็เอารถขึ้นไปสิ
ทางขึ้นของรถ อยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขา ข้างๆ สนามกีฬากลางของจังหวัด
ขับรถไปทางสนามกีฬา มีป้ายบอกค่ะ ไม่ต้องกลัว
ตอนนี้กำลังขยายถนน ทำที่จอดรถเพิ่ม และดูเหมือนจะกำลังทำ Sky walk อยู่
ข้างบนจะเห็นวิวจังหวัดอุทัยธานี และแม่น้ำสะแกกรังอยู่ทางฝั่งตะวันออกของวัด
วิวตัวจังหวัด มองจากบนเขาสะแกกรัง
ตรงกลางภาพคือแม่น้ำสะแกกรัง
ถนนสายหลักเข้าเมืองอุทัยธานี
นอกจากนี้มีพิพิธภัณฑ์วัดเขาสะแกกรัง ซึ่งแสดงประวัติของจังหวัดเมืองอุทัยธานีมีพระพุทธรูปปางต่างๆ และภาพเก่าๆ ของเมืองอุทัยธานี ที่ป้าเอามาเทียบทางขึ้นวัดเขาสะแกกรังนั่นแหละ
.
นอกจากนี้บนเขายังมีพระรูปของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก หรือเจ้าพระยาจักรี หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก
.
อีกแหล่งท่องเที่ยวที่ป้าๆ ไปอ่านเจอ
ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เพิ่งเริ่มโปรโมทของอุทัยธานีคือ “หมุดโลก” ที่ได้ชื่อว่าเป็น “หมุดแห่งที่ 2 ของเอเชีย”
หมุดโลก ชื่อเป็นทางการว่า “หมุดศูนย์กำเนิดพื้นฐาน” สร้างขึ้นเพื่อคำนวณและแบ่งเขตในการลงพิกัดโลก (ซึ่งป้าก็ไม่เข้าใจ น่าจะประมาณการทำแผนที่)
หมุดนี้มีค่าพิกัดทางภูมิศาสตร์ที่ ละติจูด 15 องศา 22 ลิปดา 56.0487 ฟิลิปดาเหนือ ลองติจูด 100 องศา 0 ลิปดา 59.1906 ฟิลิปดาตะวันออก สูง 140.98 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง รูปทรงตัวยูคว่ำ คร่อมจุดตั้งหมุดแผนที่ ในเอเชียมี 3 หมุดคือ หมุดที่ 90 อยู่ประเทศอินเดีย หมุดที่ 91 อยู่ที่อุทัยธานีนี่แหละ และหมุดที่ 92 อยู่ในประเทศเวียดนาม เทศบาลเมืองอุทัยธานีได้เริ่มไปซ่อมแซมและปรับภูมิทัศน์เพื่อโปรโมทเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เมื่อปี 2560 แต่วันนี้ (มกราคม 2568) ก็ยังไม่เสร็จนะ
ระยะทางเดินไปจากพลับพลาอนุสาวรีย์ฯ ประมาณ 400 เมตร เดินได้แบบลำบากนิดนึงพอเหนื่อย
แนะนำให้ใส่รองเท้าผ้าใบ บุกป่าประมาณ 300 เมตร 100 เมตรสุดท้ายเป็นทางปูน ยังสร้างไม่เสร็จ
และกำลังสร้างทางเดินวนรอบหมุดโลก เพราะบริเวณนี้วิวสวยเลยแหละ
ตอนป้าไป ทางเดินวนยังไม่เสร็จ เดินต่อไปไม่ได้ และที่เพื่อนลงไปถ่ายกับหมุดโลกนั่นก็ปีนบันไดลิงลงไป
ทางเดินช่วงแรก ก็จะลำบากหน่อย ไม่ไกล เดินพอเหนื่อย
ช่วง 100 เมตรสุดท้าย เป็นทางปูนที่ยังสร้างไม่เสร็จ
ผิดคาดนึดนึง ดูจากเว็บ ป้าๆ คิดว่ามันจะใหญ่โต จริงๆ แล้ว นิดเดียว เตี้ยกว่าความสูงของคนคนหนึ่งอีก สูงแค่ 140 ซ.ม.เอง
มองย้อนกลับไปทางวัดเขาสะแกกรัง สวยเชียว
จากหมุดโลก ป้าๆ ไปต่อกันที่ถนนคนเดินตรอกโรงยา ที่อยู่ในส่วนของเมืองเก่า สองข้างทางเป์นบ้านไม้โบราณ
ที่นี่มีถนนคนเดินเฉพาะวันเสาร์ 16.00 - 20.00 น. ปิดค่อนข้างเร็ว ใกล้ๆ 2 ทุ่มเก็บกันเยอะแล้ว
บริเวณนี้เคยเป็นโรงยาฝิ่น ในสมัยที่ฝิ่นถูกกฎหมาย เนื่องจากชาวจีนในสมัยนั้นอาศัยโรงยาฝิ่นเป็นที่พักผ่อน ต่อมารัฐบาลกำหนดให้ฝิ่นเป็ยาเสพติด โรงยาฝิ่นจึงถูกปิดไป
บนถนน มีสินค้ามาขาย ทั้งอาหาร ขนม งานฝีมือ เสื้อผ้า ฯลฯ มีพิพิธภัณฑ์ “โรงยาฝิ่น” ซึ่งมีน้องๆ จากโรงเรียนในตัวเมืองอุทัยธานี ผลัดกันมาเป็นมัคคุเทศก์น้อย เล่าเรื่องตรอกโรงยา ก็เลยรู้ว่าจริงๆ แล้วโรงยาฝิ่นไม่ได้อยู่ตรงนี้หรอก แต่เค้ามาอาศัยบ้านโบราณสร้างโรงยาฝิ่นจำลอง และแสดงสภาพบ้านเรือนของคนในชุมชนสะแกกรัง
ถนนคนเดินตรอกโรงยา
โรงยาฝิ่นและวิถีชีวิตชุมชนบ้านสะแกกรัง และน้องมัคคุเทศก์
หิวแล้วก็เดินหาร้านอาหาร ร้านใกล้ๆ ตรอกโรงยาคนแน่นมาก ต้องเดินไปหาไกลๆ
จากนั้นเข้าที่พัก วันนี้ป้าๆ พักที่ Farm View Resort อุทัยธานี
เป็นรีสอร์ทเล็กๆ กลางทุ่งนา ที่วันที่ป้าไป เก็บเกี่ยวไปเรียบร้อยแล้ว รีสอร์ทน่ารัก เจ้าของเป็นข้าราชการเกษียณอายุดูแลเอง โดยมีลูกทำการตลาดบนสื่อสังคมออนไลน์ให้ ภาพที่ถ่ายเป็นภาพตอนเช้า เพราะป้าๆ เข้าไปถึงน่ะมืดแล้ว
วิวตอนเช้าหน้าที่พัก ถึงจะเกี่ยวข้าวแล้ว แต่ก็สวยนะ
เจ้าของใส่ใจผู้เข้าพักดีมาก โทรถามว่าเราจะเข้ามากี่โมง จะเปิดแอร์ไว้ให้
การจัดห้องและอุปกรณ์ภายในห้องแสดงให้เห็นว่าเจ้าของใส่ใจทุกรายละเอียด เพื่อให้คนเข้าพักรู้สึกเหมือนบ้าน ทีวี ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น อุปกรณ์ในห้องน้ำ มีที่วางของที่สามารถวางกระเป๋าเดินทาง และข้าวของของป้าๆ ได้ (บางรีสอร์ทที่ป้าๆ ไป แทบไม่มีที่ให้วางของเลย) ในห้องน้ำมีที่วางของแขวนเสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดเท้า ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเขียนหนังสือ อีกอย่างที่ประทับใจคือ อาหารเช้าอลังการมาก สั่งข้าวต้มหมูคนละชาม ได้ข้าวต้มหมูชามใหญ่มากชนิดชามเดียวน่าจะกินได้ 2-3 คน
วันนี้ ป้าๆ ก็สิ้นสุดการเดินทางด้วยความเหนื่อย เพราะเดินเยอะ
ติดตามการเดินทางของป้าๆ ในวันต่อไปได้นะ
หรือติดตามสาระท่องเที่ยวอื่นๆ ได้ในเพจ "หลากหลาย by Artima"
https://www.facebook.com/profile.php?id=100064724916964
[CR] อุทัยธานี....มีดีกว่าที่คิด EP1
ทริปนี้ป้าๆ 6 คน ไปเที่ยวอุทัยธานี 4 วัน 3 คืน
โห...
อุทัยธานี ไปได้ไงตั้ง 4 วัน
ป้าบอกเลยว่ายังเที่ยวไม่ทั่วเลย
บอกเลย....อุทัยธานีน่ะ เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ ยาวนานกว่า 3,000 ปี เลยนะ
และเป็นบ้านเกิดของพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกอีกด้วย
เลยมีข้อความว่า “อุทัยธานี เมืองพระชนกจักรี”
มาดูกันเลยว่าป้าๆ ไปไหนกันมาบ้าง
.
วันแรก ป้าๆ ธุระเยอะ กว่าจะออกเดินทางก็เกือบ 10 โมง
แวะทานอาหารกลางวันแถวๆ สิงห์บุรี
.
พอเข้าเมืองป้าๆ ก็เริ่มหาที่เที่ยว
เข้ามาเขตเมืองก็จะเขียวๆ ประมาณนี้
GPS พาป้าๆ มาที่ วัดอุโปสถาราม เป็นที่แรก
วัดนี้ชาวบ้านเรียกว่า “วัดโบสถ์” อยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง ฝั่งตรงข้ามตลาดเทศบาล มีสะพานเดินข้ามไปเที่ยวตลาดเทศบาลได้ หรือจะจอดรถฝั่งตลาดแล้วเดินข้ามมาเที่ยววัดก็ได้
นอกจากนี้ยังสามารถจ้างเรือพาล่องแม่น้ำสะแกกรังชมวิถีชีวิตชาวแพได้ แต่ป้าๆ ไม่ได้ไป
วัดโบสถ์เป็นวัดคู่เมืองอุทัยธานีมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
และเป็นสถานที่รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)
เมื่อครั้งเสด็จประพาสต้นครั้งที่ 2 พ.ศ. 2449
ถ้าไปอ่านประวัติของจังหวัดอุทัยธานีจะพบว่า เป็นชุมชนชาวแพ ริมแม่น้ำสะแกกรัง
ตั้งแต่ปี พ.ศ.2541 ทางราชการได้ให้ย้ายแพออกจากริมแม่น้ำ เพราะกีดขวางทางเดินของน้ำ และทำให้น้ำสกปรก เหลือเพียงแพที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองอยู่ไม่กี่แพเท่านั้น และแพเหล่านั้นก็อยู่ด้านหน้าวัดอุโปสถนี้เอง
แพที่ยังหลงเหลือหน้าวัดอุโปสถาราม
ชุมชนแพหน้าวัดโบสถ์ เกิดจากหมู่บ้านต่างๆ ในเมืองอุทัย ไม่มีแม่น้ำผ่าน ชาวบ้านก็เลยขนข้าวใส่เกวียนมาที่แม่น้ำสะแกกรัง
ตั้งยุ้งฉาง เป็นชุมชนค้าขายเรือนแพ ที่นี่มีต้นสะแกอยู่ เลยเรียกว่า “บ้านสะแกกรัง”
กลับมาเรื่องวัด ภายในอุโบสถ นอกจากพระพุทธรูปที่เป็นองค์ประธานแล้ว ยังมีจิตรกรรมฝาผนังที่เขียนขึ้นตั้งแต่ตอนปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3)
มีเจดีย์สามสมัย ด้านหลังวิหาร เป็นเจดีย์รูปแบบต่างกันทั้งสามองค์
มีมณฑปแปดเหลี่ยม เป็นรูปแบบผสมวัฒนธรรมตะวันตก
นอกจากนี้ยังมีโบราณสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์อีกหลายแห่ง
ด้านหน้าโบสถ์มีร้านขายของที่ระลึก ที่มีผู้ขายเป็นคนเก่าคนแก่ของย่านนั้น และเล่าประวัติ รวมถึงอธิบายสิ่งต่างๆ ในวัดให้ป้าๆ ฟังอีกด้วย
.
ตอนแรกป้าๆ ว่าจะเดินข้ามไปตลาดเทศบาล แต่แดดยังร้อน เลยไปเที่ยวเขาสะแกกรังก่อนเดี๋ยวเย็นๆ กลับมาใหม่ สรุป ไม่ได้กลับมาจ้า เที่ยวที่อื่นเพลิน
จากวัดข้ามสะพานไปตลาดเทศบาลได้
ต่อจากวัดอุโปสถาราม มาอุทัยก็ขาดไม่ได้ต้องไปวัดเขาสะแกกรัง
.
วัดเขาสะแกกรัง หรือวัดสังกัตรัตนคีรี เป็นวันสำคัญที่ใครมาอุทัยธานีก็ต้องไป เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของประเพณี ตักบาตรเทโว ในวันออกพรรณษา โดยพระสงฆ์จำนวนมากกว่า 500 รูป จะเดินลงมาตามบันได 449 ขั้นของวัด เพื่อรับบิณฑบาต ตามพุทธประวัติที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ภายหลังจากการเทศนาโปรดพระมารดา ในวันออกพรรษา
ภาพวาดประเพณีตักบาตรเทโว จากพิพิธภัณฑ์วัดเขาสะแกกรัง
ทางขึ้นวัดสมัยโบราณ และปัจจุบัน
บันไดของวัดมี 449 ขั้น มีนาคตัวยาวตั้งแต่ข้างบนลงมาถึงข้างล่าง
ป้าๆ ก็ทำฟอร์มเหมือนจะเดินขึ้นบันได 449 ขั้น ไปไหว้พระข้างบน แต่...ขึ้นไปแค่ 10 ขั้นแหละ
ก็รถขึ้นได้นี่นา ก็เอารถขึ้นไปสิ
ทางขึ้นของรถ อยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขา ข้างๆ สนามกีฬากลางของจังหวัด
ขับรถไปทางสนามกีฬา มีป้ายบอกค่ะ ไม่ต้องกลัว
ตอนนี้กำลังขยายถนน ทำที่จอดรถเพิ่ม และดูเหมือนจะกำลังทำ Sky walk อยู่
ข้างบนจะเห็นวิวจังหวัดอุทัยธานี และแม่น้ำสะแกกรังอยู่ทางฝั่งตะวันออกของวัด
วิวตัวจังหวัด มองจากบนเขาสะแกกรัง
ตรงกลางภาพคือแม่น้ำสะแกกรัง
ถนนสายหลักเข้าเมืองอุทัยธานี
นอกจากนี้มีพิพิธภัณฑ์วัดเขาสะแกกรัง ซึ่งแสดงประวัติของจังหวัดเมืองอุทัยธานีมีพระพุทธรูปปางต่างๆ และภาพเก่าๆ ของเมืองอุทัยธานี ที่ป้าเอามาเทียบทางขึ้นวัดเขาสะแกกรังนั่นแหละ
.
นอกจากนี้บนเขายังมีพระรูปของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก หรือเจ้าพระยาจักรี หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก
.
อีกแหล่งท่องเที่ยวที่ป้าๆ ไปอ่านเจอ
ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เพิ่งเริ่มโปรโมทของอุทัยธานีคือ “หมุดโลก” ที่ได้ชื่อว่าเป็น “หมุดแห่งที่ 2 ของเอเชีย”
หมุดโลก ชื่อเป็นทางการว่า “หมุดศูนย์กำเนิดพื้นฐาน” สร้างขึ้นเพื่อคำนวณและแบ่งเขตในการลงพิกัดโลก (ซึ่งป้าก็ไม่เข้าใจ น่าจะประมาณการทำแผนที่)
หมุดนี้มีค่าพิกัดทางภูมิศาสตร์ที่ ละติจูด 15 องศา 22 ลิปดา 56.0487 ฟิลิปดาเหนือ ลองติจูด 100 องศา 0 ลิปดา 59.1906 ฟิลิปดาตะวันออก สูง 140.98 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง รูปทรงตัวยูคว่ำ คร่อมจุดตั้งหมุดแผนที่ ในเอเชียมี 3 หมุดคือ หมุดที่ 90 อยู่ประเทศอินเดีย หมุดที่ 91 อยู่ที่อุทัยธานีนี่แหละ และหมุดที่ 92 อยู่ในประเทศเวียดนาม เทศบาลเมืองอุทัยธานีได้เริ่มไปซ่อมแซมและปรับภูมิทัศน์เพื่อโปรโมทเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เมื่อปี 2560 แต่วันนี้ (มกราคม 2568) ก็ยังไม่เสร็จนะ
ระยะทางเดินไปจากพลับพลาอนุสาวรีย์ฯ ประมาณ 400 เมตร เดินได้แบบลำบากนิดนึงพอเหนื่อย
แนะนำให้ใส่รองเท้าผ้าใบ บุกป่าประมาณ 300 เมตร 100 เมตรสุดท้ายเป็นทางปูน ยังสร้างไม่เสร็จ
และกำลังสร้างทางเดินวนรอบหมุดโลก เพราะบริเวณนี้วิวสวยเลยแหละ
ตอนป้าไป ทางเดินวนยังไม่เสร็จ เดินต่อไปไม่ได้ และที่เพื่อนลงไปถ่ายกับหมุดโลกนั่นก็ปีนบันไดลิงลงไป
ทางเดินช่วงแรก ก็จะลำบากหน่อย ไม่ไกล เดินพอเหนื่อย
ช่วง 100 เมตรสุดท้าย เป็นทางปูนที่ยังสร้างไม่เสร็จ
ผิดคาดนึดนึง ดูจากเว็บ ป้าๆ คิดว่ามันจะใหญ่โต จริงๆ แล้ว นิดเดียว เตี้ยกว่าความสูงของคนคนหนึ่งอีก สูงแค่ 140 ซ.ม.เอง
มองย้อนกลับไปทางวัดเขาสะแกกรัง สวยเชียว
จากหมุดโลก ป้าๆ ไปต่อกันที่ถนนคนเดินตรอกโรงยา ที่อยู่ในส่วนของเมืองเก่า สองข้างทางเป์นบ้านไม้โบราณ
ที่นี่มีถนนคนเดินเฉพาะวันเสาร์ 16.00 - 20.00 น. ปิดค่อนข้างเร็ว ใกล้ๆ 2 ทุ่มเก็บกันเยอะแล้ว
บริเวณนี้เคยเป็นโรงยาฝิ่น ในสมัยที่ฝิ่นถูกกฎหมาย เนื่องจากชาวจีนในสมัยนั้นอาศัยโรงยาฝิ่นเป็นที่พักผ่อน ต่อมารัฐบาลกำหนดให้ฝิ่นเป็ยาเสพติด โรงยาฝิ่นจึงถูกปิดไป
บนถนน มีสินค้ามาขาย ทั้งอาหาร ขนม งานฝีมือ เสื้อผ้า ฯลฯ มีพิพิธภัณฑ์ “โรงยาฝิ่น” ซึ่งมีน้องๆ จากโรงเรียนในตัวเมืองอุทัยธานี ผลัดกันมาเป็นมัคคุเทศก์น้อย เล่าเรื่องตรอกโรงยา ก็เลยรู้ว่าจริงๆ แล้วโรงยาฝิ่นไม่ได้อยู่ตรงนี้หรอก แต่เค้ามาอาศัยบ้านโบราณสร้างโรงยาฝิ่นจำลอง และแสดงสภาพบ้านเรือนของคนในชุมชนสะแกกรัง
ถนนคนเดินตรอกโรงยา
โรงยาฝิ่นและวิถีชีวิตชุมชนบ้านสะแกกรัง และน้องมัคคุเทศก์
หิวแล้วก็เดินหาร้านอาหาร ร้านใกล้ๆ ตรอกโรงยาคนแน่นมาก ต้องเดินไปหาไกลๆ
จากนั้นเข้าที่พัก วันนี้ป้าๆ พักที่ Farm View Resort อุทัยธานี
เป็นรีสอร์ทเล็กๆ กลางทุ่งนา ที่วันที่ป้าไป เก็บเกี่ยวไปเรียบร้อยแล้ว รีสอร์ทน่ารัก เจ้าของเป็นข้าราชการเกษียณอายุดูแลเอง โดยมีลูกทำการตลาดบนสื่อสังคมออนไลน์ให้ ภาพที่ถ่ายเป็นภาพตอนเช้า เพราะป้าๆ เข้าไปถึงน่ะมืดแล้ว
วิวตอนเช้าหน้าที่พัก ถึงจะเกี่ยวข้าวแล้ว แต่ก็สวยนะ
เจ้าของใส่ใจผู้เข้าพักดีมาก โทรถามว่าเราจะเข้ามากี่โมง จะเปิดแอร์ไว้ให้
การจัดห้องและอุปกรณ์ภายในห้องแสดงให้เห็นว่าเจ้าของใส่ใจทุกรายละเอียด เพื่อให้คนเข้าพักรู้สึกเหมือนบ้าน ทีวี ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น อุปกรณ์ในห้องน้ำ มีที่วางของที่สามารถวางกระเป๋าเดินทาง และข้าวของของป้าๆ ได้ (บางรีสอร์ทที่ป้าๆ ไป แทบไม่มีที่ให้วางของเลย) ในห้องน้ำมีที่วางของแขวนเสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดเท้า ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเขียนหนังสือ อีกอย่างที่ประทับใจคือ อาหารเช้าอลังการมาก สั่งข้าวต้มหมูคนละชาม ได้ข้าวต้มหมูชามใหญ่มากชนิดชามเดียวน่าจะกินได้ 2-3 คน
วันนี้ ป้าๆ ก็สิ้นสุดการเดินทางด้วยความเหนื่อย เพราะเดินเยอะ
ติดตามการเดินทางของป้าๆ ในวันต่อไปได้นะ
หรือติดตามสาระท่องเที่ยวอื่นๆ ได้ในเพจ "หลากหลาย by Artima"
https://www.facebook.com/profile.php?id=100064724916964
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้