ทำไม เวียดนาม ผลิตกาแฟได้มากสุด อันดับ 2 ของโลก
หากเราลองนำประเทศที่ผลิตกาแฟมากสุด 5 อันดับแรกของโลกมาเรียงกัน ข้อมูลที่ได้คือ
อันดับ 1 บราซิล ผลิตได้ 2,592,000 ตันต่อปี
อันดับ 2 เวียดนาม ผลิตได้ 1,650,000 ตันต่อปี
อันดับ 3 โคลอมเบีย ผลิตได้ 810,000 ตันต่อปี
อันดับ 4 อินโดนีเซีย ผลิตได้ 660,000 ตันต่อปี
อันดับ 5 เอธิโอเปีย ผลิตได้ 384,000 ตันต่อปี
https://www.facebook.com/share/p/15tAAcW7Vj/
แต่ถ้าเราแบ่งย่อยตามสายพันธ์ุของกาแฟ ซึ่งหลัก ๆ แล้วคือ อะราบิกา กับ โรบัสตา
ประเทศที่ผลิต อะราบิกา ได้เป็นอันดับ 1 คือ บราซิล
ประเทศที่ผลิต โรบัสตา ได้เป็นอันดับ 1 คือ เวียดนาม
ทั้ง ๆ ที่เวียดนามไม่ใช่ประเทศที่ใหญ่มาก มีพื้นที่ทั้งหมดเพียง 331,000 ตารางกิโลเมตร
คิดเป็นเพียง 2 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมดในไทย แถมเล็กกว่าบราซิลมากถึง 25 เท่า
แต่ทำไม เวียดนาม สามารถผลิตกาแฟได้มากเป็นอันดับ 2 ของโลกได้ ?
ถ้าถามว่าประเทศที่เป็น “ที่สุดของกาแฟ” คือประเทศอะไร
ในเชิงปริมาณการผลิต คงหนีไม่พ้นบราซิล ในเรื่องของคุณภาพ ก็ต้องยกให้เอธิโอเปีย ประเทศต้นกำเนิดของกาแฟ
ซึ่งถ้าเราลองเปิดแผนที่โลก แล้วลากเส้นขวางผ่านพื้นที่บริเวณที่ 2 ประเทศนี้อยู่
ก็จะสังเกตเห็นว่า ประเทศผู้ผลิตกาแฟอันดับต้น ๆ อย่าง บราซิล, โคลอมเบีย, เอธิโอเปีย รวมไปถึงเวียดนาม ก็อยู่ในโซนนี้เช่นเดียวกัน
โดยพื้นที่บริเวณนี้ เราจะเรียกว่า Coffee Belt ซึ่งเป็นพื้นที่บริเวณเส้นศูนย์สูตร ที่ลากผ่าน 5 ทวีป ตั้งแต่ อเมริกากลาง, อเมริกาใต้, แอฟริกา มาจนถึงเอเชียและโอเชียเนีย
โดยพื้นที่ที่อยู่ใน Coffee Belt นี้ จะมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับการปลูกกาแฟ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอุณหภูมิ ความชื้น รวมไปถึงดินที่เหมาะกับการปลูกกาแฟ
ซึ่งรายละเอียดลึก ๆ ของกาแฟแต่ละสายพันธุ์ ก็จะต่างกันไปอีกทีหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น สายพันธุ์อะราบิกา จะต้องปลูกในที่ที่อุณหภูมิสูงกว่าโรบัสตา
แน่นอนว่าเมื่อเวียดนาม เป็นหนึ่งในประเทศที่อยู่ใน Coffee Belt จึงทำให้มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การปลูกกาแฟ
โดยเวียดนามรู้จักกับกาแฟมาตั้งแต่ปี 1857 หรือเมื่อ 168 ปีก่อน ผ่านบาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่เดินทางเข้ามา ในตอนนั้น
ตอนแรก กาแฟที่นำเข้ามาปลูกในเวียดนามคือ สายพันธ์ุอะราบิกา
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่สายพันธ์ุโรบัสตาสามารถปลูก และดูแลง่ายกว่า อย่างเช่น สายพันธุ์โรบัสตา จะมีความทนทานกับศัตรูพืช และโรคต่าง ๆ ที่มากกว่า
ทำให้เกษตรกรในเวียดนาม ค่อย ๆ หันมาปลูกกาแฟโรบัสตาแทน
อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ ประเทศเวียดนามก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตกาแฟอันดับ 2 ของโลก คือ นโยบายส่งเสริมจากภาครัฐ
เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี 1986 ในตอนนั้นเวียดนามได้ปฏิรูปเศรษฐกิจ จากระบบสังคมนิยม หรือการที่รัฐเป็นผู้ผูกขาดการค้า มาเป็นระบบทุนนิยม ผ่านนโยบายเศรษฐกิจที่ชื่อ “โด่ย เหมย” (Doi Moi)
โดยหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ภาครัฐให้การสนับสนุนในตอนนั้นคือ ภาคการเกษตร
จุดนี้เองทำให้อุตสาหกรรมการเกษตร ซึ่งรวมถึงผลผลิตอย่างกาแฟ ขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งการบริโภคภายในประเทศเอง และการส่งออกผลผลิตไปยังต่างประเทศ
จนในปัจจุบัน เวียดนามได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตกาแฟ มากสุดอันดับ 2 ของโลก
โดยประมาณ 95% ของปริมาณที่ผลิตได้ทั้งหมด เป็นสายพันธุ์โรบัสตา และอีก 5% คืออะราบิกา
แล้วเวียดนาม ส่งออกกาแฟมากแค่ไหน ?
มูลค่าการส่งออกกาแฟในปี 2022 อยู่ที่ 117,000 ล้านบาท
โดย 3 ประเทศที่เวียดนามส่งออกกาแฟไปมากที่สุด คือ
- เยอรมนี มูลค่าการส่งออก 16,700 ล้านบาท
- อิตาลี มูลค่าการส่งออก 12,000 ล้านบาท
- สหรัฐอเมริกา มูลค่าการส่งออก 10,700 ล้านบาท
แล้วหน้าตาของตลาดกาแฟในประเทศเวียดนาม เป็นอย่างไร ?
ต้องบอกว่าความจริงแล้ว ตลาดกาแฟมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดเลยทีเดียว และถือเป็นอีกตลาดปราบเซียนมาก ๆ ขนาดที่ว่า เชนร้านกาแฟอันดับ 1 ของโลกอย่าง Starbucks ยังไม่สามารถเจาะตลาดได้สำเร็จ แม้จะเริ่มเข้ามาทำธุรกิจได้ 10 ปีแล้ว
โดยเชนร้านกาแฟที่เป็นผู้นำในเวียดนามตอนนี้ เรียงตามจำนวนสาขา มีทั้งหมด 2 เชนด้วยกัน
- Highlands จากฟิลิปปินส์ จำนวนสาขา 721 สาขา
- Trung Nguyen ของเวียดนาม จำนวนสาขา 542 สาขา
ส่วน Starbucks มีจำนวนสาขาอยู่เพียง 87 สาขาเท่านั้น
ซึ่งปัจจุบัน บรรดาเชนร้านกาแฟในเวียดนาม มีจำนวนร้านรวมกันทั้งหมด 1,925 สาขาด้วยกัน
แต่ถ้ารวมร้านเล็ก ๆ ร้าน Local ที่ไม่ใช่เชนใหญ่เข้าไปด้วย จะมีทั้งหมด 500,000 ร้านกันเลยทีเดียว..
ซึ่งถ้าเรานำรายได้ของร้านกาแฟทั้งหมดนี้ มารวมกัน จะคิดเป็นรายได้กว่า 50,000 ล้านบาท
สรุปแล้ว อุตสาหกรรมกาแฟของเวียดนามนั้น มีมูลค่ามหาศาล ทั้งในมุมของการปลูกแล้วส่งออกไปต่างประเทศ หรือแม้แต่ธุรกิจร้านกาแฟภายในประเทศ
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวล แม้การแข่งขันจะดุเดือด
แต่ด้วยการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเวียดนาม ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
รวมถึงความต้องการบริโภคกาแฟจากคนทั้งโลก ที่กำลังเพิ่มมากขึ้น
กาแฟ ก็คงเป็นอีกสินค้าหนึ่งที่มีความสำคัญต่อเวียดนามไปอีกนาน..
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า นอกจากกาแฟแล้ว “ชา” ก็เป็นอีกหนึ่งอย่าง ที่เวียดนามผลิตได้เป็นอันดับต้น ๆ ของโลกด้วย
โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2024 ที่ผ่านมา
เวียดนาม ผลิตชาได้มากถึง 117,000 ตัน มากสุดเป็นอันดับ 7 ของโลกเลยทีเดียว..
https://www.facebook.com/share/p/15tAAcW7Vj/
ทำไม เวียดนาม ผลิตกาแฟได้มากสุด อันดับ 2 ของโลก
หากเราลองนำประเทศที่ผลิตกาแฟมากสุด 5 อันดับแรกของโลกมาเรียงกัน ข้อมูลที่ได้คือ
อันดับ 1 บราซิล ผลิตได้ 2,592,000 ตันต่อปี
อันดับ 2 เวียดนาม ผลิตได้ 1,650,000 ตันต่อปี
อันดับ 3 โคลอมเบีย ผลิตได้ 810,000 ตันต่อปี
อันดับ 4 อินโดนีเซีย ผลิตได้ 660,000 ตันต่อปี
อันดับ 5 เอธิโอเปีย ผลิตได้ 384,000 ตันต่อปี
https://www.facebook.com/share/p/15tAAcW7Vj/
แต่ถ้าเราแบ่งย่อยตามสายพันธ์ุของกาแฟ ซึ่งหลัก ๆ แล้วคือ อะราบิกา กับ โรบัสตา
ประเทศที่ผลิต อะราบิกา ได้เป็นอันดับ 1 คือ บราซิล
ประเทศที่ผลิต โรบัสตา ได้เป็นอันดับ 1 คือ เวียดนาม
ทั้ง ๆ ที่เวียดนามไม่ใช่ประเทศที่ใหญ่มาก มีพื้นที่ทั้งหมดเพียง 331,000 ตารางกิโลเมตร
คิดเป็นเพียง 2 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมดในไทย แถมเล็กกว่าบราซิลมากถึง 25 เท่า
แต่ทำไม เวียดนาม สามารถผลิตกาแฟได้มากเป็นอันดับ 2 ของโลกได้ ?
ถ้าถามว่าประเทศที่เป็น “ที่สุดของกาแฟ” คือประเทศอะไร
ในเชิงปริมาณการผลิต คงหนีไม่พ้นบราซิล ในเรื่องของคุณภาพ ก็ต้องยกให้เอธิโอเปีย ประเทศต้นกำเนิดของกาแฟ
ซึ่งถ้าเราลองเปิดแผนที่โลก แล้วลากเส้นขวางผ่านพื้นที่บริเวณที่ 2 ประเทศนี้อยู่
ก็จะสังเกตเห็นว่า ประเทศผู้ผลิตกาแฟอันดับต้น ๆ อย่าง บราซิล, โคลอมเบีย, เอธิโอเปีย รวมไปถึงเวียดนาม ก็อยู่ในโซนนี้เช่นเดียวกัน
โดยพื้นที่บริเวณนี้ เราจะเรียกว่า Coffee Belt ซึ่งเป็นพื้นที่บริเวณเส้นศูนย์สูตร ที่ลากผ่าน 5 ทวีป ตั้งแต่ อเมริกากลาง, อเมริกาใต้, แอฟริกา มาจนถึงเอเชียและโอเชียเนีย
โดยพื้นที่ที่อยู่ใน Coffee Belt นี้ จะมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับการปลูกกาแฟ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอุณหภูมิ ความชื้น รวมไปถึงดินที่เหมาะกับการปลูกกาแฟ
ซึ่งรายละเอียดลึก ๆ ของกาแฟแต่ละสายพันธุ์ ก็จะต่างกันไปอีกทีหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น สายพันธุ์อะราบิกา จะต้องปลูกในที่ที่อุณหภูมิสูงกว่าโรบัสตา
แน่นอนว่าเมื่อเวียดนาม เป็นหนึ่งในประเทศที่อยู่ใน Coffee Belt จึงทำให้มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การปลูกกาแฟ
โดยเวียดนามรู้จักกับกาแฟมาตั้งแต่ปี 1857 หรือเมื่อ 168 ปีก่อน ผ่านบาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่เดินทางเข้ามา ในตอนนั้น
ตอนแรก กาแฟที่นำเข้ามาปลูกในเวียดนามคือ สายพันธ์ุอะราบิกา
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่สายพันธ์ุโรบัสตาสามารถปลูก และดูแลง่ายกว่า อย่างเช่น สายพันธุ์โรบัสตา จะมีความทนทานกับศัตรูพืช และโรคต่าง ๆ ที่มากกว่า
ทำให้เกษตรกรในเวียดนาม ค่อย ๆ หันมาปลูกกาแฟโรบัสตาแทน
อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ ประเทศเวียดนามก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตกาแฟอันดับ 2 ของโลก คือ นโยบายส่งเสริมจากภาครัฐ
เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี 1986 ในตอนนั้นเวียดนามได้ปฏิรูปเศรษฐกิจ จากระบบสังคมนิยม หรือการที่รัฐเป็นผู้ผูกขาดการค้า มาเป็นระบบทุนนิยม ผ่านนโยบายเศรษฐกิจที่ชื่อ “โด่ย เหมย” (Doi Moi)
โดยหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ภาครัฐให้การสนับสนุนในตอนนั้นคือ ภาคการเกษตร
จุดนี้เองทำให้อุตสาหกรรมการเกษตร ซึ่งรวมถึงผลผลิตอย่างกาแฟ ขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งการบริโภคภายในประเทศเอง และการส่งออกผลผลิตไปยังต่างประเทศ
จนในปัจจุบัน เวียดนามได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตกาแฟ มากสุดอันดับ 2 ของโลก
โดยประมาณ 95% ของปริมาณที่ผลิตได้ทั้งหมด เป็นสายพันธุ์โรบัสตา และอีก 5% คืออะราบิกา
แล้วเวียดนาม ส่งออกกาแฟมากแค่ไหน ?
มูลค่าการส่งออกกาแฟในปี 2022 อยู่ที่ 117,000 ล้านบาท
โดย 3 ประเทศที่เวียดนามส่งออกกาแฟไปมากที่สุด คือ
- เยอรมนี มูลค่าการส่งออก 16,700 ล้านบาท
- อิตาลี มูลค่าการส่งออก 12,000 ล้านบาท
- สหรัฐอเมริกา มูลค่าการส่งออก 10,700 ล้านบาท
แล้วหน้าตาของตลาดกาแฟในประเทศเวียดนาม เป็นอย่างไร ?
ต้องบอกว่าความจริงแล้ว ตลาดกาแฟมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดเลยทีเดียว และถือเป็นอีกตลาดปราบเซียนมาก ๆ ขนาดที่ว่า เชนร้านกาแฟอันดับ 1 ของโลกอย่าง Starbucks ยังไม่สามารถเจาะตลาดได้สำเร็จ แม้จะเริ่มเข้ามาทำธุรกิจได้ 10 ปีแล้ว
โดยเชนร้านกาแฟที่เป็นผู้นำในเวียดนามตอนนี้ เรียงตามจำนวนสาขา มีทั้งหมด 2 เชนด้วยกัน
- Highlands จากฟิลิปปินส์ จำนวนสาขา 721 สาขา
- Trung Nguyen ของเวียดนาม จำนวนสาขา 542 สาขา
ส่วน Starbucks มีจำนวนสาขาอยู่เพียง 87 สาขาเท่านั้น
ซึ่งปัจจุบัน บรรดาเชนร้านกาแฟในเวียดนาม มีจำนวนร้านรวมกันทั้งหมด 1,925 สาขาด้วยกัน
แต่ถ้ารวมร้านเล็ก ๆ ร้าน Local ที่ไม่ใช่เชนใหญ่เข้าไปด้วย จะมีทั้งหมด 500,000 ร้านกันเลยทีเดียว..
ซึ่งถ้าเรานำรายได้ของร้านกาแฟทั้งหมดนี้ มารวมกัน จะคิดเป็นรายได้กว่า 50,000 ล้านบาท
สรุปแล้ว อุตสาหกรรมกาแฟของเวียดนามนั้น มีมูลค่ามหาศาล ทั้งในมุมของการปลูกแล้วส่งออกไปต่างประเทศ หรือแม้แต่ธุรกิจร้านกาแฟภายในประเทศ
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวล แม้การแข่งขันจะดุเดือด
แต่ด้วยการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเวียดนาม ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
รวมถึงความต้องการบริโภคกาแฟจากคนทั้งโลก ที่กำลังเพิ่มมากขึ้น
กาแฟ ก็คงเป็นอีกสินค้าหนึ่งที่มีความสำคัญต่อเวียดนามไปอีกนาน..
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า นอกจากกาแฟแล้ว “ชา” ก็เป็นอีกหนึ่งอย่าง ที่เวียดนามผลิตได้เป็นอันดับต้น ๆ ของโลกด้วย
โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2024 ที่ผ่านมา
เวียดนาม ผลิตชาได้มากถึง 117,000 ตัน มากสุดเป็นอันดับ 7 ของโลกเลยทีเดียว..
https://www.facebook.com/share/p/15tAAcW7Vj/