เรื่องนี้อาจจะยาวนิดนึงนะคะ ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี หากใครมีคำแนะนำ ที่ตรงไลฟ์สไตล์ชีวิต ความเหมาะสมในชีวิตของเราขอน้อมรับไว้นะคะ
แต่หากความคิดเห็นใด ไม่ตรงกับการใช้ชีวิตของเราหากมีข้อโต้แย้งกรุณาอย่าเพิ่งมองด้านลบว่าไม่ฟังความเห็นนะคะ รับไปพิจารณาค่ะ
เรื่องมีอยู่ว่า พี่ชายอ้างว่าทำห้องๆ นึงติดกับตัวบ้านใหญ่ที่มีอยู่แล้ว ซึ่งพี่ชายเป็นนายทุน พ่อเป็นช่าง ห้องนี้บอกว่าไว้นานแล้วให้เรามาอยู่
แต่ปลูกคาทิ้งไว้ มีแต่โครงสร้างปูน และหลังคาเปล่าๆนอกนั้นต้องทำอะไรอีกเยอะมาก (กะจะให้เราทำเอง)
แต่ดูท่าทางของพี่ชายในตอนนี้ เหมือนจะไม่กล้าถามเราแล้ว เพราะเคยพูดกับเราแล้วเราเฉยๆ และเขาคงทำให้เสร็จแต่คงอีกหลายปี
เพราะพี่ชายมีพาระที่ต้องรับผิดชอบ ในที่ดินอีกแปลง ที่ให้แม่ทำสวนและต่อเติมก่อสร้างอะไรไปเรื่อยๆ เลยต้องหยุดพักส่วนนี้ไปลงทุนในส่วนตรงนั้น
เราเลยเห็นใจพี่ชายอยากสานฝันเขาต่อให้เสร็จ+ใจอ่อนคิดว่าอยากทำก็น่าสนุกดี โดนพี่สาวบิ้วอารมณ์มาเยอะว่าข้อดีของการมาอยู่ตจว.เป็นยังไง(ซึ่งเรารู้
อยู่แล้ว)ก็พูดเรื่องอื่นๆตามประสาพี่น้องคุยกันว่าข้อดีคืออะไร แต่อันนี้ไม่ใช่ประเด็นเท่าไรยังไงก็อยู่ที่ในเราล้วนๆ
เราเลยลองเราตั้งงบประมาณเล่นๆไว้ จะไม่เกิน1 แสนบาท ช่างก็มีแล้วคือพ่อ ไม่ได้คาดหวังจะไปอยู่ถาวร ไปอยู่เฉพาะ เวลาไปนอนพัก ตอนไปเยี่ยมครอบครัวช่วงเทศกาล เพราะปกติทุกครั้งที่ไป เราไปเช่า รร. นอน คืนละประมาณ600-800 และทำให้ไม่อยากอยู่นาน เพราะ กังวลเรื่อง คชจ.
พี่ๆ ก็บอกก็มาทำอยู่สิ จะได้ไม่ต้องเช่ารร.อยู่ ในตอนนั้น พี่สาวจะเชียร์สุดๆให้ทำ สิทำเลย บอกตลอด (แต่อีกใจนึงที่เรารู้มาตลอดไปเช่ารร.อยู่ไม่แพงเท่านี้)
ฟังเหมือนจะไม่มีอะไรใช่มั้ยคะ ต้องขอย้อนกลับไปประมาณ 7 ปีก่อน ตอนที่พี่ชายเป็นนายทุน สร้างบ้านสำหรับ1ครอบครัว หลังค่อนข้างใหญ่พอประมาณ สำหรับอยู่ ประมาณ7คน 3ห้องนอน2ห้องน้ำ เน้นไปที่ห้องโถง/ห้องส่วนกลาง พี่ชายแสนดีมากๆ เป็นคนใจดีต่อครอบครัว
เขาสร้างบ้านให้แม่ พี่สาวและตัวเองอยู่ทุกคนมีห้องตัวเอง+นอนคู่กันกับคนใกล้ชิด แต่ไม่มีห้องส่วนตัวของเรา แต่มาขอเงิน5 แสนจากเราช่วยลงขันเรื่องบ้าน ทำไปแล้วส่วนนึงเป็นรูปเป็นร่าง เราถามไปว่าประมาณว่า แล้วเงิน5แสน กับห้องเราก็ไม่มี ไม่ได้ทำห้องเผื่อเรา
ให้ไม่ได้เพราะไม่ได้มาอยู่ที่นี่ด้วยด้วย อยู่กทม. เป็นหลัก จากนั้นทำให้เราพี่ชายไม่ได้คุยกันนานถึง7ปี เพราะเรื่องนี้
เราเสียใจหนักมาก ที่เขาไม่ได้คิดถึงเรา เราไม่เคยว่าเลย อาจจะแค่น้อยใจเล็กน้อย แต่ไม่เคยพูดเลย ไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย
แต่ เจ็บที่มาขอเงินเรา5แสน และเราเข้าใจความรู้สึกพี่ชาย ว่าเขาอ่อนไหว และเหนื่อยกับการลงทุนทำบ้านเขาลงเงินคนเดียว ส่วนแรง พ่อเป็นช่างเขาทำให้ช่วยลดต้นทุนเยอะมาก แต่เราไม่สามารถให้ได้จริงๆ เพราะเราก็ไม่ได้อะไรเลย และลำบากใจยังไงก็ไม่รู้ ไม่ให้ก็ดูเหมือนเราเห็นแก่ตัว ไม่ช่วยที่บ้าน
แต่ถ้าให้ก็ตะงิดใจแปลกๆ เพราะตลอด25ปีครอบครัวไม่เคยดีกับเราเลย
พอเขาสร้างบ้านเสร็จเรียบร้อย ก็มักชวนเรากลับบ้านบอกว่า มานอนบ้านสิ ไปเช่ารร. ทำไม (เรางงหนักมาก จะให้เราไปนอนที่ไหนไม่มีห้อง)
และเราเป็นผู้หญิงด้วยและไปกับแฟนด้วยยิ่งไม่สะดวก แต่ทุกคนก็พูดถึงเรื่องนี้บ่อยจนเราถามกลับแล้วจะให้ไปนอนที่ไหน ทุกคนก็เงียบเพราะไม่รู้จะตอบยังไง
เรื่องนี้ผ่านไปนะคะ และเคยตัดขาดจากครอบครัว ไป3ปี ส่งแต่พัสดุกล่องใหญ่ไปให้แทบทุกเดือนตลอด10 กว่าปี พอเราเกิดอาการใจอ่อนเรากลับมาคุยกับครอบคร้วเรารู้สึก เหมือนอยู่ในความฝัน ที่ทุกคนทำกับเรา เหมือนทำดีด้วย แต่เราเสียวหลังตลอด ว่าอะไรที่มันดี มันจะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอ ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ ไม่ใช่เราเป็นคนที่ชอบของฟรี นะคะ แต่บางครั้งเราอยากคู่ควรกับการถูกรักถูกใส่ใจบ้างเหมือนกับที่ผ่านมาเราก็เคยดูแลครอบครัว
จนถึงที่เราเล่าไปข้างต้น ขอต่อเลยนะคะเนื่องจาก คนในครอบครัวรวมทั้งพี่ชาย บอกให้เราทำสิ ทำตรงนี้ พี่ชายซื้อที่ทำไว้ให้เรา
ลืมเล่าค่ะ จากในตอนหลังที่เราไม่คุยกับพี่ชายมา7ปี พี่ชายรู้ว่าเราน่าจะไม่พอใจเรื่องที่มาขอเงินลงขันเรา5แสน
เขาเลย บอกผ่านครอบครัวให้มาบอกเราว่าก็ไปซื้อที่ทำบ้านเองสิ ตรงนี้ข้างๆ กัน เราก็ไม่เอา เราเงียบ
หลายปีต่อมาพี่ชาย ซื้อที่ต่อจากญาติ แล้ว เหมือนพูดต่อว่า เนี่ยซื้อที่ไว้แล้วมาทำอยู่สิ แต่เรายังเงียบ บอกไม่ได้ทำหรอกไม่ได้ไปอยู่
ต่อมาอีกเป็นปีๆ ต่อมาพี่ชายสร้างบ้านเป็นโครงขึ้นมา และ เราจำไม่ได้ว่าก่อนหน้าพี่ได้บอกเราไปทำไหม
แต่พี่สาวพูดบอกตลอดให้เราไปทำต่อ ล่าสุดวันนี้เราเลย บอกว่าขอถามพี่ชายก่อนให้แน่ใจก่อน ว่าสร้างตรงนี้ขึ้นมา อยากยกให้เราและให้เราไปทำต่อจริงไหมเพื่อความแน่ใจเราไม่อยากล้ำเส้นใครโดยที่ไม่ถามเจ้าตัวก่อน
คุยเสร็จสรุปใจความได้ว่า พี่ชายเหมือนอยากให้บ้านเล็กๆ ตรงนี้ เป็นพื้นที่ครัวของส่วนกลางบ้านใหญ่มาอยู่ด้วยที่นี่ครึ่งนึง ของบ้านนี้
เพราะอุปกรณ์ครัวแม่เยอะ มีตู้แช่ด้วย และจะทำห้องนอน ครึ่งนึง/1-2ห้อง ในภายหลัง หลังจากที่เราคุยไปว่าเราขอเก็บเงินทำต่อก่อนนะ ขอบคุณมากเลย ในตอนแรกเรากะว่าจะทำให้เต็มที่คิดว่ามีสิทธิ์ในการตัดสินใจเต็มที่เพราะเรากำลังจะหาเงินออกเอง
เราคิดว่าอยากให้แม่มีโซนครัว /หรือจะเป็นนั่งเล่น มีโซฟามีทีวีอยู่แล้ว
แต่พอพี่ชายระบุ มาว่าต้องการประมาณไหน ย้ำ ว่ามันจะเป็นความต้องการของพี่ชายด้วย ว่าต้องการประมาณไหน ระบุครัวมา ระบุตำแหน่ง ว่าตรงไหนจะทำอะไร ความคิดเราเริ่มเปลี่ยนในทันที ว่าเราควรมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆหรอ ยอมรับว่าเราร้องให้เสียใจ รู้สึกงง หงอยไปเลย หน้าแตกรู้สึกอาย
กว่าเราจะทำใจนึกว่าพี่จะให้เราเต็ม100จริงๆและให้เราคิดจัดการเอง เหมือนตอนแรกที่เคยบอกเรา ใช้เวลานานกว่าจะเชื่อ
ความรู้สึกตอนนี้คือเหมือนต้องการเงินทุนจากเราไปช่วยที่บ้านให้เสร็จ เน้นครัวของแม่ เราเป็นแค่คนสุดท้ายในซอกหลืบที่เค้าจะนึกถึงจริงๆเราเป็นคนขี้น้อยในและเป็นมนุษย์ฟองน้ำอยู่แล้วเลยเสียใจเป็นพิเศษ จนแฟนเอาส้มมาให้กินแล้วบอกไม่เป็นไรนะหนู โดยที่ยังไม่เล่าอะให้ฟัง และไม่กล้าถามพี่ชาย ไปตรงๆ ว่าใครจะเป็นคนออกทุน เลยจบการสนธนาแค่นั้นก่อน
และมานั่งคิดหนัก อีกรอบ ว่าเราควรจะลงทุนในส่วนนี้ไหมพี่ชายพูดเหมือนว่ามันง่ายบอกว่าของราคาไม่กี่บาท ทำแค่ไม่กี่อย่าง แต่ถ้าเราจะทำ เราต้องปูกระเบื้อง/ทำเคาท์เตอร์ครัวฝรั่งให้แม่/ทำประตู/หน้าต่าง/ติดแอร์/ติดฝ้า/ติดไฟ/ทำห้องน้ำเพิ่มเติม จิปาถาจุกจิก ฯลฯ ห้องใหญ่ขนาดประมาณ1บ้าน ตามตจว.เลยสำหรับอยู่ประมาณ2-3คน
เราเลยไม่คุยเรื่องนี้ต่อกับพี่ชาย แต่ดันไปรับปากไปแล้ว ว่าจะทำต่อเองขอบคุณเสร็จเรียบร้อย แต่ก็ไม่ได้คาดหวังอยากจะได้ของคนอื่นมาตั้งแต่ต้น
ไม่มีอะไรที่เป็นของเรา100% เพราะทุกอย่างจะต้องนึกถึงส่วนรวม แต่เรายังไม่ตัดใจที่จะเลิกทำ ส่วนนี้100% เห็นใจพี่ชาย ในนึงอยากช่วยทำให้ดูเป็นบ้านมากขึ้น อยากให้แม่มีครัวสวยๆ ดีๆใช้ อยู่เหมือนกัน
แต่ใจนึง เราไม่อยากไปยุ่งเท่าไรเลย กลัวลงทุนไปแล้วไม่ถูกใจ เพราะพี่ชายเราก็เป็นคนไม่ค่อยพูด คุยกับเรา2-3 ประโยค
และเรากำลังจะเป็นคนลงเงินที่ต้องถามคนอื่น/ถามพี่ชาย ว่าจะเอาแบบไหน ไม่ใช่พี่ชายถามเราว่าอยากทำแบบไหน แต่บอกว่ายกให้เรา
และพอเรามายิ่งคิด ยิ่งดูเหมือนตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัวไม่เอาใคร อยากได้ของคนอื่นยังไงแต่ไม่ยอมลงทุนก็ไม่รู้ค่ะ
ไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย แต่เราก็เข้าใจพี่ชายว่า เค้าทำให้เรามาประมาณนี้แล้วให้เราลงทุนทำต่อเองมันเล็กน้อยถ้าเทียบกับสิ่งที่เค้าทำ
แต่มันมีเหตุการณ์นึง ที่ทำให้เรารู้สึก .... อืมม(ในใจ)แต่มันก็เรื่องของเขา เราไม่กล้าคิดที่จะก้าวก่าย
คือพี่ชายซื้อลำโพงตัวใหญ่ อย่างดีราคาแสนกว่าบาท (2ตัว) เพราะเมาซื้อมาคู่กันลำโพงเหมือนกันเปี้ยบ ไปเปิดเพลงสังสรรค์ที่ทุ่งนา เรารู้สึกเสียดายเงินตรงนี้แทน แอบคิดในหัวแวบขึ้นมาว่า ถ้าพี่ชายไม่ซื้อลำโพงซ้ำกันน่าจะทำห้องตรงนี้ได้ 😆แต่จริงๆก็แค่รู้สึกขำๆมันเป็นเงินเขา
ทั้งหมดที่เล่ามามันเลยดูแปลกๆ ที่จะลงทุนทำไปค่ะ เราควรทำยังไงดีคะ
ใจนึงก็คิดว่า คิดซะว่าการลงทุนมันจะเกิดอะไรขึ้นก็ยอมรับความเสี่ยงเหมือนเราลงทุนในพอตหุ้น
แต่ถ้าเรื่องความรู้สึกมันก็ไม่น่าที่จะต้องลงทุน ใจนึงก็อยากมีความเป็นครอบครัว อยากช่วยกัน
แต่เราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง หรือว่าจริงๆแล้วก็ถือซะว่าเราลงทุน1แสนนี้ แต่ก็รู้สึก หน่วงๆ ในใจลึกๆ ว่าเราอยู่ นอกเหนือทุกคน
เป็นแค่เศษเสี้ยวเล็กๆ ไม่คู่ควรกับสิ่งไหนในครอบครัวเลย ตอนเราไปยืนเหยียบในบ้านตอนไปเยี่ยมครอบครัวรู้สึก ไม่ใช่ที่ของเรา
รู้สึกตัวเองเป็นแขก ไม่กล้าเข้าห้องน้ำ นั่งบนโซฟา ในมุมเล็กๆ ไม่กล้าเปิดแอร์/พัดลม ทำอะไรก็เกรงใจ
เหมือนคนแปลกหน้าเพราะไม่ได้เจอกันนาน
ตอนนี้เครียดค่ะ ไม่รู้ว่าเรื่องจะไปจบที่ตรงไหน เพราะเรายังไม่ได้บอกยกเลิกกับพี่ชายไปตรงๆ ว่าจะไม่ทำยังไงต่อไป
ใจนึงก็กลัวพี่ชายจะเข้าใจผิดมองเราเป็นคนเห็นแก่ตัวไม่ช่วยอะไรเลย ส่วนพี่ชายเราเป็นคนนิสัยดีนะคะ แต่อาจจะมีบางเรื่องที่ทำให้ไม่เข้าใจกัน
เราแทบไม่รู้แล้วว่าตรงกลางคืออะไรแต่ก็มันชิดขอบเกินจนเราตกขอบเราก็ไม่ลงสนามก็ได้
ควรทำยังไงกับเรื่องนี้ดีคะ ที่บ้านเอาแต่บอกให้ทำบ้านในที่ดินของครอบครัว
แต่หากความคิดเห็นใด ไม่ตรงกับการใช้ชีวิตของเราหากมีข้อโต้แย้งกรุณาอย่าเพิ่งมองด้านลบว่าไม่ฟังความเห็นนะคะ รับไปพิจารณาค่ะ
เรื่องมีอยู่ว่า พี่ชายอ้างว่าทำห้องๆ นึงติดกับตัวบ้านใหญ่ที่มีอยู่แล้ว ซึ่งพี่ชายเป็นนายทุน พ่อเป็นช่าง ห้องนี้บอกว่าไว้นานแล้วให้เรามาอยู่
แต่ปลูกคาทิ้งไว้ มีแต่โครงสร้างปูน และหลังคาเปล่าๆนอกนั้นต้องทำอะไรอีกเยอะมาก (กะจะให้เราทำเอง)
แต่ดูท่าทางของพี่ชายในตอนนี้ เหมือนจะไม่กล้าถามเราแล้ว เพราะเคยพูดกับเราแล้วเราเฉยๆ และเขาคงทำให้เสร็จแต่คงอีกหลายปี
เพราะพี่ชายมีพาระที่ต้องรับผิดชอบ ในที่ดินอีกแปลง ที่ให้แม่ทำสวนและต่อเติมก่อสร้างอะไรไปเรื่อยๆ เลยต้องหยุดพักส่วนนี้ไปลงทุนในส่วนตรงนั้น
เราเลยเห็นใจพี่ชายอยากสานฝันเขาต่อให้เสร็จ+ใจอ่อนคิดว่าอยากทำก็น่าสนุกดี โดนพี่สาวบิ้วอารมณ์มาเยอะว่าข้อดีของการมาอยู่ตจว.เป็นยังไง(ซึ่งเรารู้
อยู่แล้ว)ก็พูดเรื่องอื่นๆตามประสาพี่น้องคุยกันว่าข้อดีคืออะไร แต่อันนี้ไม่ใช่ประเด็นเท่าไรยังไงก็อยู่ที่ในเราล้วนๆ
เราเลยลองเราตั้งงบประมาณเล่นๆไว้ จะไม่เกิน1 แสนบาท ช่างก็มีแล้วคือพ่อ ไม่ได้คาดหวังจะไปอยู่ถาวร ไปอยู่เฉพาะ เวลาไปนอนพัก ตอนไปเยี่ยมครอบครัวช่วงเทศกาล เพราะปกติทุกครั้งที่ไป เราไปเช่า รร. นอน คืนละประมาณ600-800 และทำให้ไม่อยากอยู่นาน เพราะ กังวลเรื่อง คชจ.
พี่ๆ ก็บอกก็มาทำอยู่สิ จะได้ไม่ต้องเช่ารร.อยู่ ในตอนนั้น พี่สาวจะเชียร์สุดๆให้ทำ สิทำเลย บอกตลอด (แต่อีกใจนึงที่เรารู้มาตลอดไปเช่ารร.อยู่ไม่แพงเท่านี้)
ฟังเหมือนจะไม่มีอะไรใช่มั้ยคะ ต้องขอย้อนกลับไปประมาณ 7 ปีก่อน ตอนที่พี่ชายเป็นนายทุน สร้างบ้านสำหรับ1ครอบครัว หลังค่อนข้างใหญ่พอประมาณ สำหรับอยู่ ประมาณ7คน 3ห้องนอน2ห้องน้ำ เน้นไปที่ห้องโถง/ห้องส่วนกลาง พี่ชายแสนดีมากๆ เป็นคนใจดีต่อครอบครัว
เขาสร้างบ้านให้แม่ พี่สาวและตัวเองอยู่ทุกคนมีห้องตัวเอง+นอนคู่กันกับคนใกล้ชิด แต่ไม่มีห้องส่วนตัวของเรา แต่มาขอเงิน5 แสนจากเราช่วยลงขันเรื่องบ้าน ทำไปแล้วส่วนนึงเป็นรูปเป็นร่าง เราถามไปว่าประมาณว่า แล้วเงิน5แสน กับห้องเราก็ไม่มี ไม่ได้ทำห้องเผื่อเรา
ให้ไม่ได้เพราะไม่ได้มาอยู่ที่นี่ด้วยด้วย อยู่กทม. เป็นหลัก จากนั้นทำให้เราพี่ชายไม่ได้คุยกันนานถึง7ปี เพราะเรื่องนี้
เราเสียใจหนักมาก ที่เขาไม่ได้คิดถึงเรา เราไม่เคยว่าเลย อาจจะแค่น้อยใจเล็กน้อย แต่ไม่เคยพูดเลย ไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย
แต่ เจ็บที่มาขอเงินเรา5แสน และเราเข้าใจความรู้สึกพี่ชาย ว่าเขาอ่อนไหว และเหนื่อยกับการลงทุนทำบ้านเขาลงเงินคนเดียว ส่วนแรง พ่อเป็นช่างเขาทำให้ช่วยลดต้นทุนเยอะมาก แต่เราไม่สามารถให้ได้จริงๆ เพราะเราก็ไม่ได้อะไรเลย และลำบากใจยังไงก็ไม่รู้ ไม่ให้ก็ดูเหมือนเราเห็นแก่ตัว ไม่ช่วยที่บ้าน
แต่ถ้าให้ก็ตะงิดใจแปลกๆ เพราะตลอด25ปีครอบครัวไม่เคยดีกับเราเลย
พอเขาสร้างบ้านเสร็จเรียบร้อย ก็มักชวนเรากลับบ้านบอกว่า มานอนบ้านสิ ไปเช่ารร. ทำไม (เรางงหนักมาก จะให้เราไปนอนที่ไหนไม่มีห้อง)
และเราเป็นผู้หญิงด้วยและไปกับแฟนด้วยยิ่งไม่สะดวก แต่ทุกคนก็พูดถึงเรื่องนี้บ่อยจนเราถามกลับแล้วจะให้ไปนอนที่ไหน ทุกคนก็เงียบเพราะไม่รู้จะตอบยังไง
เรื่องนี้ผ่านไปนะคะ และเคยตัดขาดจากครอบครัว ไป3ปี ส่งแต่พัสดุกล่องใหญ่ไปให้แทบทุกเดือนตลอด10 กว่าปี พอเราเกิดอาการใจอ่อนเรากลับมาคุยกับครอบคร้วเรารู้สึก เหมือนอยู่ในความฝัน ที่ทุกคนทำกับเรา เหมือนทำดีด้วย แต่เราเสียวหลังตลอด ว่าอะไรที่มันดี มันจะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอ ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ ไม่ใช่เราเป็นคนที่ชอบของฟรี นะคะ แต่บางครั้งเราอยากคู่ควรกับการถูกรักถูกใส่ใจบ้างเหมือนกับที่ผ่านมาเราก็เคยดูแลครอบครัว
จนถึงที่เราเล่าไปข้างต้น ขอต่อเลยนะคะเนื่องจาก คนในครอบครัวรวมทั้งพี่ชาย บอกให้เราทำสิ ทำตรงนี้ พี่ชายซื้อที่ทำไว้ให้เรา
ลืมเล่าค่ะ จากในตอนหลังที่เราไม่คุยกับพี่ชายมา7ปี พี่ชายรู้ว่าเราน่าจะไม่พอใจเรื่องที่มาขอเงินลงขันเรา5แสน
เขาเลย บอกผ่านครอบครัวให้มาบอกเราว่าก็ไปซื้อที่ทำบ้านเองสิ ตรงนี้ข้างๆ กัน เราก็ไม่เอา เราเงียบ
หลายปีต่อมาพี่ชาย ซื้อที่ต่อจากญาติ แล้ว เหมือนพูดต่อว่า เนี่ยซื้อที่ไว้แล้วมาทำอยู่สิ แต่เรายังเงียบ บอกไม่ได้ทำหรอกไม่ได้ไปอยู่
ต่อมาอีกเป็นปีๆ ต่อมาพี่ชายสร้างบ้านเป็นโครงขึ้นมา และ เราจำไม่ได้ว่าก่อนหน้าพี่ได้บอกเราไปทำไหม
แต่พี่สาวพูดบอกตลอดให้เราไปทำต่อ ล่าสุดวันนี้เราเลย บอกว่าขอถามพี่ชายก่อนให้แน่ใจก่อน ว่าสร้างตรงนี้ขึ้นมา อยากยกให้เราและให้เราไปทำต่อจริงไหมเพื่อความแน่ใจเราไม่อยากล้ำเส้นใครโดยที่ไม่ถามเจ้าตัวก่อน
คุยเสร็จสรุปใจความได้ว่า พี่ชายเหมือนอยากให้บ้านเล็กๆ ตรงนี้ เป็นพื้นที่ครัวของส่วนกลางบ้านใหญ่มาอยู่ด้วยที่นี่ครึ่งนึง ของบ้านนี้
เพราะอุปกรณ์ครัวแม่เยอะ มีตู้แช่ด้วย และจะทำห้องนอน ครึ่งนึง/1-2ห้อง ในภายหลัง หลังจากที่เราคุยไปว่าเราขอเก็บเงินทำต่อก่อนนะ ขอบคุณมากเลย ในตอนแรกเรากะว่าจะทำให้เต็มที่คิดว่ามีสิทธิ์ในการตัดสินใจเต็มที่เพราะเรากำลังจะหาเงินออกเอง
เราคิดว่าอยากให้แม่มีโซนครัว /หรือจะเป็นนั่งเล่น มีโซฟามีทีวีอยู่แล้ว
แต่พอพี่ชายระบุ มาว่าต้องการประมาณไหน ย้ำ ว่ามันจะเป็นความต้องการของพี่ชายด้วย ว่าต้องการประมาณไหน ระบุครัวมา ระบุตำแหน่ง ว่าตรงไหนจะทำอะไร ความคิดเราเริ่มเปลี่ยนในทันที ว่าเราควรมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆหรอ ยอมรับว่าเราร้องให้เสียใจ รู้สึกงง หงอยไปเลย หน้าแตกรู้สึกอาย
กว่าเราจะทำใจนึกว่าพี่จะให้เราเต็ม100จริงๆและให้เราคิดจัดการเอง เหมือนตอนแรกที่เคยบอกเรา ใช้เวลานานกว่าจะเชื่อ
ความรู้สึกตอนนี้คือเหมือนต้องการเงินทุนจากเราไปช่วยที่บ้านให้เสร็จ เน้นครัวของแม่ เราเป็นแค่คนสุดท้ายในซอกหลืบที่เค้าจะนึกถึงจริงๆเราเป็นคนขี้น้อยในและเป็นมนุษย์ฟองน้ำอยู่แล้วเลยเสียใจเป็นพิเศษ จนแฟนเอาส้มมาให้กินแล้วบอกไม่เป็นไรนะหนู โดยที่ยังไม่เล่าอะให้ฟัง และไม่กล้าถามพี่ชาย ไปตรงๆ ว่าใครจะเป็นคนออกทุน เลยจบการสนธนาแค่นั้นก่อน
และมานั่งคิดหนัก อีกรอบ ว่าเราควรจะลงทุนในส่วนนี้ไหมพี่ชายพูดเหมือนว่ามันง่ายบอกว่าของราคาไม่กี่บาท ทำแค่ไม่กี่อย่าง แต่ถ้าเราจะทำ เราต้องปูกระเบื้อง/ทำเคาท์เตอร์ครัวฝรั่งให้แม่/ทำประตู/หน้าต่าง/ติดแอร์/ติดฝ้า/ติดไฟ/ทำห้องน้ำเพิ่มเติม จิปาถาจุกจิก ฯลฯ ห้องใหญ่ขนาดประมาณ1บ้าน ตามตจว.เลยสำหรับอยู่ประมาณ2-3คน
เราเลยไม่คุยเรื่องนี้ต่อกับพี่ชาย แต่ดันไปรับปากไปแล้ว ว่าจะทำต่อเองขอบคุณเสร็จเรียบร้อย แต่ก็ไม่ได้คาดหวังอยากจะได้ของคนอื่นมาตั้งแต่ต้น
ไม่มีอะไรที่เป็นของเรา100% เพราะทุกอย่างจะต้องนึกถึงส่วนรวม แต่เรายังไม่ตัดใจที่จะเลิกทำ ส่วนนี้100% เห็นใจพี่ชาย ในนึงอยากช่วยทำให้ดูเป็นบ้านมากขึ้น อยากให้แม่มีครัวสวยๆ ดีๆใช้ อยู่เหมือนกัน
แต่ใจนึง เราไม่อยากไปยุ่งเท่าไรเลย กลัวลงทุนไปแล้วไม่ถูกใจ เพราะพี่ชายเราก็เป็นคนไม่ค่อยพูด คุยกับเรา2-3 ประโยค
และเรากำลังจะเป็นคนลงเงินที่ต้องถามคนอื่น/ถามพี่ชาย ว่าจะเอาแบบไหน ไม่ใช่พี่ชายถามเราว่าอยากทำแบบไหน แต่บอกว่ายกให้เรา
และพอเรามายิ่งคิด ยิ่งดูเหมือนตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัวไม่เอาใคร อยากได้ของคนอื่นยังไงแต่ไม่ยอมลงทุนก็ไม่รู้ค่ะ
ไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย แต่เราก็เข้าใจพี่ชายว่า เค้าทำให้เรามาประมาณนี้แล้วให้เราลงทุนทำต่อเองมันเล็กน้อยถ้าเทียบกับสิ่งที่เค้าทำ
แต่มันมีเหตุการณ์นึง ที่ทำให้เรารู้สึก .... อืมม(ในใจ)แต่มันก็เรื่องของเขา เราไม่กล้าคิดที่จะก้าวก่าย
คือพี่ชายซื้อลำโพงตัวใหญ่ อย่างดีราคาแสนกว่าบาท (2ตัว) เพราะเมาซื้อมาคู่กันลำโพงเหมือนกันเปี้ยบ ไปเปิดเพลงสังสรรค์ที่ทุ่งนา เรารู้สึกเสียดายเงินตรงนี้แทน แอบคิดในหัวแวบขึ้นมาว่า ถ้าพี่ชายไม่ซื้อลำโพงซ้ำกันน่าจะทำห้องตรงนี้ได้ 😆แต่จริงๆก็แค่รู้สึกขำๆมันเป็นเงินเขา
ทั้งหมดที่เล่ามามันเลยดูแปลกๆ ที่จะลงทุนทำไปค่ะ เราควรทำยังไงดีคะ
ใจนึงก็คิดว่า คิดซะว่าการลงทุนมันจะเกิดอะไรขึ้นก็ยอมรับความเสี่ยงเหมือนเราลงทุนในพอตหุ้น
แต่ถ้าเรื่องความรู้สึกมันก็ไม่น่าที่จะต้องลงทุน ใจนึงก็อยากมีความเป็นครอบครัว อยากช่วยกัน
แต่เราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง หรือว่าจริงๆแล้วก็ถือซะว่าเราลงทุน1แสนนี้ แต่ก็รู้สึก หน่วงๆ ในใจลึกๆ ว่าเราอยู่ นอกเหนือทุกคน
เป็นแค่เศษเสี้ยวเล็กๆ ไม่คู่ควรกับสิ่งไหนในครอบครัวเลย ตอนเราไปยืนเหยียบในบ้านตอนไปเยี่ยมครอบครัวรู้สึก ไม่ใช่ที่ของเรา
รู้สึกตัวเองเป็นแขก ไม่กล้าเข้าห้องน้ำ นั่งบนโซฟา ในมุมเล็กๆ ไม่กล้าเปิดแอร์/พัดลม ทำอะไรก็เกรงใจ
เหมือนคนแปลกหน้าเพราะไม่ได้เจอกันนาน
ตอนนี้เครียดค่ะ ไม่รู้ว่าเรื่องจะไปจบที่ตรงไหน เพราะเรายังไม่ได้บอกยกเลิกกับพี่ชายไปตรงๆ ว่าจะไม่ทำยังไงต่อไป
ใจนึงก็กลัวพี่ชายจะเข้าใจผิดมองเราเป็นคนเห็นแก่ตัวไม่ช่วยอะไรเลย ส่วนพี่ชายเราเป็นคนนิสัยดีนะคะ แต่อาจจะมีบางเรื่องที่ทำให้ไม่เข้าใจกัน
เราแทบไม่รู้แล้วว่าตรงกลางคืออะไรแต่ก็มันชิดขอบเกินจนเราตกขอบเราก็ไม่ลงสนามก็ได้