แหล่งข่าวจาก
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000124193
เตือนภัย! หลังสาวไปใช้บริการออนเซ็นย่านทองหล่อ ถูกขโมยบัตรเครดิตเสียบเครื่องรูดบัตร 5 รายการ 3 ธนาคารมูลค่าความเสียหาย 343,000 บาท มีเพียงแบงก์เดียวยอม hold ยอดให้เพื่อรอทางตำรวจดำเนินทางคดีอยู่ อีก 2 แบงก์ปฏิเสธความรับผิดชอบ
วันนี้ (26 ธ.ค.) เฟซบุ๊ก “Pawoot Pom Pongvitayapanu" ได้โพสต์เตือนภัยระบุข้อความว่า “ตอนนี้มิจฉาชีพ เริ่มรุกหนักล่ะ มีลูกน้องเก่า โดนมิจฉาชีพเอาเครื่องไปดูดเลขบัตรเครดิตในร้าน แล้วก็ถูกนำบัตรไปรูดทันที ที่ร้านที่ไม่มีตัวตน น่ากลัวมาก และธนาคารก็ปฏิเสธความรับผิดชอบ แค่อยู่เฉยๆ ก็โดนดูดเลขบัตรไป update 3 โมง 26 Dec 2024 จากการประเมินน่าอาจจะเกิดจาการ โดนเปิดตู้แล้วเอาบัตรไปเสียบเครื่องรูดบัตร (Dip Chip) ทำให้สามารถกดเอาวงเงินจำนวนมากออกไปได้
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 ได้เข้าใช้บริการที่ออนเซ็นย่านทองหล่อ เวลาประมาณ 17.13 น. จากนั้นได้นำกระเป๋าใส่ไว้ในล็อกเกอร์ของทางออนเซ็น ภายในกระเป๋ามีเงินสดและบัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย, บัตรเครดิตธนาคารกรุงศรีอยุธยา และ
บัตรเครดิตธนาคารไทยพาณิชย์
หลังจากนั้นพบว่ามีการแจ้งเตือนผ่านแอพพลิเคชั่นของธนาคารทั้ง 3 แห่งข้างต้นว่ามีการใช้บัตรเครดิต 5 รายการ ดังนี้ รายการที่ 1 มีการใช้ผ่านบัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย จำนวนเงิน 97,000 บาทเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 เวลา 17.33 ที่ร้าน PLERN PLERN BANGKOK TH
รายการที่ 2 มีการใช้ผ่านบัตรเครดิตธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำนวนเงิน 70,000 บาทเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 ที่ร้าน PLERN PLERN
รายการที่ 3 มีการใช้ผ่านบัตรเครดิตธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำนวนเงิน 60,0000 บาทเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 ที่ร้าน PLERN PLERN
รายการที่ 4 มีการใช้ผ่านบัตรเครดิตธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำนวนเงิน 56,000 บาทเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 เวลา 17.34 ที่ร้าน PLERN PLERN
รายการที่ 5 มีการใช้ผ่านบัตรเครดิตธนาคารไทยพาณิชย์ จำนวนเงิน 60,000 บาทเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 เวลา 17.35 ที่ร้าน PLERN PLERN
รวมเป็นจำนวนเงินทั้งหมด 343,000 บาทโดยที่น้องไม่ได้ใช้บัตรเครดิตตามรายการข้างต้นแน่นอน เนื่องจากขณะนั้นน้องกำลังเข้าใช้บริการออนเซ็นอยู่ และหลังจากที่น้องได้แจ้งปฏิเสธการใช้บัตรไปยังธนาคารทั้ง 3 ธนาคาร พร้อมทั้งส่งเอกสารไปแจ้งความไปให้เพื่อยืนยันข้อมูลและข้อเท็จจริงไปแล้ว
ทางธนาคารแจ้งว่าว่าการใช้บัตรเครดิตในครั้งนี้เป็นการนำบัตรไปใช้ที่เครื่องรูดบัตรแบบการอ่านซิพการ์ดโดยการสัมผัสตัวบัตรกับเครื่องรูดบัตรโดยตรง ไม่ได้เกิดจากการตัดบัตรผ่านระบบออนไลน์ ดังนั้นทางธนาคารจึงไม่ยอมรับการปฏิเสธยอดค่าใช้จ่ายตามรายการบัตรเครดิตข้างต้น ที่น้องไม่ได้เป็นผู้ใช้
อัพเดท ณ วันที่ 24 ธันวาคม 2567
- KBank : ยินดี hold ยอดนั้นให้เพื่อรอทางตำรวจดำเนินทางคดีอยู่
- SCB : หลังจารการเจรจาไปแล้ว 6 ครั้ง ทาง SCB ยังไม่ยอม hold ยอดให้และยืนยันว่าทางเจ้าของบัตรเครดิตจะต้องเป็นคนจ่ายยอดนั้น แต่ถ้าลูกค้าไม่จ่ายยอดนี้ ลูกค้าจะต้องจ่ายค่าจ่ายดอกเบี้ยของการไม่จ่ายบัตรเครดิตนั้นด้วย
- Krungsri : หลังจากเจรจาไป 3 รอบ ทางแบงค์แจ้งว่า ฝ่ายสอบสวนของทางธนาคารแจ้งว่ายอดนี้ไม่ hold ให้เพราะยอดสูง และลูกค้าต้องจ่ายยอดนี้ เพราะถ้าไม่จ่ายลูกค้าต้องจ่ายดอกเบี้ยเช่นกัน น้องเลยถามว่าถ้าแบงค์บังคับให้ลูกค้าจ่ายงั้นแบงค์ต้องแจ้งลูกค้าได้ว่าบัตรถูกรูดที่ร้านไหน ตั้งอยู่ที่ไหน หรือจดทะเบียนโดยบริษัทอะไร ซึ่งทางแบงค์แจ้งว่าทางแบงค์ให้ข้อมูลนี้กับลูกค้าไม่ได้ คือน้องก็ไม่เข้าใจถ้าแบงค์จะมาบังคับจ่ายแล้ว ลูกค้าถามว่าบัตรถูกรูดที่ไหนทำไมแบงค์ให้ข้อมูลไม่ได้
เตือนภัย! สาวโดนขโมยบัตรเครดิตเสียบเครื่องรูดนำเงินออก แถมแบงก์ปฏิเสธความรับผิดชอบ
เตือนภัย! หลังสาวไปใช้บริการออนเซ็นย่านทองหล่อ ถูกขโมยบัตรเครดิตเสียบเครื่องรูดบัตร 5 รายการ 3 ธนาคารมูลค่าความเสียหาย 343,000 บาท มีเพียงแบงก์เดียวยอม hold ยอดให้เพื่อรอทางตำรวจดำเนินทางคดีอยู่ อีก 2 แบงก์ปฏิเสธความรับผิดชอบ
วันนี้ (26 ธ.ค.) เฟซบุ๊ก “Pawoot Pom Pongvitayapanu" ได้โพสต์เตือนภัยระบุข้อความว่า “ตอนนี้มิจฉาชีพ เริ่มรุกหนักล่ะ มีลูกน้องเก่า โดนมิจฉาชีพเอาเครื่องไปดูดเลขบัตรเครดิตในร้าน แล้วก็ถูกนำบัตรไปรูดทันที ที่ร้านที่ไม่มีตัวตน น่ากลัวมาก และธนาคารก็ปฏิเสธความรับผิดชอบ แค่อยู่เฉยๆ ก็โดนดูดเลขบัตรไป update 3 โมง 26 Dec 2024 จากการประเมินน่าอาจจะเกิดจาการ โดนเปิดตู้แล้วเอาบัตรไปเสียบเครื่องรูดบัตร (Dip Chip) ทำให้สามารถกดเอาวงเงินจำนวนมากออกไปได้
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 ได้เข้าใช้บริการที่ออนเซ็นย่านทองหล่อ เวลาประมาณ 17.13 น. จากนั้นได้นำกระเป๋าใส่ไว้ในล็อกเกอร์ของทางออนเซ็น ภายในกระเป๋ามีเงินสดและบัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย, บัตรเครดิตธนาคารกรุงศรีอยุธยา และ
บัตรเครดิตธนาคารไทยพาณิชย์
หลังจากนั้นพบว่ามีการแจ้งเตือนผ่านแอพพลิเคชั่นของธนาคารทั้ง 3 แห่งข้างต้นว่ามีการใช้บัตรเครดิต 5 รายการ ดังนี้ รายการที่ 1 มีการใช้ผ่านบัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย จำนวนเงิน 97,000 บาทเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 เวลา 17.33 ที่ร้าน PLERN PLERN BANGKOK TH
รายการที่ 2 มีการใช้ผ่านบัตรเครดิตธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำนวนเงิน 70,000 บาทเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 ที่ร้าน PLERN PLERN
รายการที่ 3 มีการใช้ผ่านบัตรเครดิตธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำนวนเงิน 60,0000 บาทเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 ที่ร้าน PLERN PLERN
รายการที่ 4 มีการใช้ผ่านบัตรเครดิตธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำนวนเงิน 56,000 บาทเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 เวลา 17.34 ที่ร้าน PLERN PLERN
รายการที่ 5 มีการใช้ผ่านบัตรเครดิตธนาคารไทยพาณิชย์ จำนวนเงิน 60,000 บาทเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 เวลา 17.35 ที่ร้าน PLERN PLERN
รวมเป็นจำนวนเงินทั้งหมด 343,000 บาทโดยที่น้องไม่ได้ใช้บัตรเครดิตตามรายการข้างต้นแน่นอน เนื่องจากขณะนั้นน้องกำลังเข้าใช้บริการออนเซ็นอยู่ และหลังจากที่น้องได้แจ้งปฏิเสธการใช้บัตรไปยังธนาคารทั้ง 3 ธนาคาร พร้อมทั้งส่งเอกสารไปแจ้งความไปให้เพื่อยืนยันข้อมูลและข้อเท็จจริงไปแล้ว
ทางธนาคารแจ้งว่าว่าการใช้บัตรเครดิตในครั้งนี้เป็นการนำบัตรไปใช้ที่เครื่องรูดบัตรแบบการอ่านซิพการ์ดโดยการสัมผัสตัวบัตรกับเครื่องรูดบัตรโดยตรง ไม่ได้เกิดจากการตัดบัตรผ่านระบบออนไลน์ ดังนั้นทางธนาคารจึงไม่ยอมรับการปฏิเสธยอดค่าใช้จ่ายตามรายการบัตรเครดิตข้างต้น ที่น้องไม่ได้เป็นผู้ใช้
อัพเดท ณ วันที่ 24 ธันวาคม 2567
- KBank : ยินดี hold ยอดนั้นให้เพื่อรอทางตำรวจดำเนินทางคดีอยู่
- SCB : หลังจารการเจรจาไปแล้ว 6 ครั้ง ทาง SCB ยังไม่ยอม hold ยอดให้และยืนยันว่าทางเจ้าของบัตรเครดิตจะต้องเป็นคนจ่ายยอดนั้น แต่ถ้าลูกค้าไม่จ่ายยอดนี้ ลูกค้าจะต้องจ่ายค่าจ่ายดอกเบี้ยของการไม่จ่ายบัตรเครดิตนั้นด้วย
- Krungsri : หลังจากเจรจาไป 3 รอบ ทางแบงค์แจ้งว่า ฝ่ายสอบสวนของทางธนาคารแจ้งว่ายอดนี้ไม่ hold ให้เพราะยอดสูง และลูกค้าต้องจ่ายยอดนี้ เพราะถ้าไม่จ่ายลูกค้าต้องจ่ายดอกเบี้ยเช่นกัน น้องเลยถามว่าถ้าแบงค์บังคับให้ลูกค้าจ่ายงั้นแบงค์ต้องแจ้งลูกค้าได้ว่าบัตรถูกรูดที่ร้านไหน ตั้งอยู่ที่ไหน หรือจดทะเบียนโดยบริษัทอะไร ซึ่งทางแบงค์แจ้งว่าทางแบงค์ให้ข้อมูลนี้กับลูกค้าไม่ได้ คือน้องก็ไม่เข้าใจถ้าแบงค์จะมาบังคับจ่ายแล้ว ลูกค้าถามว่าบัตรถูกรูดที่ไหนทำไมแบงค์ให้ข้อมูลไม่ได้