สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นขอเกริ่นก่อนนะคะว่าไม่ได้เป็นกระทู้ให้กำลังใจเท่าไหร่ อาจจะแล้วแต่มุมมองคนอ่าน โดยสิ่งที่เรามุ่งหวังคือไม่อยากให้ใครมาเจอเรื่องแบบที่เราเจอ อยากให้เป็นแนวทางในกรณีของคนที่เจอเรื่องราวคล้ายๆ กัน เข้ามาพูดคุยกันได้นะคะ ยินดีค่ะ
ตอนนี้เราใกล้จบมหาลัยแล้วค่ะ ชีวิตติดแหงกกับโปรเจคจบ หรือบางที่อาจเรียกว่าธีสิส เราเป็นคนนึงที่เลือกเส้นทางผิดอยู่บ่อยๆ (เริ่มตั้งแต่ชีวิตมหาลัย) แต่ก็ไม่เคยเป็นเด็กเกเร จนเสียผู้เสียคน กลับกันเราพยายามสู้กับสิ่งที่เลือก เพราะเรามันก็เลือกเอง ตลอดการเรียนเราสู้มาตลอดค่ะ เหนื่อยบ้าง ท้อบ้าง แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองก็ผ่านมาได้ทุกปี จนมาเจอกับปีสุดท้ายที่หนักสุดๆ
ต้องขอบอกว่าเราเป็นคนเลือกเองจริงๆ ก็ต้องยอมรับผลนั้นค่ะ ที่อยากให้มองเป็นแนวทางในเรื่องต่อไปนี้คือ 1.การเลือกสถานที่ฝึกงาน 2.เพื่อนที่จะไปกับเรา
ขอเริ่มที่เรื่องการฝึกงานก่อนเลยนะคะ
เราเลือกสถานที่เป็นอันดับแรก ดูความสะดวกสบายในการเดินทาง แต่ที่พลาดไปคือเรื่องของคนที่ไปฝึกด้วย เราไม่รู้จักคนที่จะไปกับเรา ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง พอถึงเวลาอยู่ด้วยกันจริงทำเอารู้สึกแย่ตลอดการฝึกงาน แต่ในความโชคร้ายก็ยังเจอคนดีๆ เรื่องนี้ก็ทำให้รู้ว่าสังคมในอนาคตคงเจอคนดีและไม่ดีเป็นธรรมดา เป็นไปได้ทุกคนก็คงอยากเลือกอยู่กับคนที่เราสบายใจ แต่สำหรับเราเราอาจจะโชคร้ายที่ต้องอยู่กับคนเหล่านั้นที่พ่นพิษใส่เกือบทุกวัน คนดีๆ ก็ได้เจอกันบ้างแต่ก็ดันอยู่คนละฝ่าย บางคนบอกให้เรามองเป็นประสบการณ์ ยอมรับว่าช่วงแรกยากที่จะมองย้อนกลับไป เพราะรู้สึกว่าตัวเองก็โดนมาหนักเอาเรื่องอยู่ แต่ถ้าตอนนี้ก็ได้เรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้เยอะขึ้น และสิ่งสำคัญที่สุดคือเราสามารถตัดคนเหล่านี้ออกจากชีวิตได้ ไม่โกรธไม่เกลียด แต่ก็ไม่คุยกันหรือคุยกันน้อยที่สุดคงจะดีกว่า อย่างน้อยสุขภาพจิตก็ดีขึ้น
ต่อมาเรื่องล่าสุดที่พบเจออโปรเจคจบหรือธีสิสนั่นเอง
เรื่องนี้แนวทางก็ไม่ต่างกันมาก คือ 1.เลือกคู่โปรเจค 2.เลือกอาจารย์ที่ปรึกษา/หัวข้อโปรเจค
ในส่วนนี้ต้องบอกเลยว่าการที่เราคิดว่าฝึกงานมันหนักแล้ว แต่สิ่งนี้มันหนักกว่าจริง ก็เหมือนเดิม คือต้องผ่านไปให้ได้ อย่างแรกที่อยากบอกเลยคือ เรามักจะได้ยินคนพูดกันว่าโปรเจคน่ะอย่าไปอยู่กับเพื่อนตัวเองหรือเพื่อนสนิทเลย ด้วยเหตุผลว่าจะทะเลาะกันแล้วเสียเพื่อนเปล่าๆ สำหรับเราขอค้านเรื่องนี้เลย แต่มันก็อาจจะจริงสำหรับบางคนหรือบางกลุ่ม แต่สำหรับเราการทำงานกับเพื่อนที่รู้ใจกัน เพื่อนสนิท เพื่อนในกลุ่ม มันทำให้ในแง่ของการทำงานมันคุยกันได้ราบรื่นกว่า มีอะไรก็คุยกันได้ เปิดใจคุยกันง่ายกว่า และที่สำคัญมันยังเชื่อมไปถึงตัวโปรเจคได้อีกว่า ต่อให้มันจะยากแค่ไหน ถ้าจับมือทำกับคนที่รู้ใจกัน มันผ่านไปได้ง่ายกว่าอยู่แล้ว ความเครียด ความกังวลก็อาจจะน้อยลง อย่างมากคงเครียดเรื่องตัวงาน แต่สุดท้ายก็ยังมีเพื่อนที่เข้าใจกัน แต่เราไม่เป็นอย่างงั้น เราดันไปเลือกทำกับคนที่ไม่รู้นิสัยใจคอมาก่อน จะให้นึกย้อนไปตอนเลือกก็คงพูดยาก เพราะสถานการณ์ตอนนั้นค่อนข้างบีบบังคับ มารู้ฤทธิ์ของคนคนนี้ก็ตอนที่ต้องมาทำงายด้วยกัน เราบอกได้เลยว่าฝึกงานนี่จิ๊บๆ ไปเลย เราเสียดายมากที่เอาตรงนั้นมาเป็นบทเรียนไม่ได้ ด้วยเหตุผลหลายประการที่พูดไปก็คงเจ็บใจเปล่าๆ เราต้องทนทุกข์กับคู่โปรเจค (เราขอไม่เรียกเพื่อนเพราะไม่จำเป็นต้องใช้คำนั้นถ้าไม่ได้รู้สึกว่าถึงคำว่าเพื่อนจริงๆ) คนที่คือคำตอบของประโยค “ร้อยพ่อพันแม่” ขออนุญาตไม่ก้าวล่วงไปมากกว่านี้ ประโยคนี้คงชัดเจนที่สุด ตลอดเวลาที่เรียนมาประโยคนี้ชัดเจนที่สุดก็ตอนทำโปรเจคนี่แหละ ให้เราเล่าถึงวีรกรรมที่คนคนนี้ทำก็คงเล่าได้อีกนาน เพราะนิสัยที่ไม่เคยปรับปรุง และมีแต่จะแย่ลงทุกวันๆ มันทวีคูณความแย่มากขี้นเรื่อยๆ ต่อให้วันนี้เราเล่าพฤติกรรมทุกอย่างของคนคนนี้ไปหมด พรุ่งนี้เขาก็จะมีพฤติกรรมแย่ๆ ออกใหม่มาเสมอ ก็ได้แต่คิดว่าคนแบบนี้ก็มี เราไม่อยากต่อเวรต่อกรรมกับเขาอีกแล้ว เราจะขอไม่ลงดีเทลสิ่งที่เขาทำนะคะ คิดว่าถ้าหลายคนได้รู้ก็อาจจะรับไม่ได้
เราเลยขอพูดเป็นแนวทางสำหรับคนที่ได้เข้ามาอ่านนะคะ
1.การเป็นคนดีมันอาจจะยากสำหรับบางคน แต่การเป็นคนที่มีมารยาทบางทีก็อาจจะง่ายกว่า จะลองมีมารยาทหน่อยก็เป็นเรื่องที่ดีนะคะ ฝึกฝนกันได้เรื่องแบบนี้
2.ทุกคนมีเรื่องให้เหนื่อยกันหมด นั่นหมายความว่าทุกคนก็ต้องการเวลาพักเป็นของตัวเอง เราคงไม่รู้ว่าแต่ละคนมีการพักผ่อนแบบไหน แต่คงไม่ยากที่จะรู้ว่าเวลาไหนไม่ควนจะรบกวนผู้อื่น เวลาดึกๆดื่นๆ คงไม่มีใครอยากสะดุ้งตื่น หรือต้องตื่นมานั่งเปิดคอมเพื่อจะคุยงานหรือส่งงาน นอกจากนั่นจะเป็นเวลางานของเขาอยู่แล้ว เช่น พี่ๆที่ทำกะดึกอะไรแบบนี้ ก็เข้าใจได้ค่ะ หรือเสาร์อาทิตย์เช่นกัน วันหยุดพักผ่อนก็คงไม่มีใครอยากทำงาน แต่เราก็ได้เห็นบ่อยๆ ว่าบางทีคนก็ทำงานนอกเวลางานเยอะมาก และก็อาจจะเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็อยากให้ฉุกคิดสำหรับบางคนที่ยังคิดไม่ได้ ถ้าสำคัญจริงก็คงจำเป็นต้องคุย แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาตอบคุณแล้ว คุณจะเสียมารยาทโดยการใช้เวลาพักผ่อนของเขานานๆ คิดกลับกันเป็นคุณก็คงไม่ชอบ
3. จะคุยงานต้องคุยให้เป็น บางคนโตแล้วแต่ก็ไม่รู้จักวิธีการพูดคุย ต้องการความช่วยเหลือแต่พูดไม่เป็น ไม่รู้จักวิธีการพูดให้คนอื่นเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองต้องการถาม แล้วแบบนี้ใครจะช่วยคุณได้ แน่นอนพอดขาช่วยคุณไม่ได้ สิ่งแรกที่คุณทำคงด่าเขาในใจว่าทำไมเขาถึงไม่ช่วยคุณ บางทีอาจะแก้ได้ง่ายโดยการกลับไปอ่านหรือทบทวนสิ่งที่พูดไปว่ามีคนเข้าใจแบบคุณไหม เราอยากให้ใครช่วยก็ต้องบอกให้เขาเข้าใจ ไม่งั้นใครจะช่วยคุณได้
4. ถ้ารู้สึกผิดก็ควรขอโทษอย่างจริงใจ และขอโทษจากใจจริง อย่าคิดว่าคนอื่นเขาจะไม่รับรู้ว่าคุณพูดไปเพราะอะไร คุณอาจจะพูดไปเพราะอยากให้เรื่องจบๆ หรือพูดไปเพราะกลัวไม่มีคนช่วยงาน อย่าลืมว่าคำขอโทษ ผู้รับสัมผัสมันได้ว่าคุณพูดออกมาเพราะอะไร
5. สุขภาพจิตสำคัญมาก ยิ่งกับคนที่เจอเรื่องหนักๆ ติดต่อกัน มันจะเริ่มจากการที่แม้แต่ตัวเราเองยังประเมินตัวเองไม่ได้ว่าตอนนี้เราเป็นอะไรอยู่ รู้สึกอะไร ดังนั้นการไปพบจิตแพทย์ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่กลับเป็นเรื่องดีๆ ที่อาจจะทำให้เราอยู่กับเรื่องหนักๆ นี้ได้อย่างสบายใจขึ้น และผ่านมันไปได้ด้วยจิตใจที่แข็งแกร่ง
6. คนเราพอโตแล้วก็เปลี่ยนยากเป็นธรรมดา โฟกัสที่ตัวเราเองเท่านั้นคงดีกว่าการเปลี่ยนที่คนอื่น
สุดท้ายนี้ถ้ามีตรงไหนที่เราพูดอะไรผิดไป หรือทำให้ใครรู้สึกไม่ดี เราขออภัยมา ณ ที่นี้นะคะ และขอรับรองว่าเราเคยพบเจอเรื่องเหล่านี้มาจริงๆ และต้องการเป็นแนวทาง ข้อคิดให้กับคนที่กำลังเจอเรื่องคล้ายๆ กัน ในทุกๆ ฝ่าย
และที่สำคัญอยากให้ทุกคนรักษาสุขภาพกาย สุขภาพใจให้แข็งแกร่งนะคะ สิ่งใดทิ้งได้ก็อยากให้ทิ้งมันไป ถึงจะยากหน่อยแต่ก็เพื่อตัวเรา เพื่อใจของเรา และขอให้ทุกคนไม่เจอเรื่องร้ายๆ แบบเรานะคะ ใครเจอเรื่องแย่ๆ มา จับมือกันนะคะ เราคือเพื่อนกันค่ะ
ขอให้มีวันที่ดีนะคะ
Merry Christmas และสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าค่ะ
เลือกเพื่อนโปรเจคผิดชีวิตเปลี่ยน (ขออวยพรให้ทุกคนไม่ต้องมาเจอเรื่องราวแบบนี้นะคะ)
ตอนนี้เราใกล้จบมหาลัยแล้วค่ะ ชีวิตติดแหงกกับโปรเจคจบ หรือบางที่อาจเรียกว่าธีสิส เราเป็นคนนึงที่เลือกเส้นทางผิดอยู่บ่อยๆ (เริ่มตั้งแต่ชีวิตมหาลัย) แต่ก็ไม่เคยเป็นเด็กเกเร จนเสียผู้เสียคน กลับกันเราพยายามสู้กับสิ่งที่เลือก เพราะเรามันก็เลือกเอง ตลอดการเรียนเราสู้มาตลอดค่ะ เหนื่อยบ้าง ท้อบ้าง แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองก็ผ่านมาได้ทุกปี จนมาเจอกับปีสุดท้ายที่หนักสุดๆ
ต้องขอบอกว่าเราเป็นคนเลือกเองจริงๆ ก็ต้องยอมรับผลนั้นค่ะ ที่อยากให้มองเป็นแนวทางในเรื่องต่อไปนี้คือ 1.การเลือกสถานที่ฝึกงาน 2.เพื่อนที่จะไปกับเรา
ขอเริ่มที่เรื่องการฝึกงานก่อนเลยนะคะ
เราเลือกสถานที่เป็นอันดับแรก ดูความสะดวกสบายในการเดินทาง แต่ที่พลาดไปคือเรื่องของคนที่ไปฝึกด้วย เราไม่รู้จักคนที่จะไปกับเรา ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง พอถึงเวลาอยู่ด้วยกันจริงทำเอารู้สึกแย่ตลอดการฝึกงาน แต่ในความโชคร้ายก็ยังเจอคนดีๆ เรื่องนี้ก็ทำให้รู้ว่าสังคมในอนาคตคงเจอคนดีและไม่ดีเป็นธรรมดา เป็นไปได้ทุกคนก็คงอยากเลือกอยู่กับคนที่เราสบายใจ แต่สำหรับเราเราอาจจะโชคร้ายที่ต้องอยู่กับคนเหล่านั้นที่พ่นพิษใส่เกือบทุกวัน คนดีๆ ก็ได้เจอกันบ้างแต่ก็ดันอยู่คนละฝ่าย บางคนบอกให้เรามองเป็นประสบการณ์ ยอมรับว่าช่วงแรกยากที่จะมองย้อนกลับไป เพราะรู้สึกว่าตัวเองก็โดนมาหนักเอาเรื่องอยู่ แต่ถ้าตอนนี้ก็ได้เรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้เยอะขึ้น และสิ่งสำคัญที่สุดคือเราสามารถตัดคนเหล่านี้ออกจากชีวิตได้ ไม่โกรธไม่เกลียด แต่ก็ไม่คุยกันหรือคุยกันน้อยที่สุดคงจะดีกว่า อย่างน้อยสุขภาพจิตก็ดีขึ้น
ต่อมาเรื่องล่าสุดที่พบเจออโปรเจคจบหรือธีสิสนั่นเอง
เรื่องนี้แนวทางก็ไม่ต่างกันมาก คือ 1.เลือกคู่โปรเจค 2.เลือกอาจารย์ที่ปรึกษา/หัวข้อโปรเจค
ในส่วนนี้ต้องบอกเลยว่าการที่เราคิดว่าฝึกงานมันหนักแล้ว แต่สิ่งนี้มันหนักกว่าจริง ก็เหมือนเดิม คือต้องผ่านไปให้ได้ อย่างแรกที่อยากบอกเลยคือ เรามักจะได้ยินคนพูดกันว่าโปรเจคน่ะอย่าไปอยู่กับเพื่อนตัวเองหรือเพื่อนสนิทเลย ด้วยเหตุผลว่าจะทะเลาะกันแล้วเสียเพื่อนเปล่าๆ สำหรับเราขอค้านเรื่องนี้เลย แต่มันก็อาจจะจริงสำหรับบางคนหรือบางกลุ่ม แต่สำหรับเราการทำงานกับเพื่อนที่รู้ใจกัน เพื่อนสนิท เพื่อนในกลุ่ม มันทำให้ในแง่ของการทำงานมันคุยกันได้ราบรื่นกว่า มีอะไรก็คุยกันได้ เปิดใจคุยกันง่ายกว่า และที่สำคัญมันยังเชื่อมไปถึงตัวโปรเจคได้อีกว่า ต่อให้มันจะยากแค่ไหน ถ้าจับมือทำกับคนที่รู้ใจกัน มันผ่านไปได้ง่ายกว่าอยู่แล้ว ความเครียด ความกังวลก็อาจจะน้อยลง อย่างมากคงเครียดเรื่องตัวงาน แต่สุดท้ายก็ยังมีเพื่อนที่เข้าใจกัน แต่เราไม่เป็นอย่างงั้น เราดันไปเลือกทำกับคนที่ไม่รู้นิสัยใจคอมาก่อน จะให้นึกย้อนไปตอนเลือกก็คงพูดยาก เพราะสถานการณ์ตอนนั้นค่อนข้างบีบบังคับ มารู้ฤทธิ์ของคนคนนี้ก็ตอนที่ต้องมาทำงายด้วยกัน เราบอกได้เลยว่าฝึกงานนี่จิ๊บๆ ไปเลย เราเสียดายมากที่เอาตรงนั้นมาเป็นบทเรียนไม่ได้ ด้วยเหตุผลหลายประการที่พูดไปก็คงเจ็บใจเปล่าๆ เราต้องทนทุกข์กับคู่โปรเจค (เราขอไม่เรียกเพื่อนเพราะไม่จำเป็นต้องใช้คำนั้นถ้าไม่ได้รู้สึกว่าถึงคำว่าเพื่อนจริงๆ) คนที่คือคำตอบของประโยค “ร้อยพ่อพันแม่” ขออนุญาตไม่ก้าวล่วงไปมากกว่านี้ ประโยคนี้คงชัดเจนที่สุด ตลอดเวลาที่เรียนมาประโยคนี้ชัดเจนที่สุดก็ตอนทำโปรเจคนี่แหละ ให้เราเล่าถึงวีรกรรมที่คนคนนี้ทำก็คงเล่าได้อีกนาน เพราะนิสัยที่ไม่เคยปรับปรุง และมีแต่จะแย่ลงทุกวันๆ มันทวีคูณความแย่มากขี้นเรื่อยๆ ต่อให้วันนี้เราเล่าพฤติกรรมทุกอย่างของคนคนนี้ไปหมด พรุ่งนี้เขาก็จะมีพฤติกรรมแย่ๆ ออกใหม่มาเสมอ ก็ได้แต่คิดว่าคนแบบนี้ก็มี เราไม่อยากต่อเวรต่อกรรมกับเขาอีกแล้ว เราจะขอไม่ลงดีเทลสิ่งที่เขาทำนะคะ คิดว่าถ้าหลายคนได้รู้ก็อาจจะรับไม่ได้
เราเลยขอพูดเป็นแนวทางสำหรับคนที่ได้เข้ามาอ่านนะคะ
1.การเป็นคนดีมันอาจจะยากสำหรับบางคน แต่การเป็นคนที่มีมารยาทบางทีก็อาจจะง่ายกว่า จะลองมีมารยาทหน่อยก็เป็นเรื่องที่ดีนะคะ ฝึกฝนกันได้เรื่องแบบนี้
2.ทุกคนมีเรื่องให้เหนื่อยกันหมด นั่นหมายความว่าทุกคนก็ต้องการเวลาพักเป็นของตัวเอง เราคงไม่รู้ว่าแต่ละคนมีการพักผ่อนแบบไหน แต่คงไม่ยากที่จะรู้ว่าเวลาไหนไม่ควนจะรบกวนผู้อื่น เวลาดึกๆดื่นๆ คงไม่มีใครอยากสะดุ้งตื่น หรือต้องตื่นมานั่งเปิดคอมเพื่อจะคุยงานหรือส่งงาน นอกจากนั่นจะเป็นเวลางานของเขาอยู่แล้ว เช่น พี่ๆที่ทำกะดึกอะไรแบบนี้ ก็เข้าใจได้ค่ะ หรือเสาร์อาทิตย์เช่นกัน วันหยุดพักผ่อนก็คงไม่มีใครอยากทำงาน แต่เราก็ได้เห็นบ่อยๆ ว่าบางทีคนก็ทำงานนอกเวลางานเยอะมาก และก็อาจจะเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็อยากให้ฉุกคิดสำหรับบางคนที่ยังคิดไม่ได้ ถ้าสำคัญจริงก็คงจำเป็นต้องคุย แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาตอบคุณแล้ว คุณจะเสียมารยาทโดยการใช้เวลาพักผ่อนของเขานานๆ คิดกลับกันเป็นคุณก็คงไม่ชอบ
3. จะคุยงานต้องคุยให้เป็น บางคนโตแล้วแต่ก็ไม่รู้จักวิธีการพูดคุย ต้องการความช่วยเหลือแต่พูดไม่เป็น ไม่รู้จักวิธีการพูดให้คนอื่นเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองต้องการถาม แล้วแบบนี้ใครจะช่วยคุณได้ แน่นอนพอดขาช่วยคุณไม่ได้ สิ่งแรกที่คุณทำคงด่าเขาในใจว่าทำไมเขาถึงไม่ช่วยคุณ บางทีอาจะแก้ได้ง่ายโดยการกลับไปอ่านหรือทบทวนสิ่งที่พูดไปว่ามีคนเข้าใจแบบคุณไหม เราอยากให้ใครช่วยก็ต้องบอกให้เขาเข้าใจ ไม่งั้นใครจะช่วยคุณได้
4. ถ้ารู้สึกผิดก็ควรขอโทษอย่างจริงใจ และขอโทษจากใจจริง อย่าคิดว่าคนอื่นเขาจะไม่รับรู้ว่าคุณพูดไปเพราะอะไร คุณอาจจะพูดไปเพราะอยากให้เรื่องจบๆ หรือพูดไปเพราะกลัวไม่มีคนช่วยงาน อย่าลืมว่าคำขอโทษ ผู้รับสัมผัสมันได้ว่าคุณพูดออกมาเพราะอะไร
5. สุขภาพจิตสำคัญมาก ยิ่งกับคนที่เจอเรื่องหนักๆ ติดต่อกัน มันจะเริ่มจากการที่แม้แต่ตัวเราเองยังประเมินตัวเองไม่ได้ว่าตอนนี้เราเป็นอะไรอยู่ รู้สึกอะไร ดังนั้นการไปพบจิตแพทย์ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่กลับเป็นเรื่องดีๆ ที่อาจจะทำให้เราอยู่กับเรื่องหนักๆ นี้ได้อย่างสบายใจขึ้น และผ่านมันไปได้ด้วยจิตใจที่แข็งแกร่ง
6. คนเราพอโตแล้วก็เปลี่ยนยากเป็นธรรมดา โฟกัสที่ตัวเราเองเท่านั้นคงดีกว่าการเปลี่ยนที่คนอื่น
สุดท้ายนี้ถ้ามีตรงไหนที่เราพูดอะไรผิดไป หรือทำให้ใครรู้สึกไม่ดี เราขออภัยมา ณ ที่นี้นะคะ และขอรับรองว่าเราเคยพบเจอเรื่องเหล่านี้มาจริงๆ และต้องการเป็นแนวทาง ข้อคิดให้กับคนที่กำลังเจอเรื่องคล้ายๆ กัน ในทุกๆ ฝ่าย
และที่สำคัญอยากให้ทุกคนรักษาสุขภาพกาย สุขภาพใจให้แข็งแกร่งนะคะ สิ่งใดทิ้งได้ก็อยากให้ทิ้งมันไป ถึงจะยากหน่อยแต่ก็เพื่อตัวเรา เพื่อใจของเรา และขอให้ทุกคนไม่เจอเรื่องร้ายๆ แบบเรานะคะ ใครเจอเรื่องแย่ๆ มา จับมือกันนะคะ เราคือเพื่อนกันค่ะ
ขอให้มีวันที่ดีนะคะ
Merry Christmas และสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าค่ะ