3 ปีก่อนผมตัดสินใจ refinance คอนโดออกจากธนาคารแห่งหนึ่งมายัง ธอส. ด้วยอัตราดอกเบี้ย ณ ขณะนั้น ประกอบกับบริษัทที่ผมทำงานมีความร่วมร่วมมือกับ ธอส. อยู่ด้วย ทำให้การ refinance ครั้งนั้นถูกเปลี่ยนวิธีการชำระเงินงวดเดิมที่จ่ายเองมาเป็นการตัดเงินเดือนผ่านบริษัทโดยตรง ประมาณเดือนละ 17,000 บาท (มีสัญญาย่อย อีก 2 สัญญา สัญญาละ 300 รวม 600 บาท ซึ่งชำระด้วยตนเองต่างหาก)
ในระหว่าง 3 ปีที่ผ่านมา ผมเองน่าจะถือเป็นลูกค้าชั้นดีคนหนึ่ง คือ ไม่เคยชำระล่าช้า ไม่เคยผิดนัดชำระ หรือมีปัญหาเรื่องการชำระเงินใดๆ กับ ธอส. เลย
แต่เรื่องเกิดขึ้นช่วงสิ้นปีนี้ สัญญาผมจะครบรอบ 3 ปี ในวันที่ 30 ธันวาคม 2567 โดยหลังจากนี้ดอกเบี้ยจะปรับขึ้นเป็น MRR-1 พร้อมกับเงินงวดที่ปรับขึ้นอีกประมาณ 8,000 บาท (รวมโดยประมาณ 25,000 บาท)
ทีนี้จะเริ่มมีปัญหาในส่วนนี้แล้วครับ เนื่องจาก
1. หากหักเงินเดือนผมเพิ่ม 8,000 บาท หน้าสลิปจะเหลือเงินเดือนน้อยกว่า 30% ทำให้ผมไม่สามารถทำนิติกรรม โดยเฉพาะการกู้ได้ในอนาคต (อย่างน้อย 6 เดือน)
2. เหตุที่ผมต้องกังวลเรื่องสิทธิ์การกู้ เนื่องจากผมมีธุรกิจส่วนตัวด้วย ซึ่งต้องใช้เงินหมุนต่อเดือนประมาณ 100,000 บาท และในบางช่วงที่สภาพคล่องไม่เพียงพอ ก็จะมีการกู้จากสหกรณ์ออมทรัพย์ของที่ทำงาน หรือธนาคารอื่น เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจส่วนตัว
ผมค่อนข้างกังวลเลยติดต่อสอบถามทั้งจากทาง call center และสาขาสยามแสควร์วันที่เป็นสาขาเจ้าของสัญญาสินเชื่อ เพื่อขอ retention ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา โดยชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นในการขอทำเรื่องก่อนครบสัญญา 3 ปี (ให้ดอกเบี้ยลอยตัวปรับลดลงตั้งแต่งวดมกราคม 2568 ทันที่ โดยไม่ต้องลอยตัวและจ่ายค่างวดต่ำกว่า 8,000 บาท)
แต่สิ่งที่ผมได้คำตอบกลับมาคือ
1. ธนาคารทำอะไรให้ไม่ได้ เพราะต้องรอประกาศดอกเบี้ยและโปรโมชั่นอื่นๆ ของปี 2568 ก่อน และต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการ 30-45 วัน
2. กรณีของผมที่เงินเดือนหน้าซองต่ำกว่า 30% เป็นเรื่องของผมเอง ที่ต้องไปคุยกับทางบริษัทว่าจะจ่ายเองในเดือนมกราคม 2568 ได้หรือไม่ (ซึ่งคุยแล้วไม่ได้เนื่องจากบริษัทได้ส่งหนังสือผ่านสิทธิ์สวัสดิการไปยัง ธอส. แล้ว) และหากความเสี่ยงในการขาดสภาพคล่องจะเกิดขึ้น ก็เป็นเรื่องของผมเองอีกเช่นกันที่ต้องรับชะตากรรมไป
ผมได้รับคำตอบแบบนี้จากทั้ง call canter และพนักงานสาขา ซึ่งบอกตรงๆ ว่าผมไม่ประทับใจและจำฝังใจเลยครับ และผมตอบกลับพนักงานไปว่า
ผมเองน่าจะเป็นลูกค้าชั้นดีกับทางธนาคารมาโดยตลอด (แย่างที่บอกข้างต้น) แต่ในเวลาที่ผมของให้ธนาคารช่วยดำเนินการ เพื่อให้สภาพคล่องทางการเงินของผมและธุรกิจส่วนตัวดำเนินไปได้อย่างไม่มีปัญหา พนักงานในฐานะผู้แทน ธอส. กลับไม่ช่วยแม้แต่จะหาทางออกใดๆ และปล่อยให้ลูกค้าเผชิญความเสี่ยงนั้นเอง
และหากในที่สุด ผมเจอสภาวะความเสี่ยงนั้นแล้ว ผมก็มีความจำเป็นต้องผิดนัดชำระกับ ธอส. เพื่อนำเงินมารักษาสภาพคล่องของผมกับธรุกิจส่วนตัว ไม่เท่ากับว่าพยายามบีบให้ผมเป็นลูกค้าชั้นเลวเหรอครับ และกลับกัน ลูกค้ากลุ่มผิดนัดชำระ ประวัติไม่ดี กลับมีมาตรการช่วยเหลือเต็มไปหมด อย่างนี้ผมควรจะใช้บริการของ ธอส. ต่อไปยังไงดี
พนักงานตอบกลับมาแค่ว่า จะประสานเรื่องกับทางสาขาต่อให้ ซึ่งก็ไม่ผิดคาดเท่าไหร่ครับ
ท้ายที่สุด ผมอยากจะให้หลายๆ คนลองทบทวนดีๆ ครับหากจะเลือกใช้บริการกับ ธอส. นอกจากอัตราดอกเบี้ยแล้ว ควรคำนึงถึงประสิทธิภาพและการดำเนินการของธนาคารประกอบด้วยครับ จริงอยู่ที่เราเป็นลูกค้ารายย่อย ยอดสินเชื่ออาจจะไม่มาก ธนาคารคงไม่ได้มาสนใจลูกค้ารายย่อยอย่างเรามา แต่ในมุมมองของลูกค้ารายย่อย การไม่กระตือรือร้นของธนาคารในการช่วยแก้ไขปัญหา มันก็กระทบกับการดำเนินวิถีชีวิตของเราได้เช่นกันครับ
ใครคิดจะกู้ซื้อบ้าน/คอนโดกับ ธอส. คิดดีๆ นะครับ นี่คือสิ่งที่ผมเจอมา
ในระหว่าง 3 ปีที่ผ่านมา ผมเองน่าจะถือเป็นลูกค้าชั้นดีคนหนึ่ง คือ ไม่เคยชำระล่าช้า ไม่เคยผิดนัดชำระ หรือมีปัญหาเรื่องการชำระเงินใดๆ กับ ธอส. เลย
แต่เรื่องเกิดขึ้นช่วงสิ้นปีนี้ สัญญาผมจะครบรอบ 3 ปี ในวันที่ 30 ธันวาคม 2567 โดยหลังจากนี้ดอกเบี้ยจะปรับขึ้นเป็น MRR-1 พร้อมกับเงินงวดที่ปรับขึ้นอีกประมาณ 8,000 บาท (รวมโดยประมาณ 25,000 บาท)
ทีนี้จะเริ่มมีปัญหาในส่วนนี้แล้วครับ เนื่องจาก
1. หากหักเงินเดือนผมเพิ่ม 8,000 บาท หน้าสลิปจะเหลือเงินเดือนน้อยกว่า 30% ทำให้ผมไม่สามารถทำนิติกรรม โดยเฉพาะการกู้ได้ในอนาคต (อย่างน้อย 6 เดือน)
2. เหตุที่ผมต้องกังวลเรื่องสิทธิ์การกู้ เนื่องจากผมมีธุรกิจส่วนตัวด้วย ซึ่งต้องใช้เงินหมุนต่อเดือนประมาณ 100,000 บาท และในบางช่วงที่สภาพคล่องไม่เพียงพอ ก็จะมีการกู้จากสหกรณ์ออมทรัพย์ของที่ทำงาน หรือธนาคารอื่น เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจส่วนตัว
ผมค่อนข้างกังวลเลยติดต่อสอบถามทั้งจากทาง call center และสาขาสยามแสควร์วันที่เป็นสาขาเจ้าของสัญญาสินเชื่อ เพื่อขอ retention ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา โดยชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นในการขอทำเรื่องก่อนครบสัญญา 3 ปี (ให้ดอกเบี้ยลอยตัวปรับลดลงตั้งแต่งวดมกราคม 2568 ทันที่ โดยไม่ต้องลอยตัวและจ่ายค่างวดต่ำกว่า 8,000 บาท)
แต่สิ่งที่ผมได้คำตอบกลับมาคือ
1. ธนาคารทำอะไรให้ไม่ได้ เพราะต้องรอประกาศดอกเบี้ยและโปรโมชั่นอื่นๆ ของปี 2568 ก่อน และต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการ 30-45 วัน
2. กรณีของผมที่เงินเดือนหน้าซองต่ำกว่า 30% เป็นเรื่องของผมเอง ที่ต้องไปคุยกับทางบริษัทว่าจะจ่ายเองในเดือนมกราคม 2568 ได้หรือไม่ (ซึ่งคุยแล้วไม่ได้เนื่องจากบริษัทได้ส่งหนังสือผ่านสิทธิ์สวัสดิการไปยัง ธอส. แล้ว) และหากความเสี่ยงในการขาดสภาพคล่องจะเกิดขึ้น ก็เป็นเรื่องของผมเองอีกเช่นกันที่ต้องรับชะตากรรมไป
ผมได้รับคำตอบแบบนี้จากทั้ง call canter และพนักงานสาขา ซึ่งบอกตรงๆ ว่าผมไม่ประทับใจและจำฝังใจเลยครับ และผมตอบกลับพนักงานไปว่า
ผมเองน่าจะเป็นลูกค้าชั้นดีกับทางธนาคารมาโดยตลอด (แย่างที่บอกข้างต้น) แต่ในเวลาที่ผมของให้ธนาคารช่วยดำเนินการ เพื่อให้สภาพคล่องทางการเงินของผมและธุรกิจส่วนตัวดำเนินไปได้อย่างไม่มีปัญหา พนักงานในฐานะผู้แทน ธอส. กลับไม่ช่วยแม้แต่จะหาทางออกใดๆ และปล่อยให้ลูกค้าเผชิญความเสี่ยงนั้นเอง
และหากในที่สุด ผมเจอสภาวะความเสี่ยงนั้นแล้ว ผมก็มีความจำเป็นต้องผิดนัดชำระกับ ธอส. เพื่อนำเงินมารักษาสภาพคล่องของผมกับธรุกิจส่วนตัว ไม่เท่ากับว่าพยายามบีบให้ผมเป็นลูกค้าชั้นเลวเหรอครับ และกลับกัน ลูกค้ากลุ่มผิดนัดชำระ ประวัติไม่ดี กลับมีมาตรการช่วยเหลือเต็มไปหมด อย่างนี้ผมควรจะใช้บริการของ ธอส. ต่อไปยังไงดี
พนักงานตอบกลับมาแค่ว่า จะประสานเรื่องกับทางสาขาต่อให้ ซึ่งก็ไม่ผิดคาดเท่าไหร่ครับ
ท้ายที่สุด ผมอยากจะให้หลายๆ คนลองทบทวนดีๆ ครับหากจะเลือกใช้บริการกับ ธอส. นอกจากอัตราดอกเบี้ยแล้ว ควรคำนึงถึงประสิทธิภาพและการดำเนินการของธนาคารประกอบด้วยครับ จริงอยู่ที่เราเป็นลูกค้ารายย่อย ยอดสินเชื่ออาจจะไม่มาก ธนาคารคงไม่ได้มาสนใจลูกค้ารายย่อยอย่างเรามา แต่ในมุมมองของลูกค้ารายย่อย การไม่กระตือรือร้นของธนาคารในการช่วยแก้ไขปัญหา มันก็กระทบกับการดำเนินวิถีชีวิตของเราได้เช่นกันครับ