สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยชิลๆ เรื่องที่เราทำมาได้ เข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว นั่นก็คือ การเปิดร้านขายของชำในสิงคโปร์
ก่อนอื่นเลย เริ่มจากไปทำธุรกิจที่สิงคโปร์บ่อย แล้วได้เข้าร้านขายของชำบ่อยมาก แม้กระทั่งเซเว่น ด้วยค่าเงินเค้าแหละ ทำให้มองเห็นกำไรเยอะแยะไปหมดจากธุรกิจนี้ หลักๆ เลยคือนิสัยส่วนตัว ชอบดื่มน้ำอัดลม และ ผลไม้แปรรูป (เช่นพวกผลไม้อบแห้ง) ก็เลยมักจะซื้อของพวกนี้จากร้านขายของชำท้องถิ่น และ 7-11 มาเป็นประจำ สังเกตุว่า ร้านที่เราไปซื้อ ขายดีนะ ซื้อวันนี้ พรุ่งนี้จะซื้อซ้ำ หมดละ สินค้าพวกนี้ติดฉลากไทย และ ก็จีน สัดส่วนเยอะพอๆ กัน
ก็เลยคิดว่า อยากเปิดร้านดูบ้าง ศึกษากฏหมายสิงคโปร์ในการเปิดร้านขายของชำอยู่พักนึง ได้ความว่า หากเป็นร้านที่มีตู้แช่ จะมีการตรวจเชื้อราอยู่บ่อยๆ และต้องมีสถานที่เก็บสต๊อกสินค้าที่ได้มาตรฐาน ไอ้เราก็ไม่ค่อยเชี่ยวชาญกฏหมายบ้านเมืองเค้า ก็ใช้งานบริษัท start up ไปเลยค่ะ
บริษัท Start up นำสถานที่ทำเลมาให้เราเลือก อยู่ 5-6 แห่ง พร้อมตัวเลือกเรื่องราคาค่าเช่า ซึ่งเค้าออกตัวก่อนเลยว่า จะเช่าอะไรก็ตามในสิงคโปร์ ต้องเดินเรื่องอย่างต่ำ 4-6 เดือนนะ เราก็โอเค ไม่เป็นไรไม่รีบ อยากจะใช้เงินเก็บบางส่วนที่นอนอยู่เฉยๆ ลงทุนดูสักหน่อย
ก็เลือกทำเลมาที่นึง นั่นก็คือ เกลังค่ะ เพราะ เกลัง นักท่องเที่ยวระดับล่างๆ อยู่เยอะ คนอินเดียอยู่เยอะ (ละคนอินเดียเป็นไรไม่รู้ชอบกินผลไม้มาก) คนไทยก็อยู่เยอะ รร ขนาดเล็ก แบบรายวัน ราย ชม ม่านรูด บลาๆ เยอะมาก ในทุกซอย และร้านนี้ที่เราเลือกก็อยู่หน้าซอยริมถนนใหญ่ เงินค่าเช่า ก็ไม่แพงมาก คำนวนแล้วพอไหว อาคารเป็นห้องแถวชั้นเดียวในส่วนที่เราเช่า แต่ตัวอาคารด้านบนจะเป็น อพาร์ทเม้นท์และ รร เราเช่าแค่ส่วนห้องสตูดิโอด้านล่างเท่านั้น สนนราคาสู้ได้ เราก็เลยตกลงทำสัญญาค่ะ ต้องวางเงิน 1 ปี สำหรับค่าเช่านะคะ
จากนั้น ก็เริ่ม รีโนเวทร้านค่ะ เนื่องจากเวลาไปสิงคโปร์ เราจะพักที่ MBS เป็นประจำ เราจึงไม่เคยไปเกลังเลย (start up บอกว่าคนเข้าร้านน่าจะแทบตลอดเวลา ไม่มีช่วงเงียบ เปิดร้านได้ถึงเที่ยงคืนเลย เค้าแนะนำ) เราเลยตกลงเลือกที่นี่ เลยไปสำรวจย่านนั้นสักหน่อย สังเกตว่า ของใน 7-11 จะแพงกว่า ร้านขายของชำที่อยู่ติดกัน ประมาณ 1-3 เหรียญ เช่นโค้ก ร้านขายของชำจะขายอยู่ที่ 2.75 เหรียญ 7-11 จะขายอยู่ที่ 3.14 เหรียญ มาม่าจากไทย ประมาณ 4-5 เหรียญในร้านขายของชำ แต่ 7-11 ขายประมาณ 7-8 เหรียญ บางอย่างก็ราคาห่างมาก เช่นเลย์ บางอย่างก็ราคาห่างกันน้อย เช่นนม เครื่องดื่ม
แต่สิ่งนึงที่ราคาโดดมากๆ ก็คือผลไม้อบแห้ง ผลไม้ประเภทแปรรูป มะม่วง มะละกอ ต่างๆ นานา ในร้านขายของชำอยู่ที่ 13-15 เหรียญ แต่ 7-11 ขายอยู่ที่ 17-20 เหรียญ ซึ่งสินค้าหลายๆ ชิ้น ติดสลากไทย เป็นสินค้าประเภท 3 ถุง 100 บาทเรา เท่ากับต้นทุน ถุงละ 35 บาท แต่ขายกัน 2-300 บาท กำไรเยอะทีเดียวเลยแหละ
ระหว่าง รีโนเวทร้านก็มาว่ากันเรื่องสต๊อก และแรงงานค่ะ แรงงานนี่ต้องมาจาก manpower ของเค้าเท่านั้น ซึ่งมีให้เลือกแค่แรงงานสิงคโปร์ แรงงานมาเลเซีย และ เกาหลีใต้ (ไม่มีแรงงานไทย) เราก็ต้องตามนั้นไปค่ะ start up บอกว่าเมื่อเราทำธุรกิจเข้าเกณฑ์ เราก็จะสามารถจ้างรายงานไทยในลิสต์ของ manpower ได้ ส่วนเรื่องสต๊อก เราเลือก warehouse ที่นึงใกล้ port รถไฟ เพราะตั้งใจว่าจะนำสินค้าขนส่งมาจากไทยทางรถไฟ (ลดต้นทุน) ซึ่งบริษัท start up ก็จัดการหาสถานที่มาให้เช่า เราก็แค่เลือกและทำสัญญาไปเท่าๆ กับระยะเวลาเช่าร้าน warehouse ที่เช่านี้จะมีรถขนส่งจากรถไฟไปที่ warehouse และมีรถนำมาส่งที่ร้านให้เลยจบ ทำให้สะดวกมากๆ เลยทีเดียว
กลับมาที่ร้านต่อ ทำร้านกันต่อค่ะ เราเลือกตกแต่งร้านแบบ open air นะคะ ไม่มีประตูกระจกเปิดปิดเข้าออก จึงไม่ต้องใช้ประตูอัตโนมัติ และคนเข้าออกสะดวก เข้าร้านได้ทั้งวัน เวลาคนเยอะๆ ก็สะดวกดี ติดกล้องวงจรปิดทั่วร้าน กฏหมายสิงคโปร์แรง คนไม่ค่อยกล้าขโมย ส่วนมากถ้าขโมย จะเป็นนักท่องเที่ยวที่ย่ามใจมากกว่าค่ะ ใช้เวลารวมทั้งเอกสารและเตรียมสต๊อคต่างๆ รวมแรงงานคน รีโนเวทร้าน 4 เดือน ร้านพร้อมเปิดแล้วค่ะ มาดูผลกำไร เพราะเราสนุกกับผลกำไรมากๆ เลยค่ะ
สินค้าเราสั่งจากหาดใหญ่เป็นหลักเลยค่ะ โดยมากที่ซื้อแน่ๆ ก็เครื่องดื่ม โค้ก นม พวกแลคตาซอย พวกนี้ เช่นแลคตาซอยกล่องละ 15 บาท เราขาย 2.4 เหรียญ ก็ 70 กว่าบาท โค้กกระป๋องละ 15 บาท เราขาย 3.4 เหรียญ ก็ 90+
สิ่งที่ชอบมาก และทำกำไรให้มากๆ คือผลไม้อบแห้ง ซื้อแบบ 3 ถุงร้อย พวกของฝากอ่ะค่ะ หรือจะเป็นแพคเกจแบบไหนก็ได้ แต่มัน 3 อัน 100 ไง แต่เราขายอันละ 5-7 เหรียญ แล้วแต่ขนาด บางอันขนาดใหญ่ ก็ขาย10-15 เหรียญ ก็มี ก็ตกราวๆ อันละ 120-170 บาท ถ้าอันใหญ่ ก็ตกอันละ 250-350 บาท
กำไรจากผลไม้อบแห้ง หรือของ 3 ถุงร้อย บอกเลยว่า เยอะมาก แล้วยังขายดีชนิดที่ ต้องเติมสต๊อค อาทิตย์ละ 3 วันค่ะ วางเท่าไหร่ก็หมด
คนจะเดินเข้าออกทั้งวัน ตั้งแต่ 7 โมงเช้า ถึงเที่ยงคืน ยังไม่นับรวมพวกมาม่า มาม่าคัพ เลย์ มันฝรั่ง ขนมนำเข้าจากจีน เครื่องดื่มจากจีน (ซึ่งพวกนี้เราซื้อจากหาดใหญ่นะ) ถ้าใครชอบการค้าขาย บอกเลยว่า ค้าขายที่สิงคโปร์สนุกมาก เรายังไม่ได้ไปเล่นตลาดพวกสินค้าไทยยอดนิยมนะคะ เช่นเครื่องปรุงไทย ยาดมไทย อะไรพวกนั้น ยังไม่ได้จับรายการพวกนั้นเลย เพราะมีคนไทย และแหล่งขายของของคนไทยเดิม เช่น golden mind ซึ่งตอนนี้ย้ายมาอยู่แถวเกลังเหมือนกัน เป็นห้างใหม่ ขายสินค้าไทยอย่างเดียว เต็มไปหมด เป็น super market ใหญ่มาก เราเลยยังไม่จับของพวกนั้นเลยค่ะ และที่ร้านมีแต่สินค้าของกินและของใช้นิดหน่อย คล้ายๆ เซเว่น มีพวกสบู่ ยาสระผมนิดหน่อย เราก็เอาของจีนของไทยปนกันไป ขายดีมากๆ ค่ะ
เราไม่มีของสด เช่นขนมปังสด หรือกล้วยหอมสด หรืออะไรพวกนั้น เลยทำให้การตรวจการของรัฐ ไม่ยุ่งยากอะไรเลย เรามีแค่ตู้แช่เครื่องดื่มค่ะ
กำไรตกเดือนละเกิน 10 ล้านบาทค่ะ พูดได้เลยว่า บางเดือนก็เกินไปเยอะมาก บางเดือนก็เกินไปนิดหน่อย แต่ถึง 10 ล้านทุกเดือน (กำไรอย่างเดียวนะ)
กับร้านเล็กๆ ล็อคเดียวแค่นี้ ลองมองเป็นทางเลือกดูนะคะ ในเรื่องส่วนต่างค่าเงิน และความนิยมในสินค้าไทย ทำให้พวกเราสามารถหากำไรจากช่องทางแบบนี้ได้อย่างสบายๆ เลยค่ะ
ปัจจุบันเราได้ work permit แบบผู้ประกอบการค่ะ ซึ่งตรงนี้ start up ทำให้ ก็เข้าออกสิงคโปร์สบายๆ ค่ะ เปิดบัญชีธนาคาร เปิดบัญชีบริษัทได้ตามปรกติเลยค่ะ ในเรื่องของการจดทะเบียนบริษัท ที่ต้องมีสิงคโปร์นอมินี 1 คน start up เค้าทำให้หมด มีสัญญากันค่ะ เริ่มต้นได้ง่ายมาก คุยกันชิลๆ ถามได้นะคะ
เพราะตอนนี้ แทบจะกลายเป็นคนสิงคโปร์ไปแล้วค่ะ
เปิดร้านขายของชำที่สิงคโปร์ กำไรเยอะขนาดไหนมาดูกันค่ะ
ก่อนอื่นเลย เริ่มจากไปทำธุรกิจที่สิงคโปร์บ่อย แล้วได้เข้าร้านขายของชำบ่อยมาก แม้กระทั่งเซเว่น ด้วยค่าเงินเค้าแหละ ทำให้มองเห็นกำไรเยอะแยะไปหมดจากธุรกิจนี้ หลักๆ เลยคือนิสัยส่วนตัว ชอบดื่มน้ำอัดลม และ ผลไม้แปรรูป (เช่นพวกผลไม้อบแห้ง) ก็เลยมักจะซื้อของพวกนี้จากร้านขายของชำท้องถิ่น และ 7-11 มาเป็นประจำ สังเกตุว่า ร้านที่เราไปซื้อ ขายดีนะ ซื้อวันนี้ พรุ่งนี้จะซื้อซ้ำ หมดละ สินค้าพวกนี้ติดฉลากไทย และ ก็จีน สัดส่วนเยอะพอๆ กัน
ก็เลยคิดว่า อยากเปิดร้านดูบ้าง ศึกษากฏหมายสิงคโปร์ในการเปิดร้านขายของชำอยู่พักนึง ได้ความว่า หากเป็นร้านที่มีตู้แช่ จะมีการตรวจเชื้อราอยู่บ่อยๆ และต้องมีสถานที่เก็บสต๊อกสินค้าที่ได้มาตรฐาน ไอ้เราก็ไม่ค่อยเชี่ยวชาญกฏหมายบ้านเมืองเค้า ก็ใช้งานบริษัท start up ไปเลยค่ะ
บริษัท Start up นำสถานที่ทำเลมาให้เราเลือก อยู่ 5-6 แห่ง พร้อมตัวเลือกเรื่องราคาค่าเช่า ซึ่งเค้าออกตัวก่อนเลยว่า จะเช่าอะไรก็ตามในสิงคโปร์ ต้องเดินเรื่องอย่างต่ำ 4-6 เดือนนะ เราก็โอเค ไม่เป็นไรไม่รีบ อยากจะใช้เงินเก็บบางส่วนที่นอนอยู่เฉยๆ ลงทุนดูสักหน่อย
ก็เลือกทำเลมาที่นึง นั่นก็คือ เกลังค่ะ เพราะ เกลัง นักท่องเที่ยวระดับล่างๆ อยู่เยอะ คนอินเดียอยู่เยอะ (ละคนอินเดียเป็นไรไม่รู้ชอบกินผลไม้มาก) คนไทยก็อยู่เยอะ รร ขนาดเล็ก แบบรายวัน ราย ชม ม่านรูด บลาๆ เยอะมาก ในทุกซอย และร้านนี้ที่เราเลือกก็อยู่หน้าซอยริมถนนใหญ่ เงินค่าเช่า ก็ไม่แพงมาก คำนวนแล้วพอไหว อาคารเป็นห้องแถวชั้นเดียวในส่วนที่เราเช่า แต่ตัวอาคารด้านบนจะเป็น อพาร์ทเม้นท์และ รร เราเช่าแค่ส่วนห้องสตูดิโอด้านล่างเท่านั้น สนนราคาสู้ได้ เราก็เลยตกลงทำสัญญาค่ะ ต้องวางเงิน 1 ปี สำหรับค่าเช่านะคะ
จากนั้น ก็เริ่ม รีโนเวทร้านค่ะ เนื่องจากเวลาไปสิงคโปร์ เราจะพักที่ MBS เป็นประจำ เราจึงไม่เคยไปเกลังเลย (start up บอกว่าคนเข้าร้านน่าจะแทบตลอดเวลา ไม่มีช่วงเงียบ เปิดร้านได้ถึงเที่ยงคืนเลย เค้าแนะนำ) เราเลยตกลงเลือกที่นี่ เลยไปสำรวจย่านนั้นสักหน่อย สังเกตว่า ของใน 7-11 จะแพงกว่า ร้านขายของชำที่อยู่ติดกัน ประมาณ 1-3 เหรียญ เช่นโค้ก ร้านขายของชำจะขายอยู่ที่ 2.75 เหรียญ 7-11 จะขายอยู่ที่ 3.14 เหรียญ มาม่าจากไทย ประมาณ 4-5 เหรียญในร้านขายของชำ แต่ 7-11 ขายประมาณ 7-8 เหรียญ บางอย่างก็ราคาห่างมาก เช่นเลย์ บางอย่างก็ราคาห่างกันน้อย เช่นนม เครื่องดื่ม
แต่สิ่งนึงที่ราคาโดดมากๆ ก็คือผลไม้อบแห้ง ผลไม้ประเภทแปรรูป มะม่วง มะละกอ ต่างๆ นานา ในร้านขายของชำอยู่ที่ 13-15 เหรียญ แต่ 7-11 ขายอยู่ที่ 17-20 เหรียญ ซึ่งสินค้าหลายๆ ชิ้น ติดสลากไทย เป็นสินค้าประเภท 3 ถุง 100 บาทเรา เท่ากับต้นทุน ถุงละ 35 บาท แต่ขายกัน 2-300 บาท กำไรเยอะทีเดียวเลยแหละ
ระหว่าง รีโนเวทร้านก็มาว่ากันเรื่องสต๊อก และแรงงานค่ะ แรงงานนี่ต้องมาจาก manpower ของเค้าเท่านั้น ซึ่งมีให้เลือกแค่แรงงานสิงคโปร์ แรงงานมาเลเซีย และ เกาหลีใต้ (ไม่มีแรงงานไทย) เราก็ต้องตามนั้นไปค่ะ start up บอกว่าเมื่อเราทำธุรกิจเข้าเกณฑ์ เราก็จะสามารถจ้างรายงานไทยในลิสต์ของ manpower ได้ ส่วนเรื่องสต๊อก เราเลือก warehouse ที่นึงใกล้ port รถไฟ เพราะตั้งใจว่าจะนำสินค้าขนส่งมาจากไทยทางรถไฟ (ลดต้นทุน) ซึ่งบริษัท start up ก็จัดการหาสถานที่มาให้เช่า เราก็แค่เลือกและทำสัญญาไปเท่าๆ กับระยะเวลาเช่าร้าน warehouse ที่เช่านี้จะมีรถขนส่งจากรถไฟไปที่ warehouse และมีรถนำมาส่งที่ร้านให้เลยจบ ทำให้สะดวกมากๆ เลยทีเดียว
กลับมาที่ร้านต่อ ทำร้านกันต่อค่ะ เราเลือกตกแต่งร้านแบบ open air นะคะ ไม่มีประตูกระจกเปิดปิดเข้าออก จึงไม่ต้องใช้ประตูอัตโนมัติ และคนเข้าออกสะดวก เข้าร้านได้ทั้งวัน เวลาคนเยอะๆ ก็สะดวกดี ติดกล้องวงจรปิดทั่วร้าน กฏหมายสิงคโปร์แรง คนไม่ค่อยกล้าขโมย ส่วนมากถ้าขโมย จะเป็นนักท่องเที่ยวที่ย่ามใจมากกว่าค่ะ ใช้เวลารวมทั้งเอกสารและเตรียมสต๊อคต่างๆ รวมแรงงานคน รีโนเวทร้าน 4 เดือน ร้านพร้อมเปิดแล้วค่ะ มาดูผลกำไร เพราะเราสนุกกับผลกำไรมากๆ เลยค่ะ
สินค้าเราสั่งจากหาดใหญ่เป็นหลักเลยค่ะ โดยมากที่ซื้อแน่ๆ ก็เครื่องดื่ม โค้ก นม พวกแลคตาซอย พวกนี้ เช่นแลคตาซอยกล่องละ 15 บาท เราขาย 2.4 เหรียญ ก็ 70 กว่าบาท โค้กกระป๋องละ 15 บาท เราขาย 3.4 เหรียญ ก็ 90+
สิ่งที่ชอบมาก และทำกำไรให้มากๆ คือผลไม้อบแห้ง ซื้อแบบ 3 ถุงร้อย พวกของฝากอ่ะค่ะ หรือจะเป็นแพคเกจแบบไหนก็ได้ แต่มัน 3 อัน 100 ไง แต่เราขายอันละ 5-7 เหรียญ แล้วแต่ขนาด บางอันขนาดใหญ่ ก็ขาย10-15 เหรียญ ก็มี ก็ตกราวๆ อันละ 120-170 บาท ถ้าอันใหญ่ ก็ตกอันละ 250-350 บาท
กำไรจากผลไม้อบแห้ง หรือของ 3 ถุงร้อย บอกเลยว่า เยอะมาก แล้วยังขายดีชนิดที่ ต้องเติมสต๊อค อาทิตย์ละ 3 วันค่ะ วางเท่าไหร่ก็หมด
คนจะเดินเข้าออกทั้งวัน ตั้งแต่ 7 โมงเช้า ถึงเที่ยงคืน ยังไม่นับรวมพวกมาม่า มาม่าคัพ เลย์ มันฝรั่ง ขนมนำเข้าจากจีน เครื่องดื่มจากจีน (ซึ่งพวกนี้เราซื้อจากหาดใหญ่นะ) ถ้าใครชอบการค้าขาย บอกเลยว่า ค้าขายที่สิงคโปร์สนุกมาก เรายังไม่ได้ไปเล่นตลาดพวกสินค้าไทยยอดนิยมนะคะ เช่นเครื่องปรุงไทย ยาดมไทย อะไรพวกนั้น ยังไม่ได้จับรายการพวกนั้นเลย เพราะมีคนไทย และแหล่งขายของของคนไทยเดิม เช่น golden mind ซึ่งตอนนี้ย้ายมาอยู่แถวเกลังเหมือนกัน เป็นห้างใหม่ ขายสินค้าไทยอย่างเดียว เต็มไปหมด เป็น super market ใหญ่มาก เราเลยยังไม่จับของพวกนั้นเลยค่ะ และที่ร้านมีแต่สินค้าของกินและของใช้นิดหน่อย คล้ายๆ เซเว่น มีพวกสบู่ ยาสระผมนิดหน่อย เราก็เอาของจีนของไทยปนกันไป ขายดีมากๆ ค่ะ
เราไม่มีของสด เช่นขนมปังสด หรือกล้วยหอมสด หรืออะไรพวกนั้น เลยทำให้การตรวจการของรัฐ ไม่ยุ่งยากอะไรเลย เรามีแค่ตู้แช่เครื่องดื่มค่ะ
กำไรตกเดือนละเกิน 10 ล้านบาทค่ะ พูดได้เลยว่า บางเดือนก็เกินไปเยอะมาก บางเดือนก็เกินไปนิดหน่อย แต่ถึง 10 ล้านทุกเดือน (กำไรอย่างเดียวนะ)
กับร้านเล็กๆ ล็อคเดียวแค่นี้ ลองมองเป็นทางเลือกดูนะคะ ในเรื่องส่วนต่างค่าเงิน และความนิยมในสินค้าไทย ทำให้พวกเราสามารถหากำไรจากช่องทางแบบนี้ได้อย่างสบายๆ เลยค่ะ
ปัจจุบันเราได้ work permit แบบผู้ประกอบการค่ะ ซึ่งตรงนี้ start up ทำให้ ก็เข้าออกสิงคโปร์สบายๆ ค่ะ เปิดบัญชีธนาคาร เปิดบัญชีบริษัทได้ตามปรกติเลยค่ะ ในเรื่องของการจดทะเบียนบริษัท ที่ต้องมีสิงคโปร์นอมินี 1 คน start up เค้าทำให้หมด มีสัญญากันค่ะ เริ่มต้นได้ง่ายมาก คุยกันชิลๆ ถามได้นะคะ
เพราะตอนนี้ แทบจะกลายเป็นคนสิงคโปร์ไปแล้วค่ะ