ใครที่กำลังสนใจเบื้องหลังการทำงานสาย UX/UI Designer กระทู้นี้ JobThai Tips จะพาไปคุยกับคุณนน สรรพวิชญ์ ศิริผล Senior Designer ของบริษัท Beacon Interface บริษัทในกลุ่มของ KASIKORN Business – Technology Group หรือ KBTG นั่นเอง
ดูสัมภาษณ์คุณนนแบบเต็ม ๆ ได้ที่นี่ >
คลิก <
UX/UI คืออะไร แต่ละตำแหน่งของสายงาน UX/UI เขาทำอะไรกันบ้าง
ต้องเล่าย้อนไปก่อน ตอนที่ทำเว็บไซต์ ใช้คำว่าดีไซน์ที่เป็นเว็บไซต์อยู่ เราก็จะเรียกกันว่า Web Design ทีนี้พอมี Mobile App คนที่เป็น Designer ก็มักจะทำได้ทั้งเว็บไซต์ และ Mobile App ด้วย มันเลยเริ่มมีคำว่า UI Designer มา ด้วยความที่ Mobile App มันพัฒนาค่อนข้างง่าย คือพอออกแบบเสร็จแล้วก็ส่งให้ Developer แล้วก็สร้างแอปฯ ออกมา แอปฯ มันก็จะเริ่มเยอะขึ้น แต่สิ่งที่คิดส่วนใหญ่มันมักไม่ได้ถามคนที่ใช้งานจริง ๆ แถมกว่าที่จะออกมาเป็น Prototype จับต้องได้จริง มันจะต้องเป็นแอปฯ ที่พัฒนาออกมาแล้ว มันเสียเวลาขั้นตอนนานมาก แล้วพอออกมาเยอะ ๆ เข้า User ทั่วไปเขาก็จะเลือกใช้ไม่ถูกแล้ว ว่าจะลงอะไร อันนี้ก็เคยมีแล้ว นั่นก็มีมาใหม่ ก็ต้องเอาโปรโมชันมาถล่มกัน ทีนี้มันก็เลยเป็นที่มาว่า ทำไมเราไม่มีใครที่สามารถไปคุยกับ User ได้ก่อน เพื่อให้รู้ถึงสิ่งที่ User ต้องการจริง ๆ หรือชีวิตเขามีปัญหาอะไรอยู่ในชีวิตประจำวัน เราจะได้เอา Mobile App หรือแพลตฟอร์มที่เราออกแบบไปตอบโจทย์เขาตรงนั้น
อย่างทีม Beacon Interface ของเรา มันก็จะมี UX Researcher ถัดมาของเราจะแยกเป็น Visual Designer ที่ดูเรื่องการออกแบบสื่อสารในรูปแบบของภาพ แล้วก็จะมี UX Writer ซึ่ง UX Writer ของเราไม่ได้ดูแค่ข้อความตอนที่ทำ UI/UX Writer เราเข้าไปจับตั้งแต่ตอนที่ทีม Visual Designer เริ่มออกแบบความสวยงาม รูปร่างหน้าตา แล้วก็สิ่งที่อยากสื่อสารออกมาในรูปแบบของภาพ ส่วน UX Writer เองก็จะเข้าไปดูเรื่องของ Brand Personality ว่าเราจะใช้ข้อความยังไงเพื่อสื่อ Brand Personality ให้ตรงกับที่ Visual Designer ออกแบบมา UX Writer ก็จะประกบตั้งแต่ตอนนั้นเลย ทีนี้พอไปถึงฝั่งที่เป็น UX/UI Designer มันจะเป็นขั้นตอนหลังจากที่ทีม Visual Designer และทีม UX Writer สรุปผลและทำข้อมูลออกมาระดับหนึ่งแล้ว ก็จะส่งมาถึง UX/UI Designer เพื่อสร้างฟีเจอร์ เอามาแตกเป็นฟีเจอร์ตามที่ธุรกิจต้องการ
UX กับ UI Designer ทำงานแตกต่างกันยังไง
จริง ๆ แล้วก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะเป็น UX/UI Designer ที่เมืองไทยพยายามแยก UX Designer ออกมาจาก UI Designer เพราะว่าคนที่เป็น UI Designer ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ พอต้องถูกจับไปคุยกับ User เขาก็จะอึกอัก พูดไม่ถูก มันจะมี Designer ไม่กี่คนหรอกที่เป็น Extrovert อยากคุยกับ User บุคคลกลุ่มนั้นเขาก็จะผันตัวมาเป็น UX Designer เพราะการเป็น UX Designer มันมีขั้นตอนหลายอย่างมาก ตั้งแต่การสัมภาษณ์ ถัดมาต้องเช็กว่าคู่แข่งของแพลตฟอร์มที่เราอาจจะต้องทำแข่งกับเขามีอะไรอยู่บ้าง แล้วก็ต้องเอาข้อมูลนั้นมาวิเคราะห์ ซึ่งส่วนนี้คนที่เป็น Designer มักจะไม่ค่อยชอบข้อมูล กลายเป็นว่าคนที่ทำงานสาย UX ก็จะเริ่มมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น แล้วก็ต้องมีขั้นตอนมากขึ้นเพื่อให้ได้ข้อมูลจาก User ที่ถูกต้อง พอขั้นตอนมันเริ่มเยอะขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือ ถ้าให้ UI Designer นั่งรอให้ UX Designer ทำงานเสร็จ ในการทำงานของสาย IT ก็จะเรียกว่า Waterfall มันก็จะไหลไปเรื่อย ๆ มันก็เสียเวลาอยู่นาน แต่ธุรกิจไม่เคยให้เวลาที่เป็นไปได้จริง ๆ กับเรา สิ่งที่ตามมาก็คือเราจะทำยังไงให้คนที่เป็น UI Designer สามารถช่วยลดขั้นตอนของ UX Designer หรือเข้ามาร่วมกับ UX Designer ได้ ฉะนั้นมันจะมีขั้นตอนบางอย่าง เช่น ตอนที่ลงไปสัมภาษณ์ อาจจะมี UX Designer นำ หรือ UX Researcher ช่วยนำ แล้ว UI Designer เข้าไปช่วย ช่วยจดหรือถ้ามีคำถามอะไรที่สงสัยก็ถาม กลายเป็นว่าเดี๋ยวนี้ตำแหน่ง UI Designer ก็เลยต้องมีคำว่า UX เพิ่มเข้ามาด้วย เพื่อให้สามารถเข้าไปประกบและช่วยทำงานบางอย่าง เพื่อให้ขั้นตอนมันเร็วขึ้น
อย่างที่ Beacon Interface เรามีจำนวน Designer ค่อนข้างเยอะ ฉะนั้น UX/UI Designer เราสามารถลงไปใน 1 โปรเจกต์ ถ้ามีทั้งเว็บและแอปฯ เราก็จะแยกส่วนดูแล อาจจะเป็น Designer 1 คนดูเว็บไซต์ แล้วก็อีกสัก 2 คนดู Mobile App เพราะว่า Mobile App บางครั้งมันจะมีข้อจำกัดหลาย ๆ อย่าง เวลาทำ UI Screen เราจะต้องส่งต่อไปให้ iOS Developer และ Android Developer เพราะ iOS ก็จะเป็นScreen ขนาดหนึ่ง บน Android ก็จะมีอีกขนาดหนึ่ง เพื่อให้ Developer สามารถสเกลไปได้หลากหลายของ Android
งาน UX/UI Designer ต้องมี Hard Skills และ Soft Skills อะไรบ้าง
Hard Skills หลักของ UX/UI Designer ก็คือ คุณต้องเข้าใจพื้นฐานในการออกแบบ UI อันนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก คุณต้องรู้ว่าเว็บไซต์ ณ ปัจจุบันมีการออกแบบเป็น Responsive Design มีการสเกล Break Point เท่าไหร่ที่เหมาะสม รวมถึงถ้าเป็น Mobile App มีเทคโนโลยีอะไรบ้างที่ต้องทำ เช่น เราเรียกว่า Native App ก็จะมี iOS และ Android หรือถ้าเป็น Hybrid ก็จะเป็น Flutter แล้วก็ควรจะเข้าใจว่าเวลาที่เราออกแบบ UI เสร็จแล้ว จะมีการสื่อสารไปถึง Developer ยังไง มีการส่งงานให้ Developer ด้วยรูปแบบไหนที่ทำให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด อันนี้เป็น Hard Skills หลักที่เวลาเรามองหาคน เราจะสังเกตประมาณ 3 เรื่องนี้
ทีนี้หลังจากที่มี Hard Skills แล้ว ส่วนของ Tools ก็ต้องเกี่ยวข้องกันไป อย่างทีมเราเองก็จะใช้ Figma ถ้าเป็น Mobile App เราจะพบว่าเครื่องมืออย่าง Zeplin มันช่วยส่งต่อไปยัง Mobile App ได้ง่ายกว่า Developer สามารถเอาไปจัดการต่อได้เลยโดยที่ไม่ต้องมาขออะไรเพิ่มหลาย ๆ อย่าง หรือถ้าต้องมีการทำ Screen Flow เราสามารถจบใน Figma ได้ไหม หรือว่าอาจจะต้องใช้ Tools อื่น ๆ เสริม อันนี้ก็แล้วแต่คนถนัด
สำหรับ Soft Skills ที่สำคัญที่สุดคือทักษะเรื่องการสื่อสาร มี Soft Skills ในการสื่อสารเพื่อลงไปพูดคุยหรืออย่างน้อยลงไปช่วยถามคำถามอะไรบ้างที่เราฟังแล้วรู้สึกสงสัย เผื่อมันจะช่วยให้ได้ข้อมูลเชิงลึกอะไรมากขึ้น อีกอย่างที่สำคัญคือการบริหารจัดการเวลา ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเรื่องเวลาในการทำงาน หรือจัดการเรื่องของการประชุมเพื่อให้เรามีเวลาทำงานได้มากขึ้น อันนี้พี่ว่าเป็นอีกอันหนึ่งที่สำคัญ
ความท้าทายของงาน UX/UI Designer คืออะไร มีงานไหนที่รู้สึกสนุกหรือท้าทายเป็นพิเศษ
ความท้าทายสำหรับ UX/UI Designer จริง ๆ แล้วคือเราจะจัดการความคาดหวังของฝั่ง Business ยังไง สิ่งที่เขาต้องการกับเวลาที่เขาสั่งแก้งาน เราจะทำยังไงให้แก้ไขได้ทัน และมันยังอยู่ในเวลาที่ตี Timeline ไว้ รวมถึงเมื่อไหร่ที่เราร่วมงานกับ Developer ที่เราไม่เคยทำงานด้วยมาก่อน เราจะมีการสื่อสารกันยังไงเพื่อเวลาที่เราส่งงานไปแล้ว เขาสามารถนำงานของเราไปพัฒนาออกมาเป็นโปรดักชันตามที่เราต้องการ
รู้สึกว่าโปรเจกต์ K PLUS เป็นโปรเจกต์ที่สนุกที่สุดเพราะว่าทีมที่ทำ K PLUS เก่งมาก ไม่ว่าจะเป็นทีม Business ของฝั่ง KBank ที่มีความเข้าใจ มีความเห็นอกเห็นใจ User สูงมาก ทำให้ทีมเราทำงานได้ง่ายขึ้น เขารับฟังและเชื่อใจทีม Design ทีม Developer ก็เป็นทีมภายในของ KBTG ที่ทำงานด้วยกันมา 4-5 ปีแล้ว เราก็รู้แล้วว่าต้องทำยังไงในการสื่อสารกัน ก็เลยกลายเป็นโปรเจกต์ที่ทั้งท้าทายและสนุก รวมถึงจำนวน User ที่จะแตะ 20 ล้าน มันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราทำProduct ออกไป แล้วมีคนใช้งานเยอะ ๆ ใคร ๆ ก็รู้จัก Product ชิ้นนั้น พอเขารู้ว่าเราเป็นคนทำ บางครั้งเขาก็จะฟีดแบ็กในสิ่งที่ดี บางครั้งเขาก็จะฟีดแบ็กในสิ่งที่ไม่ดี เราก็เก็บไว้ แล้วเราก็เอามาสื่อสารกับทีม Business ต่อว่าจะแก้ไขมันยังไง
UX/UI Designer ควรทำเรซูเม่และพอร์ตโฟลิโอแบบไหน ต้องเตรียมตัวสัมภาษณ์ยังไงบ้าง
สิ่งหนึ่งที่ตอนนี้ยังเห็นหลาย ๆ คนเป็นอยู่คือการใส่แถบพลังมาว่าแบบ Skills ที่เรามี มีพลังเท่าไหร่ พี่แนะนำว่าเอาแถบพลังออกแล้วอาจจะเขียนว่าคุณมีประสบการณ์กับ Skills นั้นมากี่เดือนแล้ว กี่สัปดาห์แล้ว อย่างนี้น่าจะมีประโยชน์มากกว่า ส่วนใหญ่เราจะดูแค่ว่าจบด้านไหนมา แล้วทำงานตรงสายหรือไม่ตรงสาย ถ้าทำงานเปลี่ยนสายมาเราก็จะเริ่ม เอ๊ะ สนใจเหมือนกันนะว่าทำไมถึงเปลี่ยนงานมา แล้วเปลี่ยนงานมามานานเท่าไรแล้ว
ถัดมา พอร์ตโฟลิโอ คนที่เป็น UX/UI Designer ควรจะมีพอร์ตโฟลิโอที่ผ่านงานการทำ Product ถ้าProduct ยังไม่สามารถปล่อยจริงได้ ก็ควรจะมีขั้นตอนที่ชัดเจนว่าขั้นตอนในการทำ UX มีอะไรอยู่บ้าง ก่อนที่จะออกมาเป็น UI มีกระบวนการคิดยังไง อย่างที่บอกคือไม่จำเป็นต้องลงไปทำเองทั้งหมด แต่อย่างน้อยขอให้มีส่วนร่วมหรือเข้าใจว่าในแต่ละขั้นตอน คนที่ทำเขาทำอะไรไว้บ้าง แล้วเขาได้ Insights อะไร
ถ้าสมมติว่าไปถึงขั้นตอนสัมภาษณ์ อะไรที่คณะกรรมการสัมภาษณ์ถาม ก็ยอมรับไปตรง ๆ ครับว่าตรงนี้ตัวน้องผู้สมัครไม่ได้ทำนะ เราดูในส่วนนี้นะ ส่วนพาร์ทที่เป็น UI พี่มองว่าควรจะเป็นตั้งแต่การออกแบบUI แล้วก็วาง Screen Flow เพื่อให้เห็นว่า User Journey ของแต่ละฟีเจอร์เป็นยังไง เราส่งงานให้ Developer ทำงานต่อยังไงได้บ้าง แล้วถ้าเป็นไปได้ เล่าเสริมหน่อยว่าถ้าเราเคยส่งงานให้ Developer ทำงานต่อจริง ๆ เจอปัญหาอะไรบ้าง แล้วเราแก้ปัญหานั้นยังไง
ทีม Beacon Interface เองออกสื่อหลาย ๆ ที่อยู่ ฉะนั้นอยากให้น้อง ๆ ที่อยากจะมาสัมภาษณ์กับทีมเราทำการบ้านหน่อยว่าทีมเราออกแบบ Product อะไรไว้บ้าง แล้วคนที่เก่งในด้านต่าง ๆ มีอะไรบ้าง หรืออย่างน้อยให้รู้ว่าเรามีการแบ่งตำแหน่งในการทำงานเป็นยังไง ทำการบ้านมาหน่อย แล้วก็ตอบตัวเองให้ชัดเจนว่าอยากทำงานในจุดไหน อยากจะเติบโตขึ้นไปเป็นสายงานแบบไหน
ใครที่สนใจงาน UX/UI Designer และอยากทำงานกับ KBTG สามารถดูสัมภาษณ์คุณนนแบบเต็ม ๆ ได้ที่นี่ >
คลิก <
อยากเป็น UX/UI Designer ต้องทำยังไงบ้างคะ
ต้องเล่าย้อนไปก่อน ตอนที่ทำเว็บไซต์ ใช้คำว่าดีไซน์ที่เป็นเว็บไซต์อยู่ เราก็จะเรียกกันว่า Web Design ทีนี้พอมี Mobile App คนที่เป็น Designer ก็มักจะทำได้ทั้งเว็บไซต์ และ Mobile App ด้วย มันเลยเริ่มมีคำว่า UI Designer มา ด้วยความที่ Mobile App มันพัฒนาค่อนข้างง่าย คือพอออกแบบเสร็จแล้วก็ส่งให้ Developer แล้วก็สร้างแอปฯ ออกมา แอปฯ มันก็จะเริ่มเยอะขึ้น แต่สิ่งที่คิดส่วนใหญ่มันมักไม่ได้ถามคนที่ใช้งานจริง ๆ แถมกว่าที่จะออกมาเป็น Prototype จับต้องได้จริง มันจะต้องเป็นแอปฯ ที่พัฒนาออกมาแล้ว มันเสียเวลาขั้นตอนนานมาก แล้วพอออกมาเยอะ ๆ เข้า User ทั่วไปเขาก็จะเลือกใช้ไม่ถูกแล้ว ว่าจะลงอะไร อันนี้ก็เคยมีแล้ว นั่นก็มีมาใหม่ ก็ต้องเอาโปรโมชันมาถล่มกัน ทีนี้มันก็เลยเป็นที่มาว่า ทำไมเราไม่มีใครที่สามารถไปคุยกับ User ได้ก่อน เพื่อให้รู้ถึงสิ่งที่ User ต้องการจริง ๆ หรือชีวิตเขามีปัญหาอะไรอยู่ในชีวิตประจำวัน เราจะได้เอา Mobile App หรือแพลตฟอร์มที่เราออกแบบไปตอบโจทย์เขาตรงนั้น
อย่างทีม Beacon Interface ของเรา มันก็จะมี UX Researcher ถัดมาของเราจะแยกเป็น Visual Designer ที่ดูเรื่องการออกแบบสื่อสารในรูปแบบของภาพ แล้วก็จะมี UX Writer ซึ่ง UX Writer ของเราไม่ได้ดูแค่ข้อความตอนที่ทำ UI/UX Writer เราเข้าไปจับตั้งแต่ตอนที่ทีม Visual Designer เริ่มออกแบบความสวยงาม รูปร่างหน้าตา แล้วก็สิ่งที่อยากสื่อสารออกมาในรูปแบบของภาพ ส่วน UX Writer เองก็จะเข้าไปดูเรื่องของ Brand Personality ว่าเราจะใช้ข้อความยังไงเพื่อสื่อ Brand Personality ให้ตรงกับที่ Visual Designer ออกแบบมา UX Writer ก็จะประกบตั้งแต่ตอนนั้นเลย ทีนี้พอไปถึงฝั่งที่เป็น UX/UI Designer มันจะเป็นขั้นตอนหลังจากที่ทีม Visual Designer และทีม UX Writer สรุปผลและทำข้อมูลออกมาระดับหนึ่งแล้ว ก็จะส่งมาถึง UX/UI Designer เพื่อสร้างฟีเจอร์ เอามาแตกเป็นฟีเจอร์ตามที่ธุรกิจต้องการ
UX กับ UI Designer ทำงานแตกต่างกันยังไง
จริง ๆ แล้วก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะเป็น UX/UI Designer ที่เมืองไทยพยายามแยก UX Designer ออกมาจาก UI Designer เพราะว่าคนที่เป็น UI Designer ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ พอต้องถูกจับไปคุยกับ User เขาก็จะอึกอัก พูดไม่ถูก มันจะมี Designer ไม่กี่คนหรอกที่เป็น Extrovert อยากคุยกับ User บุคคลกลุ่มนั้นเขาก็จะผันตัวมาเป็น UX Designer เพราะการเป็น UX Designer มันมีขั้นตอนหลายอย่างมาก ตั้งแต่การสัมภาษณ์ ถัดมาต้องเช็กว่าคู่แข่งของแพลตฟอร์มที่เราอาจจะต้องทำแข่งกับเขามีอะไรอยู่บ้าง แล้วก็ต้องเอาข้อมูลนั้นมาวิเคราะห์ ซึ่งส่วนนี้คนที่เป็น Designer มักจะไม่ค่อยชอบข้อมูล กลายเป็นว่าคนที่ทำงานสาย UX ก็จะเริ่มมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น แล้วก็ต้องมีขั้นตอนมากขึ้นเพื่อให้ได้ข้อมูลจาก User ที่ถูกต้อง พอขั้นตอนมันเริ่มเยอะขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือ ถ้าให้ UI Designer นั่งรอให้ UX Designer ทำงานเสร็จ ในการทำงานของสาย IT ก็จะเรียกว่า Waterfall มันก็จะไหลไปเรื่อย ๆ มันก็เสียเวลาอยู่นาน แต่ธุรกิจไม่เคยให้เวลาที่เป็นไปได้จริง ๆ กับเรา สิ่งที่ตามมาก็คือเราจะทำยังไงให้คนที่เป็น UI Designer สามารถช่วยลดขั้นตอนของ UX Designer หรือเข้ามาร่วมกับ UX Designer ได้ ฉะนั้นมันจะมีขั้นตอนบางอย่าง เช่น ตอนที่ลงไปสัมภาษณ์ อาจจะมี UX Designer นำ หรือ UX Researcher ช่วยนำ แล้ว UI Designer เข้าไปช่วย ช่วยจดหรือถ้ามีคำถามอะไรที่สงสัยก็ถาม กลายเป็นว่าเดี๋ยวนี้ตำแหน่ง UI Designer ก็เลยต้องมีคำว่า UX เพิ่มเข้ามาด้วย เพื่อให้สามารถเข้าไปประกบและช่วยทำงานบางอย่าง เพื่อให้ขั้นตอนมันเร็วขึ้น
อย่างที่ Beacon Interface เรามีจำนวน Designer ค่อนข้างเยอะ ฉะนั้น UX/UI Designer เราสามารถลงไปใน 1 โปรเจกต์ ถ้ามีทั้งเว็บและแอปฯ เราก็จะแยกส่วนดูแล อาจจะเป็น Designer 1 คนดูเว็บไซต์ แล้วก็อีกสัก 2 คนดู Mobile App เพราะว่า Mobile App บางครั้งมันจะมีข้อจำกัดหลาย ๆ อย่าง เวลาทำ UI Screen เราจะต้องส่งต่อไปให้ iOS Developer และ Android Developer เพราะ iOS ก็จะเป็นScreen ขนาดหนึ่ง บน Android ก็จะมีอีกขนาดหนึ่ง เพื่อให้ Developer สามารถสเกลไปได้หลากหลายของ Android
Hard Skills หลักของ UX/UI Designer ก็คือ คุณต้องเข้าใจพื้นฐานในการออกแบบ UI อันนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก คุณต้องรู้ว่าเว็บไซต์ ณ ปัจจุบันมีการออกแบบเป็น Responsive Design มีการสเกล Break Point เท่าไหร่ที่เหมาะสม รวมถึงถ้าเป็น Mobile App มีเทคโนโลยีอะไรบ้างที่ต้องทำ เช่น เราเรียกว่า Native App ก็จะมี iOS และ Android หรือถ้าเป็น Hybrid ก็จะเป็น Flutter แล้วก็ควรจะเข้าใจว่าเวลาที่เราออกแบบ UI เสร็จแล้ว จะมีการสื่อสารไปถึง Developer ยังไง มีการส่งงานให้ Developer ด้วยรูปแบบไหนที่ทำให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด อันนี้เป็น Hard Skills หลักที่เวลาเรามองหาคน เราจะสังเกตประมาณ 3 เรื่องนี้
ทีนี้หลังจากที่มี Hard Skills แล้ว ส่วนของ Tools ก็ต้องเกี่ยวข้องกันไป อย่างทีมเราเองก็จะใช้ Figma ถ้าเป็น Mobile App เราจะพบว่าเครื่องมืออย่าง Zeplin มันช่วยส่งต่อไปยัง Mobile App ได้ง่ายกว่า Developer สามารถเอาไปจัดการต่อได้เลยโดยที่ไม่ต้องมาขออะไรเพิ่มหลาย ๆ อย่าง หรือถ้าต้องมีการทำ Screen Flow เราสามารถจบใน Figma ได้ไหม หรือว่าอาจจะต้องใช้ Tools อื่น ๆ เสริม อันนี้ก็แล้วแต่คนถนัด
สำหรับ Soft Skills ที่สำคัญที่สุดคือทักษะเรื่องการสื่อสาร มี Soft Skills ในการสื่อสารเพื่อลงไปพูดคุยหรืออย่างน้อยลงไปช่วยถามคำถามอะไรบ้างที่เราฟังแล้วรู้สึกสงสัย เผื่อมันจะช่วยให้ได้ข้อมูลเชิงลึกอะไรมากขึ้น อีกอย่างที่สำคัญคือการบริหารจัดการเวลา ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเรื่องเวลาในการทำงาน หรือจัดการเรื่องของการประชุมเพื่อให้เรามีเวลาทำงานได้มากขึ้น อันนี้พี่ว่าเป็นอีกอันหนึ่งที่สำคัญ
ความท้าทายของงาน UX/UI Designer คืออะไร มีงานไหนที่รู้สึกสนุกหรือท้าทายเป็นพิเศษ
ความท้าทายสำหรับ UX/UI Designer จริง ๆ แล้วคือเราจะจัดการความคาดหวังของฝั่ง Business ยังไง สิ่งที่เขาต้องการกับเวลาที่เขาสั่งแก้งาน เราจะทำยังไงให้แก้ไขได้ทัน และมันยังอยู่ในเวลาที่ตี Timeline ไว้ รวมถึงเมื่อไหร่ที่เราร่วมงานกับ Developer ที่เราไม่เคยทำงานด้วยมาก่อน เราจะมีการสื่อสารกันยังไงเพื่อเวลาที่เราส่งงานไปแล้ว เขาสามารถนำงานของเราไปพัฒนาออกมาเป็นโปรดักชันตามที่เราต้องการ
รู้สึกว่าโปรเจกต์ K PLUS เป็นโปรเจกต์ที่สนุกที่สุดเพราะว่าทีมที่ทำ K PLUS เก่งมาก ไม่ว่าจะเป็นทีม Business ของฝั่ง KBank ที่มีความเข้าใจ มีความเห็นอกเห็นใจ User สูงมาก ทำให้ทีมเราทำงานได้ง่ายขึ้น เขารับฟังและเชื่อใจทีม Design ทีม Developer ก็เป็นทีมภายในของ KBTG ที่ทำงานด้วยกันมา 4-5 ปีแล้ว เราก็รู้แล้วว่าต้องทำยังไงในการสื่อสารกัน ก็เลยกลายเป็นโปรเจกต์ที่ทั้งท้าทายและสนุก รวมถึงจำนวน User ที่จะแตะ 20 ล้าน มันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราทำProduct ออกไป แล้วมีคนใช้งานเยอะ ๆ ใคร ๆ ก็รู้จัก Product ชิ้นนั้น พอเขารู้ว่าเราเป็นคนทำ บางครั้งเขาก็จะฟีดแบ็กในสิ่งที่ดี บางครั้งเขาก็จะฟีดแบ็กในสิ่งที่ไม่ดี เราก็เก็บไว้ แล้วเราก็เอามาสื่อสารกับทีม Business ต่อว่าจะแก้ไขมันยังไง
สิ่งหนึ่งที่ตอนนี้ยังเห็นหลาย ๆ คนเป็นอยู่คือการใส่แถบพลังมาว่าแบบ Skills ที่เรามี มีพลังเท่าไหร่ พี่แนะนำว่าเอาแถบพลังออกแล้วอาจจะเขียนว่าคุณมีประสบการณ์กับ Skills นั้นมากี่เดือนแล้ว กี่สัปดาห์แล้ว อย่างนี้น่าจะมีประโยชน์มากกว่า ส่วนใหญ่เราจะดูแค่ว่าจบด้านไหนมา แล้วทำงานตรงสายหรือไม่ตรงสาย ถ้าทำงานเปลี่ยนสายมาเราก็จะเริ่ม เอ๊ะ สนใจเหมือนกันนะว่าทำไมถึงเปลี่ยนงานมา แล้วเปลี่ยนงานมามานานเท่าไรแล้ว
ถัดมา พอร์ตโฟลิโอ คนที่เป็น UX/UI Designer ควรจะมีพอร์ตโฟลิโอที่ผ่านงานการทำ Product ถ้าProduct ยังไม่สามารถปล่อยจริงได้ ก็ควรจะมีขั้นตอนที่ชัดเจนว่าขั้นตอนในการทำ UX มีอะไรอยู่บ้าง ก่อนที่จะออกมาเป็น UI มีกระบวนการคิดยังไง อย่างที่บอกคือไม่จำเป็นต้องลงไปทำเองทั้งหมด แต่อย่างน้อยขอให้มีส่วนร่วมหรือเข้าใจว่าในแต่ละขั้นตอน คนที่ทำเขาทำอะไรไว้บ้าง แล้วเขาได้ Insights อะไร
ถ้าสมมติว่าไปถึงขั้นตอนสัมภาษณ์ อะไรที่คณะกรรมการสัมภาษณ์ถาม ก็ยอมรับไปตรง ๆ ครับว่าตรงนี้ตัวน้องผู้สมัครไม่ได้ทำนะ เราดูในส่วนนี้นะ ส่วนพาร์ทที่เป็น UI พี่มองว่าควรจะเป็นตั้งแต่การออกแบบUI แล้วก็วาง Screen Flow เพื่อให้เห็นว่า User Journey ของแต่ละฟีเจอร์เป็นยังไง เราส่งงานให้ Developer ทำงานต่อยังไงได้บ้าง แล้วถ้าเป็นไปได้ เล่าเสริมหน่อยว่าถ้าเราเคยส่งงานให้ Developer ทำงานต่อจริง ๆ เจอปัญหาอะไรบ้าง แล้วเราแก้ปัญหานั้นยังไง
ทีม Beacon Interface เองออกสื่อหลาย ๆ ที่อยู่ ฉะนั้นอยากให้น้อง ๆ ที่อยากจะมาสัมภาษณ์กับทีมเราทำการบ้านหน่อยว่าทีมเราออกแบบ Product อะไรไว้บ้าง แล้วคนที่เก่งในด้านต่าง ๆ มีอะไรบ้าง หรืออย่างน้อยให้รู้ว่าเรามีการแบ่งตำแหน่งในการทำงานเป็นยังไง ทำการบ้านมาหน่อย แล้วก็ตอบตัวเองให้ชัดเจนว่าอยากทำงานในจุดไหน อยากจะเติบโตขึ้นไปเป็นสายงานแบบไหน
ใครที่สนใจงาน UX/UI Designer และอยากทำงานกับ KBTG สามารถดูสัมภาษณ์คุณนนแบบเต็ม ๆ ได้ที่นี่ > คลิก <