สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 16
มันมีวิธีการเกษียณที่ง่ายมากแต่ก็เป็นเรื่องยากอยู่ดีขนาดเป็นสิ่งที่ง่ายเกือบสุด
สำหรับคนที่คิดว่าจะเกษียณตจวอะ ถ้ามั่นใจหรืออยากสำรองแผนไว้ ก็ไปซื้อที่ดินรอไว้เลย แต่อย่าพึ่งลงบ้านเยอะนะ มันอาจจะทรุด หรือ พังได้ เสียค่าซ่อมอีก หรือ ถ้าจะลงก็ต้องหมั่นแวะไปเช็คกับพวกมาอาศัยอยู่บ้านตีเนียน หรือ โจรขโมยของ
เพราะกทมมันอาจจะหาเงินได้ง่ายกว่า แล้วต้องอยู่หาเงินอีกหลายปีกว่าจะกลับตจว แต่ตจวมันเกษียณได้ง่ายกว่าด้วยเงินน้อยกว่า แล้วเตรียมเงินสดไว้ กับ ไอเดียธุรกิจเล็กสักอย่างก็พอแล้ว
เราจะไม่แนะนำให้ ออกไปทำเกษตรพอเพียง เพราะมันเพ้อเจ้อ ใช้ทุนเยอะมากหลายล้านในการหมุนเวียนทรัพยากรแล้วนึกสภาพถ้าเลือกจังหวัดผิด ไปเลือกจังหวัดน้ำท่วมเงี้ย จบเลยนะครับไอ้ที่ลงทุนมาทั้งหมด 0 บาทไม่สามารถกู้คืนทรัพย์สินย์ได้เลย หรือ ถ้าปลูกมากไป หนู สัตว์ แมลง งูเข้าบ้านโดนฉกก็อดใช้ชีวิตพอดีครับ ป่วยขึ้นมาจากสภาพแวดล้อมแบบนี้อาจจะตายไวกว่า
ยกตัวอย่าง เชียงใหม่ ภาคใต้ บางจังหวัดที่เป็นทางผ่านน้ำ?? ขิงบ้านนาระวังไปเจอเหตุการ์ณแบบนี้หละ แล้วจะรู้ว่าลงทุนอะไรไปเจ๊งแทบจะหมด
แล้วถ้าป่วย หรือ โดนงูกัดมา ไม่ต้องคิดถึงลูกหลาน ถ้าลูกเรียนกทม ซึ่งยังไงมันก็เรียนกทมเพื่อคุณภาพการศึกษา ไม่มีทางไปส่งภายใน 30 นาที ตายสถานเดียวเพียงแค่ งูฉก หรือ ล้มหัวฟาดดอกเดียว ดังนั้น คิดให้ดีว่า ไอ้ชีวิตบ้านนาอะ มันดีแค่เวลามีลูกหลานคอยรับใช้ใกล้บ้านแค่นั้น
เราถึงไม่แนะนำให้ ออกไปทำเกษตรพอเพียง เพราะ มันเป็นงานที่ต้อง active สูงเกินไป แล้วยังเสี่ยงต่ออะไรอีกหลายอย่างจากอุบัติเหตุ เขาแทบให้ทำกันตอนหนุ่ม ตอนแน่นแค่นั้น
ดังนั้น เมื่อถึงวัยเกษียณ ให้ทำงานไปอีก 5-10 ปี อย่าหยุดไปเลยถ้าเป็นไปได้ เพราะสำหรับคนอายุ 60 ปีอะมันยังมีแรงจนถึง 70 ปีเลย แปลว่า 10 ปีตรงเนี้ยไม่ควรเลยในการหยิบเงินเกษียณมาใช้เต็มที่ 100% นี่คือจุดประสงค์หลัก
แต่ควร ทำงานที่เบาตัวลง ไม่ทำจริงจัง หรือ ธุรกิจเล็กๆนี่แหละครับ เพื่อหารายได้ช่วยชะลอการถอยหลังของเงินเกษียณเป็นพิเศษ เพราะเราไม่มีทางรู้หลอกว่า ค่าข้าว ค่าน้ำ ค่าไฟ อะไรมันจะพอตลอดไหมในอีก 20-30 ปีข้างหน้า
ดังนั้น การทำแบบเนี่ย คือ ชะลอส่วนตัวของตัวเลขที่เราไม่แน่นอนครับ เงินเก็บอาจจะไม่พอ อาจจะตายช้าก็ได้ มันไม่มีทางรู้ได้ชัว แต่มันใช้คอนเซ็บ เพื่อเหลือดีกว่าขาดได้ครับ
คนแก่บางคนให้ไอเดียเรามา เขาบอกว่า เขาทำงานนะเพราะเบื่อแต่ทำงานเป็นนายตัวเอง หาเงินกินกับเที่ยวขำๆ เงินเกษียณเขามีแต่เขาไม่อยากอยู่บ้านเฉยๆ หยุดก็พัก งานรับจ้างอิสระที่คนมีอายุยังพอทำได้ แต่ไม่ใช่พนักงานประจำหนะ ทำขายขำเลยหละ
ซึ่งถ้าให้คำนวณเทียบกันเลย คนนึงมีเงิน 2 ล้าน แต่เลือกจะใช้เงินสดเดือนละ 10000 เลย แปลว่า แค่ 10 ปี 2 ล้านก็อาจจะหมดแล้วครับเพลอๆ หมดไวกว่าถ้าเงินมันไม่ได้หนาพอจริงในยุคนี้ เราอาจจะพึ่งอายุ 70 ปีเองอาจจะยังไม่ทันแก่ตายเลย
กลับกัน คนที่ยังหารายได้ช่วง 60-70 อยู่ มันจะแทบยังไม่หยิบเงินฉุกเฉินออกมาใช้ 100% อาจจะหยิบมาแค่ จ่ายน้ำไฟเท่านั้นนะครับแล้วก็ ด้วยความที่ ยังทำงานหาเงินอยู่
แปลว่า เขาจะเริ่มใช้เงินจริงๆ เต็มที่คือ 70-80 ปี ซึ่งตามอายุค่าเฉลี่ยแล้วถ้าเกิน 80 ปี มีให้เลือก 2 อย่าง คือ เงินหมดตาย กับ ป่วยแก่ตาย ต้องตายได้แล้ว ไม่งั้นต้องขายบ้านกินแล้วนะ ซึ่งมันคำนวณมาให้แล้วครับว่า ถ้าทำแบบนี้ เราจะชิวแล้วสบายใจกว่าในแผนเกษียณ
แล้วถ้าเรายังทำงานอยู่บ้าง เรายังไหลตามระบบค่าเงินอยู่นะครับ แปลว่า มันอาจจะแทบไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากเลย แค่หาเงินกินข้าวครับ ไม่ต้องคิดเรื่องเก็บแล้วครับ เพราะเราจะแก่ตายแล้วใช่ไหมหละ แต่เราทำงานชิวๆ ควักเงินสดสำรองใช้บ้าง
เทียบกับคนไม่หาเงินเลย กับ คนที่หาเงินไว้บ้างแต่เป็นค่าเงินตามค่าครองชีพในอนาคต 20-30 ปี มันแทบเอามาเทียบไม่ติดเลย
มันจะอยู่ได้ไปอีก 20 ปีก็ยังชิวเลยโดยเงินไม่หมด ซึ่ง ก็เห็นตัวอย่างอยู่ว่า คนมีอายุมีธุรกิจหลายคน ก็ยังทำธุรกิจกับลูกกับหลานกันเยอะจนรวยขนาดไหนใช่ไหมหละครับ นั่นแหละครับไม่ใช่ว่าเขาเกษียณไม่ได้นะ เขาเกษียณได้ แต่เขาแค่เบื่อแล้วเอาเงินยกให้ลูกหลานอีกต่อนั่นแหละ
วิธีการเกษียณแบบที่พอจะเป็นไปได้ง่ายมาก มันมีไม่กี่คนที่มาขิงโชวน์แบบว่า เกษียณสบายเลยไม่เห็นต้องทำงาน ถ้ามารู้ว่า มีเงินสดสำรอง 10-20 ล้านบาทตั้งแต่ก่อน 60 ปี ผมจะตบปากให้กระเด็นเลย เพราะ มันเป็นกลุ่มคนรวยจร๊ะไม่ต้องอวด เพราะนั่นมันหาเยอะเกินกว่าจำเป็นไปแล้ว แต่สำหรับคนเราธรรมดาอะครับ ก็ยังจำเป็นต้องทำงานเล็กๆ น้อยๆ หลังวัยเกษียณ สักระยะ เพื่อชะลอการถอยหลังของเงินเก็บ แค่เงิน 1-2 ล้านบาทอาจจะฟังดูยากสำหรับคนปกติแล้วหละ ยิ่งคนเก็บเงินไม่เป็น ลงทุนไม่เป็นยิ่งแล้วใหญ่เลย หรือ เปลี่ยนใจมาทำงานเต็มตัวถ้าเงินเก็บมันไม่พอ ไม่ใช่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่สนไม่แคร์ ระวัง 2 ล้านหมดภายในไม่กี่ปีแล้วกัน
แต่ถ้าเป็นสายลงทุนอะจะลงทุนอะไรไว้กิน passive income สุดท้ายถ้าหวังปันผลเดือนละ 10000-20000 ใน port มันก็มีเงินหลายล้านอยู่ดีครับแปลว่า มันหาเงินไว้รอเยอะแล้วซึ่งมันต้องใช้คนละแนวคิดกัน เอามาขิงไม่ได้
อันที่จริง เกษียณกทม ก็ไม่ได้แย่ เพราะ ถ้าจ่ายตลาดเป็นจะรู้ว่า ของสดกรุงเทพราคา = ตจวเลยจร๊ะ โลตัสอะไรก็ราคาเหมือนกัน ต่างกันแค่ราคาค่าเดินทาง ซึ่งแก่แล้วจะยังไปไหนอีกหรอจริงไหม
ปล. เราเป็นคนนึงที่จะไม่เลือกเกษียณตจว เพราะ เคยอยู่มาแล้วตั้ง 17 ปีก่อนเข้ามหาลัย แล้วเคยเห็นแล้วว่า คนปกติแทบเกษียณไม่ได้ง่าย มีแต่กองอวยข้าราชการเท่านั้นแหละ ถึงจะอยู่เกษียณตจวได้ง่ายหน่อย มันเป็นมานานแล้ว
เราอยู่มาหลายโซนกทมค่าครองชีพ แทบไม่ต่างจาก ตจวเลย อย่างเดียวที่ ตจวราคาถูกกว่า คือ บ้าน กับ ที่ดิน แค่นั้นครับนอกนั้นเจอค่าน้ำมัน ค่าส่วนต่างการเดินทาง และ เสียเวลา โคตรแพง
แล้วยกตัวอย่าง บ้านเราเกษียณด้วยการ เน้นใช้ธุรกิจปล่อยเช่ากับคนวัยทำงานเพราะมันก็ต้องมีบ้านมีที่ดินไว้ทำงาน หรือ เอาไว้ขายสะสมเป็นทรัพย์สินย์ได้ และ ยังทำธุรกิจส่วนตัวของตัวเองขำเหมือนคนไม่ทำงาน ทั้งที่อายุ 63 แล้ว
สำหรับคนที่คิดว่าจะเกษียณตจวอะ ถ้ามั่นใจหรืออยากสำรองแผนไว้ ก็ไปซื้อที่ดินรอไว้เลย แต่อย่าพึ่งลงบ้านเยอะนะ มันอาจจะทรุด หรือ พังได้ เสียค่าซ่อมอีก หรือ ถ้าจะลงก็ต้องหมั่นแวะไปเช็คกับพวกมาอาศัยอยู่บ้านตีเนียน หรือ โจรขโมยของ
เพราะกทมมันอาจจะหาเงินได้ง่ายกว่า แล้วต้องอยู่หาเงินอีกหลายปีกว่าจะกลับตจว แต่ตจวมันเกษียณได้ง่ายกว่าด้วยเงินน้อยกว่า แล้วเตรียมเงินสดไว้ กับ ไอเดียธุรกิจเล็กสักอย่างก็พอแล้ว
เราจะไม่แนะนำให้ ออกไปทำเกษตรพอเพียง เพราะมันเพ้อเจ้อ ใช้ทุนเยอะมากหลายล้านในการหมุนเวียนทรัพยากรแล้วนึกสภาพถ้าเลือกจังหวัดผิด ไปเลือกจังหวัดน้ำท่วมเงี้ย จบเลยนะครับไอ้ที่ลงทุนมาทั้งหมด 0 บาทไม่สามารถกู้คืนทรัพย์สินย์ได้เลย หรือ ถ้าปลูกมากไป หนู สัตว์ แมลง งูเข้าบ้านโดนฉกก็อดใช้ชีวิตพอดีครับ ป่วยขึ้นมาจากสภาพแวดล้อมแบบนี้อาจจะตายไวกว่า
ยกตัวอย่าง เชียงใหม่ ภาคใต้ บางจังหวัดที่เป็นทางผ่านน้ำ?? ขิงบ้านนาระวังไปเจอเหตุการ์ณแบบนี้หละ แล้วจะรู้ว่าลงทุนอะไรไปเจ๊งแทบจะหมด
แล้วถ้าป่วย หรือ โดนงูกัดมา ไม่ต้องคิดถึงลูกหลาน ถ้าลูกเรียนกทม ซึ่งยังไงมันก็เรียนกทมเพื่อคุณภาพการศึกษา ไม่มีทางไปส่งภายใน 30 นาที ตายสถานเดียวเพียงแค่ งูฉก หรือ ล้มหัวฟาดดอกเดียว ดังนั้น คิดให้ดีว่า ไอ้ชีวิตบ้านนาอะ มันดีแค่เวลามีลูกหลานคอยรับใช้ใกล้บ้านแค่นั้น
เราถึงไม่แนะนำให้ ออกไปทำเกษตรพอเพียง เพราะ มันเป็นงานที่ต้อง active สูงเกินไป แล้วยังเสี่ยงต่ออะไรอีกหลายอย่างจากอุบัติเหตุ เขาแทบให้ทำกันตอนหนุ่ม ตอนแน่นแค่นั้น
ดังนั้น เมื่อถึงวัยเกษียณ ให้ทำงานไปอีก 5-10 ปี อย่าหยุดไปเลยถ้าเป็นไปได้ เพราะสำหรับคนอายุ 60 ปีอะมันยังมีแรงจนถึง 70 ปีเลย แปลว่า 10 ปีตรงเนี้ยไม่ควรเลยในการหยิบเงินเกษียณมาใช้เต็มที่ 100% นี่คือจุดประสงค์หลัก
แต่ควร ทำงานที่เบาตัวลง ไม่ทำจริงจัง หรือ ธุรกิจเล็กๆนี่แหละครับ เพื่อหารายได้ช่วยชะลอการถอยหลังของเงินเกษียณเป็นพิเศษ เพราะเราไม่มีทางรู้หลอกว่า ค่าข้าว ค่าน้ำ ค่าไฟ อะไรมันจะพอตลอดไหมในอีก 20-30 ปีข้างหน้า
ดังนั้น การทำแบบเนี่ย คือ ชะลอส่วนตัวของตัวเลขที่เราไม่แน่นอนครับ เงินเก็บอาจจะไม่พอ อาจจะตายช้าก็ได้ มันไม่มีทางรู้ได้ชัว แต่มันใช้คอนเซ็บ เพื่อเหลือดีกว่าขาดได้ครับ
คนแก่บางคนให้ไอเดียเรามา เขาบอกว่า เขาทำงานนะเพราะเบื่อแต่ทำงานเป็นนายตัวเอง หาเงินกินกับเที่ยวขำๆ เงินเกษียณเขามีแต่เขาไม่อยากอยู่บ้านเฉยๆ หยุดก็พัก งานรับจ้างอิสระที่คนมีอายุยังพอทำได้ แต่ไม่ใช่พนักงานประจำหนะ ทำขายขำเลยหละ
ซึ่งถ้าให้คำนวณเทียบกันเลย คนนึงมีเงิน 2 ล้าน แต่เลือกจะใช้เงินสดเดือนละ 10000 เลย แปลว่า แค่ 10 ปี 2 ล้านก็อาจจะหมดแล้วครับเพลอๆ หมดไวกว่าถ้าเงินมันไม่ได้หนาพอจริงในยุคนี้ เราอาจจะพึ่งอายุ 70 ปีเองอาจจะยังไม่ทันแก่ตายเลย
กลับกัน คนที่ยังหารายได้ช่วง 60-70 อยู่ มันจะแทบยังไม่หยิบเงินฉุกเฉินออกมาใช้ 100% อาจจะหยิบมาแค่ จ่ายน้ำไฟเท่านั้นนะครับแล้วก็ ด้วยความที่ ยังทำงานหาเงินอยู่
แปลว่า เขาจะเริ่มใช้เงินจริงๆ เต็มที่คือ 70-80 ปี ซึ่งตามอายุค่าเฉลี่ยแล้วถ้าเกิน 80 ปี มีให้เลือก 2 อย่าง คือ เงินหมดตาย กับ ป่วยแก่ตาย ต้องตายได้แล้ว ไม่งั้นต้องขายบ้านกินแล้วนะ ซึ่งมันคำนวณมาให้แล้วครับว่า ถ้าทำแบบนี้ เราจะชิวแล้วสบายใจกว่าในแผนเกษียณ
แล้วถ้าเรายังทำงานอยู่บ้าง เรายังไหลตามระบบค่าเงินอยู่นะครับ แปลว่า มันอาจจะแทบไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากเลย แค่หาเงินกินข้าวครับ ไม่ต้องคิดเรื่องเก็บแล้วครับ เพราะเราจะแก่ตายแล้วใช่ไหมหละ แต่เราทำงานชิวๆ ควักเงินสดสำรองใช้บ้าง
เทียบกับคนไม่หาเงินเลย กับ คนที่หาเงินไว้บ้างแต่เป็นค่าเงินตามค่าครองชีพในอนาคต 20-30 ปี มันแทบเอามาเทียบไม่ติดเลย
มันจะอยู่ได้ไปอีก 20 ปีก็ยังชิวเลยโดยเงินไม่หมด ซึ่ง ก็เห็นตัวอย่างอยู่ว่า คนมีอายุมีธุรกิจหลายคน ก็ยังทำธุรกิจกับลูกกับหลานกันเยอะจนรวยขนาดไหนใช่ไหมหละครับ นั่นแหละครับไม่ใช่ว่าเขาเกษียณไม่ได้นะ เขาเกษียณได้ แต่เขาแค่เบื่อแล้วเอาเงินยกให้ลูกหลานอีกต่อนั่นแหละ
วิธีการเกษียณแบบที่พอจะเป็นไปได้ง่ายมาก มันมีไม่กี่คนที่มาขิงโชวน์แบบว่า เกษียณสบายเลยไม่เห็นต้องทำงาน ถ้ามารู้ว่า มีเงินสดสำรอง 10-20 ล้านบาทตั้งแต่ก่อน 60 ปี ผมจะตบปากให้กระเด็นเลย เพราะ มันเป็นกลุ่มคนรวยจร๊ะไม่ต้องอวด เพราะนั่นมันหาเยอะเกินกว่าจำเป็นไปแล้ว แต่สำหรับคนเราธรรมดาอะครับ ก็ยังจำเป็นต้องทำงานเล็กๆ น้อยๆ หลังวัยเกษียณ สักระยะ เพื่อชะลอการถอยหลังของเงินเก็บ แค่เงิน 1-2 ล้านบาทอาจจะฟังดูยากสำหรับคนปกติแล้วหละ ยิ่งคนเก็บเงินไม่เป็น ลงทุนไม่เป็นยิ่งแล้วใหญ่เลย หรือ เปลี่ยนใจมาทำงานเต็มตัวถ้าเงินเก็บมันไม่พอ ไม่ใช่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่สนไม่แคร์ ระวัง 2 ล้านหมดภายในไม่กี่ปีแล้วกัน
แต่ถ้าเป็นสายลงทุนอะจะลงทุนอะไรไว้กิน passive income สุดท้ายถ้าหวังปันผลเดือนละ 10000-20000 ใน port มันก็มีเงินหลายล้านอยู่ดีครับแปลว่า มันหาเงินไว้รอเยอะแล้วซึ่งมันต้องใช้คนละแนวคิดกัน เอามาขิงไม่ได้
อันที่จริง เกษียณกทม ก็ไม่ได้แย่ เพราะ ถ้าจ่ายตลาดเป็นจะรู้ว่า ของสดกรุงเทพราคา = ตจวเลยจร๊ะ โลตัสอะไรก็ราคาเหมือนกัน ต่างกันแค่ราคาค่าเดินทาง ซึ่งแก่แล้วจะยังไปไหนอีกหรอจริงไหม
ปล. เราเป็นคนนึงที่จะไม่เลือกเกษียณตจว เพราะ เคยอยู่มาแล้วตั้ง 17 ปีก่อนเข้ามหาลัย แล้วเคยเห็นแล้วว่า คนปกติแทบเกษียณไม่ได้ง่าย มีแต่กองอวยข้าราชการเท่านั้นแหละ ถึงจะอยู่เกษียณตจวได้ง่ายหน่อย มันเป็นมานานแล้ว
เราอยู่มาหลายโซนกทมค่าครองชีพ แทบไม่ต่างจาก ตจวเลย อย่างเดียวที่ ตจวราคาถูกกว่า คือ บ้าน กับ ที่ดิน แค่นั้นครับนอกนั้นเจอค่าน้ำมัน ค่าส่วนต่างการเดินทาง และ เสียเวลา โคตรแพง
แล้วยกตัวอย่าง บ้านเราเกษียณด้วยการ เน้นใช้ธุรกิจปล่อยเช่ากับคนวัยทำงานเพราะมันก็ต้องมีบ้านมีที่ดินไว้ทำงาน หรือ เอาไว้ขายสะสมเป็นทรัพย์สินย์ได้ และ ยังทำธุรกิจส่วนตัวของตัวเองขำเหมือนคนไม่ทำงาน ทั้งที่อายุ 63 แล้ว
แสดงความคิดเห็น
อยากกับไปอยู่ ต จ ว ก่อนเกษียณวางแผนยังไงดี
*มีที่อยู่ต่างจังหวัดถมแล้วติดถนนรอง(มีหมู่บ้านเล็กๆอยู่ใกล้กัน 3-4 หมู่บ้าน ไม่น่าเกิน500หลังคาเรือน)
**มีเงินเก็บพอลงทุนอะไรสักอย่างอยู่ 500 k (อีก 500 k กะไว้สร้างบ้าน)
***แถวนั้นมีแต่ชาวนา ปลูกข้าว กับมัน ปลูกยูคา เลี้ยงวัวเป็นหลักครับ
****มีโรงเรียนอยู่ 3 4 แห่ง แต่ รวมๆแลว น ร ไม่น่าเกินโรงเรียนละ 3-400 คน (ห่างจากที่อยู่เกือบ 20 โล)
อยากขอแชร์ไอเดีย ว่าพอมีช่องทางอะไรบ้างที่จะพอกลับไปอยู่ กลับไปลงทุนต่างจังหวัดเพื่อที่จะไม่มาทำงานในเมืองอีกแล้ว (ปัจจุบันทำงานเก็บในเมืองได้เดือนละ 20-25 k) แต่ด้วยอายุใกล้ 40 แล้วกับสายงานคงน่าจะหายากแล้วเพราะตำแหน่งยังแค่ officer อยู่เลย
แต่ความรู้สึกคือมันห่อเหี่ยวสุดขีด
ถ้าพี่น้องท่านไหนเคยมีประสบการณ์ แนวนี้พอแนะนำให้ทีครับ
**ต้องขอบคุณความคิดเห็นของพี่น้อง pantip ทุกๆท่านนะครับ 56 ความเห็น ผมจะขอสรุปคำตอบภาพรวมที่พี่ๆน้องๆทุกท่านตอบมาให้ได้ออกมาดังนี้
1.ความเห็นส่วนใหญ่แนะนำว่าให้หาเงินในกรุงเทพให้มากกว่านี้หรือมั่นคงก่อน ให้อดทนทำงานในกรุงเทพ หรือหางานใหม่
2.มองว่าการไปอยู่ต่างจังหวัดค่าใช้จ่ายแทบไม่ต่างจากอยู่กรุงเทพ และงานต่างจังหวัดมีความต้องการน้อยกว่า ความเสี่ยงสูงที่จะล้ม
3.ถ้าจะไปอยู่ต่างจังหวัดเรื่องทำเลที่ตั้งของพื้นที่ก็มีนัยสำคัญเรื่องที่ตั้งรอบข้าง รวมถึงโรงพยาบาล
ผมอยากอ่านความคิดเห็นขอพี่ๆน้องๆทุกท่านอีกนะครับ
ขอบคุณจากใจอีกครั้ง