ในที่สุด เสียงเรียกร้องกว่า 20 ปีของผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมก็ได้รับการตอบสนอง
เมื่อคณะอนุกรรมการสิทธิประโยชน์มีมติเห็นชอบการปรับเปลี่ยนสูตรคำนวณบำนาญใหม่ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567
จากระบบเดิมที่ใช้เงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย มาเป็นระบบ “ค่าเฉลี่ยตลอดอายุการทำงาน” หรือ Career-Average Revalued Earnings (CARE)
การปฏิรูปครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ประกันตนกว่า 360,000 คน โดยเฉพาะผู้ประกันตนมาตรา 39 ที่ในอนาคตจะได้รับการปรับฐานเงินเดือนสำหรับคำนวณบำนาญจาก 4,800 บาท เป็น 7,200 บาทต่อเดือน
โดยเป็นการปรับอย่างค่อยเป็นค่อยไปไม่กระทบกับเสถียรภาพกองทุนประกันสังคม
ในปัจจุบันนั้นระบบบำนาญประกันสังคมใช้ระบบคำนวณบำนาญแบบ Final Average Earnings (FAE) -อิงฐานเงินเดือนสุดท้าย ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศในอดีตก่อนจะเริ่มมีการปรับเปลี่ยนสู่ระบบ CARE
ระบบ FAE นี้มีข้อบกพร่องสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นธรรมในระบบบำนาญ โดยเฉพาะการเอาเปรียบผู้มีรายได้ลดลงในช่วงปลายอาชีพ เนื่องจากระบบนี้คำนวณบำนาญจากเงินเดือนช่วงท้ายเท่านั้น ทำให้ผู้ที่ถูกลดตำแหน่งหรือต้องเปลี่ยนงานได้รับบำนาญต่ำกว่าที่ควร ทั้งที่อาจจ่ายเงินสมทบในอัตราสูงมาตลอดช่วงชีวิตการทำงาน
ในทางกลับกัน ระบบนี้กลับเปิดช่องให้มีการบิดเบือนฐานเงินเดือนได้ง่าย โดยองค์กรบางแห่งอาจเพิ่มเงินเดือนให้พนักงานสูงผิดปกติในช่วงก่อนเกษียณ เพื่อให้ได้รับบำนาญสูง ทั้งที่จ่ายเงินสมทบน้อยกว่าในช่วงที่ผ่านมา ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับผู้ประกันตนรายอื่นในระบบ
นอกจากนี้ ระบบ FAE ยังไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมตลาดแรงงานในปัจจุบัน ที่คนรุ่นใหม่มักเปลี่ยนงานบ่อยหรือทำงานในหลายรูปแบบ เช่น สลับระหว่างการเป็นพนักงานประจำกับการประกอบอาชีพอิสระ ทำให้การคำนวณบำนาญจากเงินเดือนช่วงท้ายไม่สะท้อนถึงการทำงานและการจ่ายเงินสมทบตลอดช่วงชีวิตการทำงานของคนกลุ่มนี้
จากการศึกษาของ OECD (Pensions at a Glance 2023) พบว่าประเทศที่ประสบความสำเร็จในการปฏิรูประบบบำนาญมีหลายกรณีที่น่าสนใจ
สหราชอาณาจักรนับเป็นตัวอย่างสำคัญที่ริเริ่มใช้ระบบ CARE ในปี 2014 ภายใต้ Public Service Pensions Act 2013
การปฏิรูปครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากการศึกษาของ Lord Hutton Commission ที่ชี้ให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมของระบบเดิม โดยเฉพาะต่อผู้มีรายได้น้อยและผู้หญิง ซึ่งมักมีช่วงเวลาพักงานเพื่อดูแลครอบครัว
เนเธอร์แลนด์เป็นอีกกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ตามรายงานของ World Bank Pension Reform Primer Series ประเทศนี้เริ่มใช้ระบบ CARE ตั้งแต่ทศวรรษ 1960 และได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในระบบบำนาญที่ดีที่สุดในโลกจาก Mercer Global Pension Index มาอย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จนี้เกิดจากการออกแบบระบบที่คำนวณบำนาญจากรายได้ตลอดช่วงชีวิตการทำงาน พร้อมกับมีการปรับมูลค่าตามอัตราเงินเฟ้อ
ทำให้ผู้เกษียณมีรายได้ที่มั่นคงและเพียงพอ
ความท้าทายและโอกาส
การปรับเปลี่ยนครั้งนี้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 800-1,000 ล้านบาทต่อปี แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของกองทุน
ในทางกลับกัน การปรับปรุงนี้จะสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกันตนมาตรา 39 เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบในระยะยาว
คำถามสำคัญ ใครได้ประโยชน์จากการปฏิรูประบบบำนาญ?
กรณีที่ 1 : พนักงานที่เงินเดือนลดลงช่วงปลายอาชีพ
นายสมชาย อายุ 58 ปี ทำงานมา 30 ปี เคยดำรงตำแหน่งหัวหน้างานด้วยเงินเดือน 35,000 บาท แต่ต้องลดตำแหน่งในช่วง 5 ปีก่อนเกษียณ เหลือเงินเดือน 13,000 บาท เนื่องจากบริษัทปรับโครงสร้างองค์กร
– ระบบเดิม : คำนวณจาก 60 เดือนสุดท้าย (เงินเดือน 13,000) ได้บำนาญเพียง 3,900 บาท/เดือน
– ระบบใหม่ : คำนวณจากค่าเฉลี่ยตลอดอายุงาน รวมช่วงที่เงินเดือนสูง ได้บำนาญประมาณ 5,800 บาท/เดือน
กรณีที่ 2 : ผู้ประกันตนมาตรา 39
น.ส.แก้ว อายุ 50 ปี เคยเป็นพนักงานบริษัท 15 ปี ก่อนลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัว สมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39
– ระบบเดิม : ใช้ฐานเงินเดือน 4,800 บาท ได้บำนาญประมาณ 3,000 บาท/เดือน
– ระบบใหม่ : ใช้ฐานเงินเดือน 7,200 บาท ได้บำนาญประมาณ 4,500 บาท/เดือน
กรณีที่ 3 : พนักงานที่มีช่วงว่างในการทำงาน
น.ส.นุช อายุ 45 ปี ทำงาน 10 ปี ลาออกมาดูแลครอบครัว 5 ปี ก่อนกลับเข้าทำงานใหม่อีก 8 ปี
– ระบบเดิม : ได้รับผลกระทบจากช่วงว่างงาน ได้บำนาญประมาณ 5,500 บาท/เดือน
– ระบบใหม่ : คำนวณจากค่าเฉลี่ยทั้งหมด ได้บำนาญประมาณ 6,200 บาท/เดือน
ระบบใหม่นี้จะช่วยให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะกับคนที่เงินเดือนลดลงในช่วงท้าย ผู้ประกันตนมาตรา 39 หรือผู้ที่มีช่วงพักในการทำงาน ซึ่งเดิมเสียเปรียบจากการคำนวณที่ใช้เพียงเงินเดือน 60 เดือนสุดท้าย โดยคาดว่าจะมีผู้ได้รับประโยชน์กว่า 360,000 คน
ในสูตรบำนาญใหม่นี้อาจมีกลุ่มผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบซึ่งก็จะมีกระบวนการเยียวยาในช่วงเปลี่ยนผ่านในระยะ 5 ปี ก่อนที่สูตรใหม่จะถูกใช้อย่างสมบูรณ์
การผ่านความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ขั้นตอนสำคัญที่รออยู่คือการนำเสนอต่อบอร์ดใหญ่และการทำประชาพิจารณ์ภายในเดือนธันวาคม 2567
ประสบการณ์จากต่างประเทศชี้ให้เห็นว่า การสื่อสารที่ชัดเจนและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ ควบคู่กับความมุ่งมั่นทางการเมือง ในการปฏิรูประบบบำนาญการปฏิรูปครั้งนี้อาจเป็นเพียงฝนที่เริ่มโปรยปราย
แต่ด้วยการออกแบบที่รอบคอบและการดำเนินการอย่างเป็นระบบ เราจะสามารถสร้างระบบบำนาญที่เป็นธรรมและยั่งยืน ให้ฝนนั้นหล่อเลี้ยงผืนดินได้อย่างทั่วถึงและยาวนาน...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichonweekly.com/column/article_814787
ในที่สุด เสียงเรียกร้องกว่า 20 ปี การปรับสูตรบำนาญ ปกสค 33, 39 ก็ได้รับการตอบสนอง
ในที่สุด เสียงเรียกร้องกว่า 20 ปีของผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมก็ได้รับการตอบสนอง
เมื่อคณะอนุกรรมการสิทธิประโยชน์มีมติเห็นชอบการปรับเปลี่ยนสูตรคำนวณบำนาญใหม่ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567
จากระบบเดิมที่ใช้เงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย มาเป็นระบบ “ค่าเฉลี่ยตลอดอายุการทำงาน” หรือ Career-Average Revalued Earnings (CARE)
การปฏิรูปครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ประกันตนกว่า 360,000 คน โดยเฉพาะผู้ประกันตนมาตรา 39 ที่ในอนาคตจะได้รับการปรับฐานเงินเดือนสำหรับคำนวณบำนาญจาก 4,800 บาท เป็น 7,200 บาทต่อเดือน
โดยเป็นการปรับอย่างค่อยเป็นค่อยไปไม่กระทบกับเสถียรภาพกองทุนประกันสังคม
ในปัจจุบันนั้นระบบบำนาญประกันสังคมใช้ระบบคำนวณบำนาญแบบ Final Average Earnings (FAE) -อิงฐานเงินเดือนสุดท้าย ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศในอดีตก่อนจะเริ่มมีการปรับเปลี่ยนสู่ระบบ CARE
ระบบ FAE นี้มีข้อบกพร่องสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นธรรมในระบบบำนาญ โดยเฉพาะการเอาเปรียบผู้มีรายได้ลดลงในช่วงปลายอาชีพ เนื่องจากระบบนี้คำนวณบำนาญจากเงินเดือนช่วงท้ายเท่านั้น ทำให้ผู้ที่ถูกลดตำแหน่งหรือต้องเปลี่ยนงานได้รับบำนาญต่ำกว่าที่ควร ทั้งที่อาจจ่ายเงินสมทบในอัตราสูงมาตลอดช่วงชีวิตการทำงาน
ในทางกลับกัน ระบบนี้กลับเปิดช่องให้มีการบิดเบือนฐานเงินเดือนได้ง่าย โดยองค์กรบางแห่งอาจเพิ่มเงินเดือนให้พนักงานสูงผิดปกติในช่วงก่อนเกษียณ เพื่อให้ได้รับบำนาญสูง ทั้งที่จ่ายเงินสมทบน้อยกว่าในช่วงที่ผ่านมา ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับผู้ประกันตนรายอื่นในระบบ
นอกจากนี้ ระบบ FAE ยังไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมตลาดแรงงานในปัจจุบัน ที่คนรุ่นใหม่มักเปลี่ยนงานบ่อยหรือทำงานในหลายรูปแบบ เช่น สลับระหว่างการเป็นพนักงานประจำกับการประกอบอาชีพอิสระ ทำให้การคำนวณบำนาญจากเงินเดือนช่วงท้ายไม่สะท้อนถึงการทำงานและการจ่ายเงินสมทบตลอดช่วงชีวิตการทำงานของคนกลุ่มนี้
จากการศึกษาของ OECD (Pensions at a Glance 2023) พบว่าประเทศที่ประสบความสำเร็จในการปฏิรูประบบบำนาญมีหลายกรณีที่น่าสนใจ
สหราชอาณาจักรนับเป็นตัวอย่างสำคัญที่ริเริ่มใช้ระบบ CARE ในปี 2014 ภายใต้ Public Service Pensions Act 2013
การปฏิรูปครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากการศึกษาของ Lord Hutton Commission ที่ชี้ให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมของระบบเดิม โดยเฉพาะต่อผู้มีรายได้น้อยและผู้หญิง ซึ่งมักมีช่วงเวลาพักงานเพื่อดูแลครอบครัว
เนเธอร์แลนด์เป็นอีกกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ตามรายงานของ World Bank Pension Reform Primer Series ประเทศนี้เริ่มใช้ระบบ CARE ตั้งแต่ทศวรรษ 1960 และได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในระบบบำนาญที่ดีที่สุดในโลกจาก Mercer Global Pension Index มาอย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จนี้เกิดจากการออกแบบระบบที่คำนวณบำนาญจากรายได้ตลอดช่วงชีวิตการทำงาน พร้อมกับมีการปรับมูลค่าตามอัตราเงินเฟ้อ
ทำให้ผู้เกษียณมีรายได้ที่มั่นคงและเพียงพอ
ความท้าทายและโอกาส
การปรับเปลี่ยนครั้งนี้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 800-1,000 ล้านบาทต่อปี แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของกองทุน
ในทางกลับกัน การปรับปรุงนี้จะสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกันตนมาตรา 39 เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบในระยะยาว
คำถามสำคัญ ใครได้ประโยชน์จากการปฏิรูประบบบำนาญ?
กรณีที่ 1 : พนักงานที่เงินเดือนลดลงช่วงปลายอาชีพ
นายสมชาย อายุ 58 ปี ทำงานมา 30 ปี เคยดำรงตำแหน่งหัวหน้างานด้วยเงินเดือน 35,000 บาท แต่ต้องลดตำแหน่งในช่วง 5 ปีก่อนเกษียณ เหลือเงินเดือน 13,000 บาท เนื่องจากบริษัทปรับโครงสร้างองค์กร
– ระบบเดิม : คำนวณจาก 60 เดือนสุดท้าย (เงินเดือน 13,000) ได้บำนาญเพียง 3,900 บาท/เดือน
– ระบบใหม่ : คำนวณจากค่าเฉลี่ยตลอดอายุงาน รวมช่วงที่เงินเดือนสูง ได้บำนาญประมาณ 5,800 บาท/เดือน
กรณีที่ 2 : ผู้ประกันตนมาตรา 39
น.ส.แก้ว อายุ 50 ปี เคยเป็นพนักงานบริษัท 15 ปี ก่อนลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัว สมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39
– ระบบเดิม : ใช้ฐานเงินเดือน 4,800 บาท ได้บำนาญประมาณ 3,000 บาท/เดือน
– ระบบใหม่ : ใช้ฐานเงินเดือน 7,200 บาท ได้บำนาญประมาณ 4,500 บาท/เดือน
กรณีที่ 3 : พนักงานที่มีช่วงว่างในการทำงาน
น.ส.นุช อายุ 45 ปี ทำงาน 10 ปี ลาออกมาดูแลครอบครัว 5 ปี ก่อนกลับเข้าทำงานใหม่อีก 8 ปี
– ระบบเดิม : ได้รับผลกระทบจากช่วงว่างงาน ได้บำนาญประมาณ 5,500 บาท/เดือน
– ระบบใหม่ : คำนวณจากค่าเฉลี่ยทั้งหมด ได้บำนาญประมาณ 6,200 บาท/เดือน
ระบบใหม่นี้จะช่วยให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะกับคนที่เงินเดือนลดลงในช่วงท้าย ผู้ประกันตนมาตรา 39 หรือผู้ที่มีช่วงพักในการทำงาน ซึ่งเดิมเสียเปรียบจากการคำนวณที่ใช้เพียงเงินเดือน 60 เดือนสุดท้าย โดยคาดว่าจะมีผู้ได้รับประโยชน์กว่า 360,000 คน
ในสูตรบำนาญใหม่นี้อาจมีกลุ่มผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบซึ่งก็จะมีกระบวนการเยียวยาในช่วงเปลี่ยนผ่านในระยะ 5 ปี ก่อนที่สูตรใหม่จะถูกใช้อย่างสมบูรณ์
การผ่านความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ขั้นตอนสำคัญที่รออยู่คือการนำเสนอต่อบอร์ดใหญ่และการทำประชาพิจารณ์ภายในเดือนธันวาคม 2567
ประสบการณ์จากต่างประเทศชี้ให้เห็นว่า การสื่อสารที่ชัดเจนและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ ควบคู่กับความมุ่งมั่นทางการเมือง ในการปฏิรูประบบบำนาญการปฏิรูปครั้งนี้อาจเป็นเพียงฝนที่เริ่มโปรยปราย
แต่ด้วยการออกแบบที่รอบคอบและการดำเนินการอย่างเป็นระบบ เราจะสามารถสร้างระบบบำนาญที่เป็นธรรมและยั่งยืน ให้ฝนนั้นหล่อเลี้ยงผืนดินได้อย่างทั่วถึงและยาวนาน...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichonweekly.com/column/article_814787