คาดปีนี้ ไทยเสียแชมป์ส่งออกรถยนต์นั่งในอาเซียนให้จีน-ญี่ปุ่น หลังล่าสุดติดลบแล้ว 6%
https://www.matichon.co.th/economy/news_4878041
คาดปีนี้ ไทยเสียแชมป์ส่งออกรถยนต์นั่งในอาเซียนให้จีน-ญี่ปุ่น หลังล่าสุดติดลบแล้ว 6%
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดบทวิเคราะห์ เรื่อง ส่งออกรถยนต์ไทยปี 67 คาดหดตัว 6% นำโดยตลาดหลักอย่างอาเซียน” ทั้งนี้พบว่า ปี 2567 เป็นหนึ่งปีที่ยากลำบากสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย เพราะนอกจากยอดขายรถยนต์ในประเทศจะหดตัวแรงแล้ว ยอดส่งออกรถยนต์ของไทยก็คาดว่าอาจหดตัวเช่นกันถึง 6% (YoY) เหลือส่งออกได้เพียง 1,050,000 คัน จาก 1,117,539 คันในปี 2566 โดยหนึ่งในสาเหตุสำคัญมาจากการส่งออกไปตลาดหลักอันดับ 2 ของไทยอย่างอาเซียนที่ลดลงมาก (ตลาดอาเซียนคิดเป็น 25% ของมูลค่าส่งออกรถยนต์ไทย) นำโดยการหดตัวสูงของการส่งออกรถยนต์นั่งไปอาเซียน ซึ่งช่วง 7 เดือนแรกที่ผ่านมาติดลบถึง 19% (YoY) ขณะที่รถเพื่อการพาณิชย์ส่งออกลดลง 3% (YoY) (รูปที่ 1) นั่นแปลว่ารถยนต์นั่งไทยอาจกำลังเจอความเสี่ยงในตลาดนี้
คาดไทยเสียแชมป์ส่งออกรถยนต์นั่งไปอาเซียนให้จีน-ญี่ปุ่น
แม้ตั้งแต่ปี 2560 ไทยจะครองตำแหน่งแชมป์ส่งออกรถยนต์นั่งไปอาเซียนมาโดยตลอด ทว่าหลังผ่าน 7 เดือนแรกของปี 2567 มา กลับพบจีนและญี่ปุ่นขยับส่วนแบ่งขึ้นนำไทยได้เป็นครั้งแรก ขณะที่อินโดนีเซียแม้ยังมีส่วนแบ่งน้อยกว่า แต่ก็ขยับเข้ามาใกล้ไทยมากขึ้น
โดยคาดว่าปีนี้จีนจะขึ้นอันดับ 1 แทนที่ไทยในตลาดอาเซียน หลังสามารถส่งออกรถยนต์นั่ง BEV ได้เพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ญี่ปุ่นขยับขึ้นอันดับ 2 นำโดยการส่งออกรถยนต์นั่งไฮบริด (HEV) อาศัยปัจจัยหนุนสำคัญจากมาตรการส่งเสริมรถยนต์ลดมลพิษของรัฐบาลแต่ละประเทศที่ออกมาในช่วงนี้ ส่งผลกดดันให้ไทยตกลงมาอยู่อันดับ 3 เนื่องจากไทยเพิ่งเริ่มผลิต BEV และแม้จะมีการผลิตรถยนต์นั่งไฮบริดแล้ว แต่ที่ผลิตได้ก็เน้นรองรับตลาดในประเทศที่กำลังเติบโตขึ้นก่อน
ขณะที่อินโดนีเซียแม้ปัจจุบันอยู่ในอันดับ 4 แต่พบการส่งออกรถยนต์นั่งขนาดเล็กใช้น้ำมันล้วน (ICE) ที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ส่วนแบ่งขยับเข้าใกล้ไทยมากขึ้น หลังความต้องการรถยนต์นั่งขนาดเล็กหรือรถอเนกประสงค์ราคาประหยัดเพิ่มขึ้นมากในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ประชากรรายได้ยังไม่สูงนัก เช่น ฟิลิปปินส์และเวียดนาม
คาดอนาคตไทยจะทวงแชมป์คืนได้ แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงเพียบ
ในระยะข้างหน้า การส่งออกรถยนต์นั่ง BEV และไฮบริด อาจเร่งขึ้นมาช่วยชดเชยได้ หลังไทยมีแนวโน้มผลิตรถยนต์นั่ง BEV และไฮบริด ในประเทศได้มากขึ้น จากการสนับสนุนของภาครัฐ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอีกหลายด้านที่การส่งออกรถยนต์นั่งไทยอาจต้องเผชิญในอนาคต ได้แก่
ความเสี่ยงฝั่งอุปทาน
• ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯที่ยืดเยื้ออาจกดดันให้จีนยังคงต้องส่งออก BEV มายังตลาดเป้าหมายเดิมของไทยอย่างอาเซียนต่อ ทำให้การส่งออก BEV จากไทยในอนาคตยังคงต้องเจอการแข่งขันต่อไปอยู่
• รถยนต์นั่งส่งออกจากญี่ปุ่นกำลังถูก BEV จีนเข้าตีตลาดในหลายประเทศ ทำให้ญี่ปุ่นต้องกระจายการส่งออกไฮบริดซึ่งเป็นตัวหลักออกไปยังหลายตลาดมากขึ้นรวมถึงอาเซียน เพื่อรักษาปริมาณการผลิตรถยนต์ในประเทศ ทำให้โอกาสการลงทุนผลิตรถยนต์นั่งไฮบริดในไทยปริมาณมากเพื่อการส่งออกในอนาคตยังมีความไม่แน่นอน
ความเสี่ยงฝั่งอุปสงค์
• มาตรการส่งเสริมรถยนต์นั่ง BEV และไฮบริด ของตลาดศักยภาพอย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ อาจหมดในสิ้นปีหน้า ทำให้โอกาสนำเข้า BEV และ ไฮบริด ของตลาดอาเซียนอาจไม่เร่งตัวมากเหมือนช่วงที่ผ่านมา แม้จะยังมีเวียดนามและฟิลิปปินส์ที่คงมาตรการส่งเสริมตลาดรถยนต์นั่ง 2 กลุ่มนี้ต่อถึงปี 2570 และ 2571 ตามลำดับ ก็ตาม
• ค่ายรถ BEV ที่ลงทุนผลิตในไทยมีการลงทุนผลิตเพิ่มในอินโดนีเซียด้วยเพื่อรองรับตลาดทั้งในและต่างประเทศ ทำให้โอกาสส่งออก BEV จากไทยไปอีกตลาดศักยภาพอย่างอินโดนีเซียลดน้อยลง รวมถึงไทยอาจเจอการแข่งขันจาก BEV ส่งออกจากอินโดนีเซียในอนาคตด้วย
ฟ้าผ่าปลายปี! บริษัทดัง เลิกจ้างพนักงาน 394 คน มีผล 1 ธ.ค. จ่ายชดเชยรวม 14 ล้าน
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_9486584
ฟ้าผ่าปลายปี! บริษัทดัง จ.ฉะเชิงเทรา ประกาศเลิกจ้างพนักงาน 394 คน โดยให้มีผล 1 ธ.ค. จ่ายชดเชยรวม 14 ล้าน ก.แรงงาน ชี้เคสนี้แจ้ง 30 วันตามกฎหมาย
จากกรณีโลกออนไลน์ ได้แชร์ประกาศการเลิกจ้างพนักงาน 600 คน บริษัทผลิตรถไฟฟ้าแห่งหนึ่งใน จ.ฉะเชิงเทรา โดยให้มีผลวันที่ 1 ธ.ค. 2567 เป็นต้นไป บริษัทจะจ่ายเงินค่าชดเชยต่าง ๆ ให้ตามกฎหมายทุกประการนั้น
ล่าสุด นาย
พงศ์เทพ เพชรโสม ผู้อำนวยการกองคุ้มครองแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ทราบว่าบริษัทดังกล่าวคือ บริษัท แอ๊บโซลูท แอสเซมบลี จำกัด เป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งบริษัทมียอดออเดอร์ลดลงมาในระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ได้ให้สิทธิประโยชน์กับลูกจ้างมาโดยตลอด
เบื้องต้นทราบว่าเป็นการเลิกจ้างพนักงาน จำนวน 394 คน จากพนักงานทั้งหมดในโรงงาน 600 คน โดยมีบางส่วนที่ได้ทำงานต่อ ซึ่งเป็นการลดขนาด ลดค่าใช้จ่ายของกิจการลง
เคสนี้ถือเป็นการเลิกจ้างกรณีทั่วไป คือ แจ้งล่วงหน้า 30 วันตามกฎหมาย ซึ่งบริษัทจะจ่ายค่าจ้างเข้าบัญชีเงินเดือนลูกจ้างในงวดการจ่ายเงินเดือนของเดือน พ.ย. 2567 เป็นจำนวนเงินรวมทั้งหมด 394 คน ยอดเงินราว 4 ล้านบาท และค่าชดเชยการเลิกจ้างงานทั้งหมดประมาณ 14 ล้านบาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประวัติหรือสถิติการทำงานของลูกจ้าง
แห่ตุน น้ำมันปาล์ม-ถั่วเหลือง ‘โชห่วยอุดร’ จำกัดจำนวน ‘ชลบุรี’ อั้นไม่ไหว ขายราคาใหม่ แล้ว
https://www.matichon.co.th/economy/news_4877744
แห่ตุน น้ำมันปาล์ม-ถั่วเหลือง ‘โชห่วยอุดร’ จำกัดจำนวน ‘ชลบุรี’ อั้นไม่ไหวขายราคาใหม่แล้ว
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน นาย
มิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จำกัด ผู้ค้าส่งและค้าปลีก จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า ผลการประชุมร่วมกับกรมการค้าภายใน ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกขนาดใหญ่เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 มีการรายงานสถานการณ์สต๊อกน้ำมันปาล์มและน้ำมันถั่วเหลือง หลังจากโรงงานผู้ผลิตได้ปรับราคาขึ้น โดยน้ำมันปาล์มขึ้นแล้ว 10 บาทต่อขวดลิตร และน้ำมันถั่วเหลืองแจ้งว่าจะขึ้น 5 บาทต่อขวดลิตร 48 บาท เป็น 53 บาทต่อขวดลิตร ในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ทั้งนี้กรมการค้าภายในขอความร่วมมือให้ตรึงราคาขายไว้ให้นานที่สุด ขณะที่ร้านค้ารายงานว่าสต๊อกที่มีอยู่นั้นเหลือขายได้ไม่เกิน 2 อาทิตย์ทั้งน้ำมันปาล์มและน้ำมันถั่วเหลือง
“
ตอนนี้ที่ร้านน้ำมันปาล์มไม่มีสต๊อกแล้ว โรงงานผู้ผลิตไม่เปิดรับออเดอร์ เพราะรอความชัดเจนจากภาครัฐ เพราะถ้าสั่งต้องเป็นราคาใหม่ โดยที่ร้านได้สั่งซื้อทางบิ๊กซีแทน ซื้อมาขายเท่าที่จำเป็น เพราะราคาสะวิงเยอะ ส่วนน้ำมันถั่วเหลืองสต๊อกเหลือขายไม่ถึง 2 อาทิตย์ ล่าสุดจำกัดการซื้อให้คนละไม่เกิน 1 ลัง (12 ขวด) และเชื่อว่าร้านค้าใหญ่ๆ น่าจะจำกัดการซื้อเช่นกัน เพราะทุกเจ้าสต๊อกเหลือน้อยเพื่อไม่ให้เกิดภาวะสินค้าขาดตลาด ต้องเกลี่ยโควต้าการซื้อ อย่างไรก็ตามถ้าสต๊อกที่ร้านหมดก็ต้องปรับราคาขายขึ้นเช่นกัน “นาย
มิลินทร์กล่าว
นาย
ทินวัฒน์ แซ่เจ็ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิวไร่ จำกัด ผู้ประกอบการร้านค้าไทไท ซุปเปอร์ ค้าปลีกและค้าส่ง จ.ชลบุรี กล่าวว่า ตอนนี้ที่ร้านในส่วนของน้ำมันปาล์มที่เป็นสต๊อกเก่าไม่มีแล้ว เนื่องจากมีการเหมาซื้อในปริมาณมากกว่าปกติ จากเดิมเคยซื้อคนละ 1 ขวด เป็น 6 ขวดหรือเหมาซื้อยกลัง ก่อนที่ราคาจะขึ้นมา 10 บาทต่อขวดลิตร เนื่องจากที่ร้านเพิ่งได้ปรับราคาใหม่ของน้ำมันปาล์มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 จาก 48 บาท เป็น 58 บาท รวมถึงน้ำมันถั่วเหลืองที่ได้ปรับราคาขึ้นในวันเดียวกันอีก 8 บาทต่อขวดลิตร ตามสต๊อกใหม่และที่ได้รับแจ้งจากโรงงานผู้ผลิต ทำให้ราคาขายในปัจจุบันอยู่ที่ 68 บาทต่อขวดลิตร
โรม เห็นด้วยให้สัญชาติผู้อพยพ รับอาจมีช่องโหว่เอื้อทุนเทาแต่ให้ก่อนสอยทีหลังได้
https://www.khaosod.co.th/politics/news_94860679
โรม เห็นด้วยให้สัญชาติผู้อพยพ ยอมรับอาจมีช่องโหว่เอื้อทุนเทา แต่ให้ก่อนสอยทีหลังได้ มองรัฐบาลสื่อสารไม่ชัดเจน ทำคนเข้าใจผิด
เมื่อวันที่ 1 พ.ย.2567 ที่อาคารอนาคตใหม่ นาย
รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายของรัฐบาล กรณีมอบสัญชาติไทยให้แก่ผู้อพยบและบุตรจำนวน 480,000 คนว่าเรื่องนี้มีการศึกษามาเป็นเวลานานตั้งแต่สภาชุดที่แล้ว ซึ่งตนต้องการบอกว่า 480,000 คนที่ว่า คือคนไทยที่ตกหล่นและสมควรได้รับสัญชาติไทยมาตั้งนานแล้ว
คนเหล่านี้เขาก็คือคนไทยเหมือนพวกเราทุกคน เพียงแต่ช่วงเวลาที่ผ่านมา ไม่สามารถได้รับสิทธิ์ที่ควรจะได้รับ หลายคนใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก และวันที่ 27 มี.ค.ที่ผ่านมา ทางกรรมาธิการ(กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐฯ ก็ทำรายงานฉบับนี้ส่งไปให้รัฐบาล เป็นสิ่งที่เราพยายามจะผลักดัน และต้องขอบคุณรัฐบาลที่เห็นถึงความสำคัญ ทำให้ 480,000 คน ตรงนี้มีโอกาสเป็นคนไทยอย่างภาคภูมิ
เมื่อถามว่าอาจเป็นช่องโหว่เอื้อทุนสีเทาหรือไม่ นาย
รังสิมันต์ กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ แต่ในหลักการทั้งรัฐบาลและกมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ เห็นตรงกันคือ ให้ก่อนถอนทีหลัง หากให้สัญชาติไปแล้วและภายหลังตรวจสอบพบว่าเกี่ยวกับทุนสีเทาที่ผิดกฎหมาย ก็ถอนทีหลังได้และที่วันนี้ให้ไปก่อน เพราะเชื่อว่าคนที่สมควรได้รับมีมากกว่าทุนสีเทา ซึ่งเรื่องเคยคุยกับ พ.ต.อ.
ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ซึ่งมีหลักการที่ตรงกัน
เมื่อถามว่ามองการสื่อสารของรัฐบาลอย่างไรในเรื่องการอนุญาตให้สัญชาติ นาย
รังสิมันต์ กล่าวว่า ความเป็นจริงนั้น รัฐบาลใช้คำไม่ถูกต้องอาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิด โดยหลักๆ กฎหมายของประเทศเรา การที่คนชาติอื่นขอแปลงสัญชาติหรือเปลี่ยนสัญชาตินั้น สามารถเป็นไปได้ แต่มีกระบวนการที่ไม่ง่ายโดยมีเรื่องของภาษา จำนวนปีในการอยู่ในประเทศไทยใช้เวลานานมาก ซึ่งกระบวนการของเรานั้นค่อนข้างเข้ม
“
ถ้าดูกรอบคำแนะนำจากกรรมาธิการความมั่นคงฯ เราแนะนำในหลักการเช่นนี้ และยอมรับในการตัดสินใจของรัฐบาลในการบริหารจัดการให้ถูกต้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมีการตรวจสอบกัน ยืนยันว่าเราไม่ได้สนับสนุนให้ทุนสีเทา เราไม่ได้สนับสนุนให้คนชาติอื่นมาเป็นคนไทย เพียงแต่เราต้องการแก้ไขปัญหาคนไทยที่ตกหล่นเท่านั้น” นาย
รังสิมันต์ กล่าว
JJNY : 5in1 คาดไทยเสียแชมป์ส่งออกรถ│บ.ดังเลิกจ้าง394คน│แห่ตุนน้ำมันปาล์ม-ถั่วเหลือง│โรมเห็นด้วย│เกาหลีเหนือกล่าวหาวางแผน
https://www.matichon.co.th/economy/news_4878041
คาดปีนี้ ไทยเสียแชมป์ส่งออกรถยนต์นั่งในอาเซียนให้จีน-ญี่ปุ่น หลังล่าสุดติดลบแล้ว 6%
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดบทวิเคราะห์ เรื่อง ส่งออกรถยนต์ไทยปี 67 คาดหดตัว 6% นำโดยตลาดหลักอย่างอาเซียน” ทั้งนี้พบว่า ปี 2567 เป็นหนึ่งปีที่ยากลำบากสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย เพราะนอกจากยอดขายรถยนต์ในประเทศจะหดตัวแรงแล้ว ยอดส่งออกรถยนต์ของไทยก็คาดว่าอาจหดตัวเช่นกันถึง 6% (YoY) เหลือส่งออกได้เพียง 1,050,000 คัน จาก 1,117,539 คันในปี 2566 โดยหนึ่งในสาเหตุสำคัญมาจากการส่งออกไปตลาดหลักอันดับ 2 ของไทยอย่างอาเซียนที่ลดลงมาก (ตลาดอาเซียนคิดเป็น 25% ของมูลค่าส่งออกรถยนต์ไทย) นำโดยการหดตัวสูงของการส่งออกรถยนต์นั่งไปอาเซียน ซึ่งช่วง 7 เดือนแรกที่ผ่านมาติดลบถึง 19% (YoY) ขณะที่รถเพื่อการพาณิชย์ส่งออกลดลง 3% (YoY) (รูปที่ 1) นั่นแปลว่ารถยนต์นั่งไทยอาจกำลังเจอความเสี่ยงในตลาดนี้
คาดไทยเสียแชมป์ส่งออกรถยนต์นั่งไปอาเซียนให้จีน-ญี่ปุ่น
แม้ตั้งแต่ปี 2560 ไทยจะครองตำแหน่งแชมป์ส่งออกรถยนต์นั่งไปอาเซียนมาโดยตลอด ทว่าหลังผ่าน 7 เดือนแรกของปี 2567 มา กลับพบจีนและญี่ปุ่นขยับส่วนแบ่งขึ้นนำไทยได้เป็นครั้งแรก ขณะที่อินโดนีเซียแม้ยังมีส่วนแบ่งน้อยกว่า แต่ก็ขยับเข้ามาใกล้ไทยมากขึ้น
โดยคาดว่าปีนี้จีนจะขึ้นอันดับ 1 แทนที่ไทยในตลาดอาเซียน หลังสามารถส่งออกรถยนต์นั่ง BEV ได้เพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ญี่ปุ่นขยับขึ้นอันดับ 2 นำโดยการส่งออกรถยนต์นั่งไฮบริด (HEV) อาศัยปัจจัยหนุนสำคัญจากมาตรการส่งเสริมรถยนต์ลดมลพิษของรัฐบาลแต่ละประเทศที่ออกมาในช่วงนี้ ส่งผลกดดันให้ไทยตกลงมาอยู่อันดับ 3 เนื่องจากไทยเพิ่งเริ่มผลิต BEV และแม้จะมีการผลิตรถยนต์นั่งไฮบริดแล้ว แต่ที่ผลิตได้ก็เน้นรองรับตลาดในประเทศที่กำลังเติบโตขึ้นก่อน
ขณะที่อินโดนีเซียแม้ปัจจุบันอยู่ในอันดับ 4 แต่พบการส่งออกรถยนต์นั่งขนาดเล็กใช้น้ำมันล้วน (ICE) ที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ส่วนแบ่งขยับเข้าใกล้ไทยมากขึ้น หลังความต้องการรถยนต์นั่งขนาดเล็กหรือรถอเนกประสงค์ราคาประหยัดเพิ่มขึ้นมากในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ประชากรรายได้ยังไม่สูงนัก เช่น ฟิลิปปินส์และเวียดนาม
คาดอนาคตไทยจะทวงแชมป์คืนได้ แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงเพียบ
ในระยะข้างหน้า การส่งออกรถยนต์นั่ง BEV และไฮบริด อาจเร่งขึ้นมาช่วยชดเชยได้ หลังไทยมีแนวโน้มผลิตรถยนต์นั่ง BEV และไฮบริด ในประเทศได้มากขึ้น จากการสนับสนุนของภาครัฐ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอีกหลายด้านที่การส่งออกรถยนต์นั่งไทยอาจต้องเผชิญในอนาคต ได้แก่
ความเสี่ยงฝั่งอุปทาน
• ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯที่ยืดเยื้ออาจกดดันให้จีนยังคงต้องส่งออก BEV มายังตลาดเป้าหมายเดิมของไทยอย่างอาเซียนต่อ ทำให้การส่งออก BEV จากไทยในอนาคตยังคงต้องเจอการแข่งขันต่อไปอยู่
• รถยนต์นั่งส่งออกจากญี่ปุ่นกำลังถูก BEV จีนเข้าตีตลาดในหลายประเทศ ทำให้ญี่ปุ่นต้องกระจายการส่งออกไฮบริดซึ่งเป็นตัวหลักออกไปยังหลายตลาดมากขึ้นรวมถึงอาเซียน เพื่อรักษาปริมาณการผลิตรถยนต์ในประเทศ ทำให้โอกาสการลงทุนผลิตรถยนต์นั่งไฮบริดในไทยปริมาณมากเพื่อการส่งออกในอนาคตยังมีความไม่แน่นอน
ความเสี่ยงฝั่งอุปสงค์
• มาตรการส่งเสริมรถยนต์นั่ง BEV และไฮบริด ของตลาดศักยภาพอย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ อาจหมดในสิ้นปีหน้า ทำให้โอกาสนำเข้า BEV และ ไฮบริด ของตลาดอาเซียนอาจไม่เร่งตัวมากเหมือนช่วงที่ผ่านมา แม้จะยังมีเวียดนามและฟิลิปปินส์ที่คงมาตรการส่งเสริมตลาดรถยนต์นั่ง 2 กลุ่มนี้ต่อถึงปี 2570 และ 2571 ตามลำดับ ก็ตาม
• ค่ายรถ BEV ที่ลงทุนผลิตในไทยมีการลงทุนผลิตเพิ่มในอินโดนีเซียด้วยเพื่อรองรับตลาดทั้งในและต่างประเทศ ทำให้โอกาสส่งออก BEV จากไทยไปอีกตลาดศักยภาพอย่างอินโดนีเซียลดน้อยลง รวมถึงไทยอาจเจอการแข่งขันจาก BEV ส่งออกจากอินโดนีเซียในอนาคตด้วย
ฟ้าผ่าปลายปี! บริษัทดัง เลิกจ้างพนักงาน 394 คน มีผล 1 ธ.ค. จ่ายชดเชยรวม 14 ล้าน
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_9486584
ฟ้าผ่าปลายปี! บริษัทดัง จ.ฉะเชิงเทรา ประกาศเลิกจ้างพนักงาน 394 คน โดยให้มีผล 1 ธ.ค. จ่ายชดเชยรวม 14 ล้าน ก.แรงงาน ชี้เคสนี้แจ้ง 30 วันตามกฎหมาย
จากกรณีโลกออนไลน์ ได้แชร์ประกาศการเลิกจ้างพนักงาน 600 คน บริษัทผลิตรถไฟฟ้าแห่งหนึ่งใน จ.ฉะเชิงเทรา โดยให้มีผลวันที่ 1 ธ.ค. 2567 เป็นต้นไป บริษัทจะจ่ายเงินค่าชดเชยต่าง ๆ ให้ตามกฎหมายทุกประการนั้น
ล่าสุด นายพงศ์เทพ เพชรโสม ผู้อำนวยการกองคุ้มครองแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ทราบว่าบริษัทดังกล่าวคือ บริษัท แอ๊บโซลูท แอสเซมบลี จำกัด เป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งบริษัทมียอดออเดอร์ลดลงมาในระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ได้ให้สิทธิประโยชน์กับลูกจ้างมาโดยตลอด
เบื้องต้นทราบว่าเป็นการเลิกจ้างพนักงาน จำนวน 394 คน จากพนักงานทั้งหมดในโรงงาน 600 คน โดยมีบางส่วนที่ได้ทำงานต่อ ซึ่งเป็นการลดขนาด ลดค่าใช้จ่ายของกิจการลง
เคสนี้ถือเป็นการเลิกจ้างกรณีทั่วไป คือ แจ้งล่วงหน้า 30 วันตามกฎหมาย ซึ่งบริษัทจะจ่ายค่าจ้างเข้าบัญชีเงินเดือนลูกจ้างในงวดการจ่ายเงินเดือนของเดือน พ.ย. 2567 เป็นจำนวนเงินรวมทั้งหมด 394 คน ยอดเงินราว 4 ล้านบาท และค่าชดเชยการเลิกจ้างงานทั้งหมดประมาณ 14 ล้านบาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประวัติหรือสถิติการทำงานของลูกจ้าง
แห่ตุน น้ำมันปาล์ม-ถั่วเหลือง ‘โชห่วยอุดร’ จำกัดจำนวน ‘ชลบุรี’ อั้นไม่ไหว ขายราคาใหม่ แล้ว
https://www.matichon.co.th/economy/news_4877744
แห่ตุน น้ำมันปาล์ม-ถั่วเหลือง ‘โชห่วยอุดร’ จำกัดจำนวน ‘ชลบุรี’ อั้นไม่ไหวขายราคาใหม่แล้ว
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน นายมิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จำกัด ผู้ค้าส่งและค้าปลีก จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า ผลการประชุมร่วมกับกรมการค้าภายใน ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกขนาดใหญ่เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 มีการรายงานสถานการณ์สต๊อกน้ำมันปาล์มและน้ำมันถั่วเหลือง หลังจากโรงงานผู้ผลิตได้ปรับราคาขึ้น โดยน้ำมันปาล์มขึ้นแล้ว 10 บาทต่อขวดลิตร และน้ำมันถั่วเหลืองแจ้งว่าจะขึ้น 5 บาทต่อขวดลิตร 48 บาท เป็น 53 บาทต่อขวดลิตร ในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ทั้งนี้กรมการค้าภายในขอความร่วมมือให้ตรึงราคาขายไว้ให้นานที่สุด ขณะที่ร้านค้ารายงานว่าสต๊อกที่มีอยู่นั้นเหลือขายได้ไม่เกิน 2 อาทิตย์ทั้งน้ำมันปาล์มและน้ำมันถั่วเหลือง
“ตอนนี้ที่ร้านน้ำมันปาล์มไม่มีสต๊อกแล้ว โรงงานผู้ผลิตไม่เปิดรับออเดอร์ เพราะรอความชัดเจนจากภาครัฐ เพราะถ้าสั่งต้องเป็นราคาใหม่ โดยที่ร้านได้สั่งซื้อทางบิ๊กซีแทน ซื้อมาขายเท่าที่จำเป็น เพราะราคาสะวิงเยอะ ส่วนน้ำมันถั่วเหลืองสต๊อกเหลือขายไม่ถึง 2 อาทิตย์ ล่าสุดจำกัดการซื้อให้คนละไม่เกิน 1 ลัง (12 ขวด) และเชื่อว่าร้านค้าใหญ่ๆ น่าจะจำกัดการซื้อเช่นกัน เพราะทุกเจ้าสต๊อกเหลือน้อยเพื่อไม่ให้เกิดภาวะสินค้าขาดตลาด ต้องเกลี่ยโควต้าการซื้อ อย่างไรก็ตามถ้าสต๊อกที่ร้านหมดก็ต้องปรับราคาขายขึ้นเช่นกัน “นายมิลินทร์กล่าว
นายทินวัฒน์ แซ่เจ็ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิวไร่ จำกัด ผู้ประกอบการร้านค้าไทไท ซุปเปอร์ ค้าปลีกและค้าส่ง จ.ชลบุรี กล่าวว่า ตอนนี้ที่ร้านในส่วนของน้ำมันปาล์มที่เป็นสต๊อกเก่าไม่มีแล้ว เนื่องจากมีการเหมาซื้อในปริมาณมากกว่าปกติ จากเดิมเคยซื้อคนละ 1 ขวด เป็น 6 ขวดหรือเหมาซื้อยกลัง ก่อนที่ราคาจะขึ้นมา 10 บาทต่อขวดลิตร เนื่องจากที่ร้านเพิ่งได้ปรับราคาใหม่ของน้ำมันปาล์มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 จาก 48 บาท เป็น 58 บาท รวมถึงน้ำมันถั่วเหลืองที่ได้ปรับราคาขึ้นในวันเดียวกันอีก 8 บาทต่อขวดลิตร ตามสต๊อกใหม่และที่ได้รับแจ้งจากโรงงานผู้ผลิต ทำให้ราคาขายในปัจจุบันอยู่ที่ 68 บาทต่อขวดลิตร
โรม เห็นด้วยให้สัญชาติผู้อพยพ รับอาจมีช่องโหว่เอื้อทุนเทาแต่ให้ก่อนสอยทีหลังได้
https://www.khaosod.co.th/politics/news_94860679
โรม เห็นด้วยให้สัญชาติผู้อพยพ ยอมรับอาจมีช่องโหว่เอื้อทุนเทา แต่ให้ก่อนสอยทีหลังได้ มองรัฐบาลสื่อสารไม่ชัดเจน ทำคนเข้าใจผิด
เมื่อวันที่ 1 พ.ย.2567 ที่อาคารอนาคตใหม่ นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายของรัฐบาล กรณีมอบสัญชาติไทยให้แก่ผู้อพยบและบุตรจำนวน 480,000 คนว่าเรื่องนี้มีการศึกษามาเป็นเวลานานตั้งแต่สภาชุดที่แล้ว ซึ่งตนต้องการบอกว่า 480,000 คนที่ว่า คือคนไทยที่ตกหล่นและสมควรได้รับสัญชาติไทยมาตั้งนานแล้ว
คนเหล่านี้เขาก็คือคนไทยเหมือนพวกเราทุกคน เพียงแต่ช่วงเวลาที่ผ่านมา ไม่สามารถได้รับสิทธิ์ที่ควรจะได้รับ หลายคนใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก และวันที่ 27 มี.ค.ที่ผ่านมา ทางกรรมาธิการ(กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐฯ ก็ทำรายงานฉบับนี้ส่งไปให้รัฐบาล เป็นสิ่งที่เราพยายามจะผลักดัน และต้องขอบคุณรัฐบาลที่เห็นถึงความสำคัญ ทำให้ 480,000 คน ตรงนี้มีโอกาสเป็นคนไทยอย่างภาคภูมิ
เมื่อถามว่าอาจเป็นช่องโหว่เอื้อทุนสีเทาหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ แต่ในหลักการทั้งรัฐบาลและกมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ เห็นตรงกันคือ ให้ก่อนถอนทีหลัง หากให้สัญชาติไปแล้วและภายหลังตรวจสอบพบว่าเกี่ยวกับทุนสีเทาที่ผิดกฎหมาย ก็ถอนทีหลังได้และที่วันนี้ให้ไปก่อน เพราะเชื่อว่าคนที่สมควรได้รับมีมากกว่าทุนสีเทา ซึ่งเรื่องเคยคุยกับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ซึ่งมีหลักการที่ตรงกัน
เมื่อถามว่ามองการสื่อสารของรัฐบาลอย่างไรในเรื่องการอนุญาตให้สัญชาติ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ความเป็นจริงนั้น รัฐบาลใช้คำไม่ถูกต้องอาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิด โดยหลักๆ กฎหมายของประเทศเรา การที่คนชาติอื่นขอแปลงสัญชาติหรือเปลี่ยนสัญชาตินั้น สามารถเป็นไปได้ แต่มีกระบวนการที่ไม่ง่ายโดยมีเรื่องของภาษา จำนวนปีในการอยู่ในประเทศไทยใช้เวลานานมาก ซึ่งกระบวนการของเรานั้นค่อนข้างเข้ม
“ถ้าดูกรอบคำแนะนำจากกรรมาธิการความมั่นคงฯ เราแนะนำในหลักการเช่นนี้ และยอมรับในการตัดสินใจของรัฐบาลในการบริหารจัดการให้ถูกต้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมีการตรวจสอบกัน ยืนยันว่าเราไม่ได้สนับสนุนให้ทุนสีเทา เราไม่ได้สนับสนุนให้คนชาติอื่นมาเป็นคนไทย เพียงแต่เราต้องการแก้ไขปัญหาคนไทยที่ตกหล่นเท่านั้น” นายรังสิมันต์ กล่าว