ที่มา :
https://www.advancedbizmagazine.com/knowledge/deep-mind/the-martin-frankel-case/
Martin Frankel (มาร์ติน แฟรงเคิล) เกิดและเติบโตในรัฐโอไฮโอ เขาเริ่มต้นจากความสนใจในวงการการเงิน แต่การตัดสินใจทางการเงินของเขากลับไม่ได้เป็นไปตามวิธีปกติ เขาชอบใช้โหราศาสตร์มาทำนายผลการลงทุน ทำให้เกิดความขัดแย้งกับโบรกเกอร์หลายแห่งที่เขาทำงานให้ในช่วงแรก ๆ Frankel มักจะเลื่อนการตัดสินใจไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายเขาถูกไล่ออกจากงาน โดยเฉพาะหลังจากที่ John Schulte (จอห์น ชูลท์) เจ้านายของเขาในขณะนั้นพบว่า Frankel ไม่ได้ทำการซื้อขายจริง ๆ เหมือนที่เขากล่าวอ้าง
จุดพลิกผันเกิดขึ้นเมื่อ Sonia Schulte (โซเนีย ชูลท์) ภรรยาของ John Schulte ตัดสินใจเลิกกับสามีและมาอยู่กับ Frankel ไม่ใช่แค่ในฐานะคู่ชีวิต แต่ยังเป็นคู่ธุรกิจด้วย ทั้งคู่ได้ร่วมกันก่อตั้ง Winthrop Capital (วินทรอป แคปิทัล) ขึ้นในปี 1987 ภายใต้นามแฝงของ Frankel ที่ใช้ชื่อว่า James Spencer (เจมส์ สเปนเซอร์) และในช่วงนี้เอง Frankel ได้ตั้งกองทุนที่ชื่อว่า The Frankel Fund (เดอะ แฟรงเคิล ฟันด์) ขึ้นเพื่อดึงดูดนักลงทุนในรัฐฟลอริดา แม้เขาจะอ้างว่ากองทุนนี้มีแผนการลงทุนที่ดี แต่จริง ๆ แล้วเงินทุนกลับถูกใช้จ่ายไปกับค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเขา รวมถึงการดูแลครอบครัวแฟนสาวและแม่ของเขาด้วย
การตั้ง Thunor Trust (ธูเนอร์ ทรัสต์) และแผนการหลอกลวงในวงการประกันภัย
เมื่อกองทุนในฟลอริดาของ Frankel เริ่มสูญเสียเงินทุนและนักลงทุนเริ่มถอยห่าง Frankel จึงตัดสินใจย้ายกลับไปยังรัฐโอไฮโอ เขาเริ่มสร้างแผนการหลอกลวงใหม่โดยตั้งบริษัทที่ชื่อว่า Thunor Trust (ธูเนอร์ ทรัสต์) ขึ้นมาเพื่อลงทุนในบริษัทประกันภัยหลายแห่ง Frankel ใช้ Thunor Trust เป็นหน้าฉากในการซื้อบริษัทประกันภัยหลายแห่งในรัฐต่าง ๆ เช่น อาร์คันซอ มิสซิสซิปปี และเทนเนสซี ซึ่งเขาได้สร้างภาพลักษณ์ว่าบริษัทเหล่านี้มีการลงทุนที่มั่นคงและทำกำไรได้ดี ในขณะที่ความจริงแล้ว Frankel ใช้บริษัทประกันเหล่านี้เพื่อยักยอกเงินทุนออกมาใช้ส่วนตัวทั้งหมด
ผู้บรรยาย: ในช่วงนี้เอง Frankel ได้เริ่มต้นแผนการสร้างภาพลักษณ์ทางศาสนาโดยการตั้ง Saint Francis of Assisi Foundation (เซนต์ ฟรานซิส ออฟ อัสซิซี ฟาวน์เดชัน) ขึ้นมา โดยมูลนิธินี้เป็นชื่อที่ดูน่าเชื่อถือและมีเป้าหมายทางการกุศลเพื่อสนับสนุนโรงพยาบาล แต่เบื้องหลังมูลนิธินี้คือการซ่อนตัวตนของ Frankel จากการตรวจสอบทางกฎหมาย เขาถึงขั้นใช้ชื่อบุคคลสำคัญในคริสตจักรคาทอลิกเพื่อให้มูลนิธิดูมีความน่าเชื่อถือ แม้จะไม่มีความสัมพันธ์จริง ๆ ก็ตาม
การใช้ชีวิตหรูหราที่สร้างจากเงินที่ฉ้อโกง
Frankel ใช้เงินทุนจากบริษัทประกันภัยและมูลนิธิปลอมของเขาเพื่อดำเนินชีวิตอย่างหรูหรา เขาได้ซื้อคฤหาสน์ในเมืองกรีนิช คอนเนคติกัต รถยนต์หรูหลายคัน และเพชรพลอยขนาดใหญ่เพื่อสนองความต้องการของเขา ไม่เพียงเท่านั้น Frankel ยังใช้เงินสนับสนุนแฟนสาวและครอบครัวของเธออีกด้วย การใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยนี้ทำให้หลายฝ่ายเริ่มสงสัยและจับตามองพฤติกรรมของเขา จนนำไปสู่การเปิดโปงในที่สุด
เรื่องราวหลอกลวงที่ดูเป็นไปไม่ได้นี้สร้างผลกระทบต่อผู้ถือกรมธรรม์ เจ้าหน้าที่บริษัทประกัน และลูกจ้างของบริษัทเหล่านี้ บริษัทประกันภัยที่เขาควบคุมต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย เนื่องจากสินทรัพย์หลักถูกเปลี่ยนเป็นเงินทุนให้กับบริษัทเปลือกของเขา ซึ่งทำให้ต้นทุนของเบี้ยประกันสูงขึ้นสำหรับผู้บริโภคทั่วไป
การจับกุมในเยอรมนี และการพิจารณาคดี
ในปี 1999 หลังจากการฉ้อโกงของ Frankel ถูกเปิดโปง เขาหนีออกจากคฤหาสน์ในกรีนิชเพื่อหลบหนีการตรวจสอบ เขาเดินทางไปยังกรุงโรมและเมืองฮัมบูร์กในเยอรมนี แต่ไม่นานนักเจ้าหน้าที่ก็จับกุมเขาได้ Frankel ถูกส่งตัวกลับมายังสหรัฐฯ ในปี 2001 เพื่อรับการพิจารณาคดี
ระหว่างการพิจารณาคดี Frankel พยายามขอผ่อนโทษด้วยการกล่าวคำขอโทษที่ยาวนานถึง 45 นาที เขาอ้างถึงพระคัมภีร์ และบอกว่าตนเสียใจที่ปล่อยให้การฉ้อโกงนี้เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ทนายความของฝ่ายโจทก์ Kevin O'Connor (เควิน โอคอนเนอร์) ได้ตอบโต้คำพูดของ Frankel ว่า “ทุกสิ่งที่เขารู้สึกในวันนี้ก็สายไปเสียแล้ว” Frankel ถูกตัดสินให้จำคุกถึง 16 ปี 8 เดือนในเรือนจำกลาง ส่วนจำเลยร่วมของเขาหลายคน รวมถึง Sonia Schulte ก็ถูกตั้งข้อหาและลงโทษเช่นกัน
บทเรียนจากคดี Martin Frankel และผลกระทบต่อวงการประกันภัย
เรื่องราวของ Frankel เป็นเครื่องเตือนใจในวงการการเงินและประกันภัยว่า การฉ้อโกงสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกรูปแบบและระดับ คดีนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการตรวจสอบอย่างละเอียดและการกำกับดูแลที่เข้มงวด การฉ้อโกงเช่นนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อบริษัทประกันภัย แต่ยังสร้างผลกระทบต่อผู้บริโภคอีกด้วย คดีของ Martin Frankel ทำให้เจ้าหน้าที่และหน่วยงานกำกับดูแลตระหนักถึงความจำเป็นในการป้องกันการฉ้อโกงในทุกระดับ เพื่อปกป้องผู้บริโภคและสร้างความมั่นใจในระบบการเงินและการประกันภัยที่โปร่งใส
คดี มาร์ติน แฟรงเคิล: การหลอกลวงระดับโลกในวงการประกันภัย
ที่มา : https://www.advancedbizmagazine.com/knowledge/deep-mind/the-martin-frankel-case/
Martin Frankel (มาร์ติน แฟรงเคิล) เกิดและเติบโตในรัฐโอไฮโอ เขาเริ่มต้นจากความสนใจในวงการการเงิน แต่การตัดสินใจทางการเงินของเขากลับไม่ได้เป็นไปตามวิธีปกติ เขาชอบใช้โหราศาสตร์มาทำนายผลการลงทุน ทำให้เกิดความขัดแย้งกับโบรกเกอร์หลายแห่งที่เขาทำงานให้ในช่วงแรก ๆ Frankel มักจะเลื่อนการตัดสินใจไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายเขาถูกไล่ออกจากงาน โดยเฉพาะหลังจากที่ John Schulte (จอห์น ชูลท์) เจ้านายของเขาในขณะนั้นพบว่า Frankel ไม่ได้ทำการซื้อขายจริง ๆ เหมือนที่เขากล่าวอ้าง
จุดพลิกผันเกิดขึ้นเมื่อ Sonia Schulte (โซเนีย ชูลท์) ภรรยาของ John Schulte ตัดสินใจเลิกกับสามีและมาอยู่กับ Frankel ไม่ใช่แค่ในฐานะคู่ชีวิต แต่ยังเป็นคู่ธุรกิจด้วย ทั้งคู่ได้ร่วมกันก่อตั้ง Winthrop Capital (วินทรอป แคปิทัล) ขึ้นในปี 1987 ภายใต้นามแฝงของ Frankel ที่ใช้ชื่อว่า James Spencer (เจมส์ สเปนเซอร์) และในช่วงนี้เอง Frankel ได้ตั้งกองทุนที่ชื่อว่า The Frankel Fund (เดอะ แฟรงเคิล ฟันด์) ขึ้นเพื่อดึงดูดนักลงทุนในรัฐฟลอริดา แม้เขาจะอ้างว่ากองทุนนี้มีแผนการลงทุนที่ดี แต่จริง ๆ แล้วเงินทุนกลับถูกใช้จ่ายไปกับค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเขา รวมถึงการดูแลครอบครัวแฟนสาวและแม่ของเขาด้วย
การตั้ง Thunor Trust (ธูเนอร์ ทรัสต์) และแผนการหลอกลวงในวงการประกันภัย
เมื่อกองทุนในฟลอริดาของ Frankel เริ่มสูญเสียเงินทุนและนักลงทุนเริ่มถอยห่าง Frankel จึงตัดสินใจย้ายกลับไปยังรัฐโอไฮโอ เขาเริ่มสร้างแผนการหลอกลวงใหม่โดยตั้งบริษัทที่ชื่อว่า Thunor Trust (ธูเนอร์ ทรัสต์) ขึ้นมาเพื่อลงทุนในบริษัทประกันภัยหลายแห่ง Frankel ใช้ Thunor Trust เป็นหน้าฉากในการซื้อบริษัทประกันภัยหลายแห่งในรัฐต่าง ๆ เช่น อาร์คันซอ มิสซิสซิปปี และเทนเนสซี ซึ่งเขาได้สร้างภาพลักษณ์ว่าบริษัทเหล่านี้มีการลงทุนที่มั่นคงและทำกำไรได้ดี ในขณะที่ความจริงแล้ว Frankel ใช้บริษัทประกันเหล่านี้เพื่อยักยอกเงินทุนออกมาใช้ส่วนตัวทั้งหมด
ผู้บรรยาย: ในช่วงนี้เอง Frankel ได้เริ่มต้นแผนการสร้างภาพลักษณ์ทางศาสนาโดยการตั้ง Saint Francis of Assisi Foundation (เซนต์ ฟรานซิส ออฟ อัสซิซี ฟาวน์เดชัน) ขึ้นมา โดยมูลนิธินี้เป็นชื่อที่ดูน่าเชื่อถือและมีเป้าหมายทางการกุศลเพื่อสนับสนุนโรงพยาบาล แต่เบื้องหลังมูลนิธินี้คือการซ่อนตัวตนของ Frankel จากการตรวจสอบทางกฎหมาย เขาถึงขั้นใช้ชื่อบุคคลสำคัญในคริสตจักรคาทอลิกเพื่อให้มูลนิธิดูมีความน่าเชื่อถือ แม้จะไม่มีความสัมพันธ์จริง ๆ ก็ตาม
การใช้ชีวิตหรูหราที่สร้างจากเงินที่ฉ้อโกง
Frankel ใช้เงินทุนจากบริษัทประกันภัยและมูลนิธิปลอมของเขาเพื่อดำเนินชีวิตอย่างหรูหรา เขาได้ซื้อคฤหาสน์ในเมืองกรีนิช คอนเนคติกัต รถยนต์หรูหลายคัน และเพชรพลอยขนาดใหญ่เพื่อสนองความต้องการของเขา ไม่เพียงเท่านั้น Frankel ยังใช้เงินสนับสนุนแฟนสาวและครอบครัวของเธออีกด้วย การใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยนี้ทำให้หลายฝ่ายเริ่มสงสัยและจับตามองพฤติกรรมของเขา จนนำไปสู่การเปิดโปงในที่สุด
เรื่องราวหลอกลวงที่ดูเป็นไปไม่ได้นี้สร้างผลกระทบต่อผู้ถือกรมธรรม์ เจ้าหน้าที่บริษัทประกัน และลูกจ้างของบริษัทเหล่านี้ บริษัทประกันภัยที่เขาควบคุมต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย เนื่องจากสินทรัพย์หลักถูกเปลี่ยนเป็นเงินทุนให้กับบริษัทเปลือกของเขา ซึ่งทำให้ต้นทุนของเบี้ยประกันสูงขึ้นสำหรับผู้บริโภคทั่วไป
การจับกุมในเยอรมนี และการพิจารณาคดี
ในปี 1999 หลังจากการฉ้อโกงของ Frankel ถูกเปิดโปง เขาหนีออกจากคฤหาสน์ในกรีนิชเพื่อหลบหนีการตรวจสอบ เขาเดินทางไปยังกรุงโรมและเมืองฮัมบูร์กในเยอรมนี แต่ไม่นานนักเจ้าหน้าที่ก็จับกุมเขาได้ Frankel ถูกส่งตัวกลับมายังสหรัฐฯ ในปี 2001 เพื่อรับการพิจารณาคดี
ระหว่างการพิจารณาคดี Frankel พยายามขอผ่อนโทษด้วยการกล่าวคำขอโทษที่ยาวนานถึง 45 นาที เขาอ้างถึงพระคัมภีร์ และบอกว่าตนเสียใจที่ปล่อยให้การฉ้อโกงนี้เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ทนายความของฝ่ายโจทก์ Kevin O'Connor (เควิน โอคอนเนอร์) ได้ตอบโต้คำพูดของ Frankel ว่า “ทุกสิ่งที่เขารู้สึกในวันนี้ก็สายไปเสียแล้ว” Frankel ถูกตัดสินให้จำคุกถึง 16 ปี 8 เดือนในเรือนจำกลาง ส่วนจำเลยร่วมของเขาหลายคน รวมถึง Sonia Schulte ก็ถูกตั้งข้อหาและลงโทษเช่นกัน
บทเรียนจากคดี Martin Frankel และผลกระทบต่อวงการประกันภัย
เรื่องราวของ Frankel เป็นเครื่องเตือนใจในวงการการเงินและประกันภัยว่า การฉ้อโกงสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกรูปแบบและระดับ คดีนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการตรวจสอบอย่างละเอียดและการกำกับดูแลที่เข้มงวด การฉ้อโกงเช่นนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อบริษัทประกันภัย แต่ยังสร้างผลกระทบต่อผู้บริโภคอีกด้วย คดีของ Martin Frankel ทำให้เจ้าหน้าที่และหน่วยงานกำกับดูแลตระหนักถึงความจำเป็นในการป้องกันการฉ้อโกงในทุกระดับ เพื่อปกป้องผู้บริโภคและสร้างความมั่นใจในระบบการเงินและการประกันภัยที่โปร่งใส