สวัสดีครับ วันนี้เรามีเรื่องที่อยากจะระบายเกี่ยวกับการแอบรักผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในใจเรามานานหลายปี ความรู้สึกของคำว่ารักที่เรามีให้กับเธอ แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมามันเต็มไปด้วยความซับซ้อนที่อยู่ในความรู้สึกของเรา ความรัก ความผูกพัน และความหวังที่บางครั้งก็ต้องถูกท้าทายด้วยความจริงที่ไม่ง่ายเลย มันเต็มไปด้วยความสุขและความเศร้า
ย้อนกลับไปเมื่อ ๑๐ ปีก่อนเราได้เจอผู้หญิงคนนึงเธอเป็นอาจารย์สอนพิเศษคนใหม่ในโรงเรียน เธอเป็นคนสวยน่ารักและดูสดใสร่าเริงอยู่ตลอดเวลา เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเธอสร้างความความสุขให้กับคนรอบตัวเธอและตัวเรา ที่จะคอยแอบมองหาเธออยู่เสมอเวลาไปถึงโรงเรียน เนื่องจากเราในช่วงนั้นจะเป็นคนที่ค่อนข้างจริงจังกับทุกอย่างในชีวิต และ มีบุคลิกที่ค่อนข้างขี้อาย เมื่อเจอคนที่สวยมากๆแบบนี้ เราเลยไม่กล้าเข้าไปคุยหรือทำตัวใกล้ชิดเนื่องด้วยเพราะตอนนั้นเรามีแฟนอยู่แล้ว กลัวว่าถ้าเกิดเดินเข้าไปพูดคุยหรือเอาตัวเองเข้าไปอยู่ใกล้ๆจะทำตัวไม่ถูกได้แค่แอบชอบและแอบมองเธออยู่ไกลๆ ตอนไปโรงเรียนเราได้คุยกันแค่ประโยคสั้นๆแบบลูกศิษย์กับอาจารย์ ตลอดเวลาในช่วงนั้นเรามีโอกาสได้อยู่ใกล้ๆและพูดคุยกับเธอแค่สองสามครั้งตอน เข้าไปส่งงานหลังจากนั้นผ่านไปหนึ่งเทอมเราก็เรียนจบแล้วเราก็ไม่ได้เจอหรือคุยอะไรกันอีกเลย
หลังจากเรียนจบมีเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันชวนเราไปทำงานเป็นพนักงานบริษัทแห่งนึง นั่งๆนอนๆทำงานในออฟฟิตที่ห้างสรรพสินค้า มีหน้าที่คอยจดคอยเช็คตัวเลขบนมิเตอร์ของเครื่องบำบัดน้ำเสียและคอยเดินไปเติมสารเคมีเข้าไปในระบบให้มันทำงาน หลังจากเลิกงานที่ห้างเราก็จะไปทำงานพิเศษส่งอาหารต่อจนถึงดึกแล้วค่อยกลับบ้าน หลังจากทำงานมาได้ประมาณเกือบสองปี เราก็เลิกกับแฟนเพราะตอนเราค่อนข้างจะเป็นคน “เจ้าอารมณ์” ชอบพูดใช้อารมณ์เวลามีปัญหากันเสมอไม่ค่อยรักษาความรู้สึกของแฟนเราเวลาที่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน บางครั้งมันก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆอย่างเช่นการออกไปหาอะไรกินข้างนอกบ้านแล้วเราไม่อยากไปเธอก็จะงอน หรือไม่ก็เรื่องที่ทางครอบครัวแฟนอยากให้เราไปสู่ขอซึ่งเราสองคนในตอนนั้นยังไม่มีเงินเก็บมากพอ เพราะเราต้องการที่จะปิดหนี้ค่ารถมอไซต์กับหนี้บัตรเครรดิสต่างๆที่กู้ยืมมาช่วงก่อนจะเรียนจบให้หมดก่อน แต่เรื่องหลักที่เรารู้ตัวดีเลยก็คือเรื่องของคำพูดและการกระทำของเรา ที่พูดหรือทำโดยไม่รักษาความรู้สึกของแฟนที่คบกันอยู่ในตอนนั้น เธอก็เลยขอแยกทางไปซึ่งตอนนั้นก็รู้สึกเสียใจแต่เราก็ไม่ได้ทำอะไรหรือพยายามที่จะรั้งเธอไว้เลย เธอพูดคำว่าต้องการให้เราสองคนรักกันแบบไม่พูกมัด เราก็เข้าใจว่าเธอต้องการอิสระภาพเพื่อที่จะเติบโตในเส้นทางของเธอเอง ทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกผิดอยู่ในทุกครั้งที่นึกถึงตอนนั้นขึ้นมาถ้าหาก.....เราคงไม่ต้องอยู่คนเดียว หลังจากนั้นเราก็เคว้งซักพักนึง ไปทำงานโดยไม่มีเป้าหมายเหมือนใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ คิดแค่ว่าทำงานแค่ให้มีเงินพอจ่ายหนี้ให้หมดเร็วๆก็พอ เวลาเงินออกหลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆแล้ว ส่วนนึงเราแบ่งไว้ส่วนนึงโดยที่ไม่ไปยุ่งกับมันเพราะคิดว่าเราไม่อยากทำงานประจำแล้ว อยากได้หมาพันธ์ดีๆมาเลี้ยงเพื่อคลายเหงาและอยากเพาะพันธ์ลูกหมาขายอยากมีฟาร์มเลี้ยงหมาเป็นของตัวเอง
วันนั้นเรานั่งเล่นโซเชียลอยู่ในออฟฟิตที่ทำงาน แล้วเห็นแอคเคาท์นึงโพล่มาในคอมเม้นท์รุ่นน้องที่เรารู้จักตอนเรียนก็เลยกดเข้าไปดู แล้วเราก็เจอเธอคนนั้น เธอนี่เองอาจารย์ที่เราเคยแอบชอบ เราเข้าไปส่องดูในโปรไฟล์แล้วตัดสินใจเพิ่มเธอเป็นเพื่อนทันที ไม่นานพอเราเห็นแจ้งเตือนขึ้นว่าเธอรับแอดเราแล้ว เราเลยทักไปหาเธอไปทันทีถามว่าจำเราได้ไหม แล้วก็บอกเรื่องที่เราเคยแอบชอบและแอบมองเธอ ซึ่งตอนนั้นเธอดูแปลกใจหรืออาจจะถึงขั้นตกใจเลยแหละ ที่จู่ๆเราก็พิมไปแบบนั้นทั้งๆที่ตอนเจอกันไม่ค่อยได้คุยหรือใช้เวลาทำความรู้จักกันเลย ในใจเราก็ลุ้นว่าจะโดนเธอบล็อคไหมว่ะ แห้วแน่ๆไม่น่าเลย แต่มันไม่เป็นแบบนั้นเธอคุยกับเราดีมากๆดูเป็นกันเองเข้าถึงง่าย “นักเลงคีย์บอร์ด” เธอใช้คำนี้แซวเรากลับมา พอคุยกันไปซักพักเธอก็เล่าว่าช่วงนั้นเธอได้ลาออกจากโรงเรียนเก่าที่เราเคยเจอและย้ายมาสอนอีกโรงเรียนนึงแล้ว เพราะสามีเจ้าของโรงเรียนค่อนข้างที่จะออกลายเจ้าชู้กับเธอคุกคามเธอคอยตามเธอตลอด จนโดน ผอ. กลั่นแกล้งทั้งการเรียกเข้าไปตำหนิส่วนตัวบ่อยๆ แล้วก็สั่งให้ไปนั่งทำงานที่โต๊ะหน้าห้อง อีกเรื่องที่จำได้ก็คือ ผอ ท่านนี้เลี้ยงหมาไว้หลายตัวแต่ไม่สนใจดูแลปล่อยให้เนื้อตัวสกปรกขับถ่ายไปทั่วโรงเรียน เธอเลยมีความรู้สึกว่าโรงเรียนนี้ไม่น่าอยู่อีกต่อไปแล้ว เลยตัดสินใจขอลาออก แล้วไปสมัครเป็นอาจารย์สอนอีกโรงเรียนนึง หลังจากที่ส่งลูกศิษย์ที่เธอสอนมาตั้งแต่ปีหนึ่งจบครบกันทุกคน
ช่วงแรกที่คุยกัน เราอยากจะบอกว่าทุกอย่างมันดูสดใสสำหรับเรามาก มีความรู้สึกสดชื่นมีความสุขซุกซ่อนอยู่เต็มไปหมดทุกที่ และ มันค่อยๆลอยเข้ามาเติมเต็มในใจเราจนพองโตจนแทบจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ จากหัวใจที่เป็นสีเทามันกลายเป็นสีชมพูภายในไม่กี่วัน ทุกประโยคที่เธอส่งมาในทุกวันที่ได้คุยกับเธอมันมีพลังและความหวังที่อยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ก่อตัวขึ้นมาในชีวิตเรามากขึ้นเรื่อยๆ มันมักจะมีความคิดที่คอยพุดขึ้นมาถามเราตลอดเวลาว่า ทำไมผู้หญิงคนนี้มีสเน่ห์จังเลยเธอทั้งสวยทั้งฉลาด ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถามที่เราถาม หรือการที่เธอส่งรูปหรือเล่าเรื่องราวในแต่ละวัน ทั้งที่เกี่ยวกับงานที่เธอทำหรือผู้คนที่เธอเจอ มันทำให้เราอยากจะเอาชนะใจเธอมากขึ้นทุกวัน ดูจะมีความสุขกระจายฟุ้งอยู่เต็มไปหมดในทุกชั่วโมงทุกนาที บางครั้งมันต่างกันแค่สถานที่แต่เรารับรู้อยู่ภายในดีว่า เรารู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากแชทไลน์ ที่เรารู้ว่ามีแค่เธอเพียงคนเดียวที่จะส่งมา ไม่ว่าจะเป็นคำตอบหรือคำถามที่เราแลกเปลี่ยนกันในแต่ละวัน แต่เนื่องจากเราเราค่อนข้างจะเป็นฝ่ายที่รุกหนักเกินไปจนเธออาจจะตั้งตัวไม่ติดในบางครั้ง เช่น การขอเธอคบเป็นแฟนตั้งแต่เดือนแรก หรือการโทรไปหาเธอตอนเกือบจะเที่ยงคืนเล่นกีต้าร์แล้วร้องเพลง PLEASE ให้เธอฟัง มาคิดดูมันก็ตลกจริงๆแหละ ที่เรากล้าพูดหรือทำอะไรแบบนั้นออกไป แต่เธอจะมองว่ามันเป็นเรื่องตลกกับสิ่งที่เราทำหรือพูดไปหรือปล่าวเราก็ไม่รู้ ตอนนั้นเราก็ปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไรทุกอย่างมันเพิ่งจะเริ่ม ชีวิตมันก็คงจะเป็นแบบนี้แหละ
"เราจะทำอย่างไรเมื่อรักแต่ไม่สามารถเข้าถึง?"
ย้อนกลับไปเมื่อ ๑๐ ปีก่อนเราได้เจอผู้หญิงคนนึงเธอเป็นอาจารย์สอนพิเศษคนใหม่ในโรงเรียน เธอเป็นคนสวยน่ารักและดูสดใสร่าเริงอยู่ตลอดเวลา เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเธอสร้างความความสุขให้กับคนรอบตัวเธอและตัวเรา ที่จะคอยแอบมองหาเธออยู่เสมอเวลาไปถึงโรงเรียน เนื่องจากเราในช่วงนั้นจะเป็นคนที่ค่อนข้างจริงจังกับทุกอย่างในชีวิต และ มีบุคลิกที่ค่อนข้างขี้อาย เมื่อเจอคนที่สวยมากๆแบบนี้ เราเลยไม่กล้าเข้าไปคุยหรือทำตัวใกล้ชิดเนื่องด้วยเพราะตอนนั้นเรามีแฟนอยู่แล้ว กลัวว่าถ้าเกิดเดินเข้าไปพูดคุยหรือเอาตัวเองเข้าไปอยู่ใกล้ๆจะทำตัวไม่ถูกได้แค่แอบชอบและแอบมองเธออยู่ไกลๆ ตอนไปโรงเรียนเราได้คุยกันแค่ประโยคสั้นๆแบบลูกศิษย์กับอาจารย์ ตลอดเวลาในช่วงนั้นเรามีโอกาสได้อยู่ใกล้ๆและพูดคุยกับเธอแค่สองสามครั้งตอน เข้าไปส่งงานหลังจากนั้นผ่านไปหนึ่งเทอมเราก็เรียนจบแล้วเราก็ไม่ได้เจอหรือคุยอะไรกันอีกเลย
หลังจากเรียนจบมีเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันชวนเราไปทำงานเป็นพนักงานบริษัทแห่งนึง นั่งๆนอนๆทำงานในออฟฟิตที่ห้างสรรพสินค้า มีหน้าที่คอยจดคอยเช็คตัวเลขบนมิเตอร์ของเครื่องบำบัดน้ำเสียและคอยเดินไปเติมสารเคมีเข้าไปในระบบให้มันทำงาน หลังจากเลิกงานที่ห้างเราก็จะไปทำงานพิเศษส่งอาหารต่อจนถึงดึกแล้วค่อยกลับบ้าน หลังจากทำงานมาได้ประมาณเกือบสองปี เราก็เลิกกับแฟนเพราะตอนเราค่อนข้างจะเป็นคน “เจ้าอารมณ์” ชอบพูดใช้อารมณ์เวลามีปัญหากันเสมอไม่ค่อยรักษาความรู้สึกของแฟนเราเวลาที่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน บางครั้งมันก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆอย่างเช่นการออกไปหาอะไรกินข้างนอกบ้านแล้วเราไม่อยากไปเธอก็จะงอน หรือไม่ก็เรื่องที่ทางครอบครัวแฟนอยากให้เราไปสู่ขอซึ่งเราสองคนในตอนนั้นยังไม่มีเงินเก็บมากพอ เพราะเราต้องการที่จะปิดหนี้ค่ารถมอไซต์กับหนี้บัตรเครรดิสต่างๆที่กู้ยืมมาช่วงก่อนจะเรียนจบให้หมดก่อน แต่เรื่องหลักที่เรารู้ตัวดีเลยก็คือเรื่องของคำพูดและการกระทำของเรา ที่พูดหรือทำโดยไม่รักษาความรู้สึกของแฟนที่คบกันอยู่ในตอนนั้น เธอก็เลยขอแยกทางไปซึ่งตอนนั้นก็รู้สึกเสียใจแต่เราก็ไม่ได้ทำอะไรหรือพยายามที่จะรั้งเธอไว้เลย เธอพูดคำว่าต้องการให้เราสองคนรักกันแบบไม่พูกมัด เราก็เข้าใจว่าเธอต้องการอิสระภาพเพื่อที่จะเติบโตในเส้นทางของเธอเอง ทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกผิดอยู่ในทุกครั้งที่นึกถึงตอนนั้นขึ้นมาถ้าหาก.....เราคงไม่ต้องอยู่คนเดียว หลังจากนั้นเราก็เคว้งซักพักนึง ไปทำงานโดยไม่มีเป้าหมายเหมือนใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ คิดแค่ว่าทำงานแค่ให้มีเงินพอจ่ายหนี้ให้หมดเร็วๆก็พอ เวลาเงินออกหลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆแล้ว ส่วนนึงเราแบ่งไว้ส่วนนึงโดยที่ไม่ไปยุ่งกับมันเพราะคิดว่าเราไม่อยากทำงานประจำแล้ว อยากได้หมาพันธ์ดีๆมาเลี้ยงเพื่อคลายเหงาและอยากเพาะพันธ์ลูกหมาขายอยากมีฟาร์มเลี้ยงหมาเป็นของตัวเอง
วันนั้นเรานั่งเล่นโซเชียลอยู่ในออฟฟิตที่ทำงาน แล้วเห็นแอคเคาท์นึงโพล่มาในคอมเม้นท์รุ่นน้องที่เรารู้จักตอนเรียนก็เลยกดเข้าไปดู แล้วเราก็เจอเธอคนนั้น เธอนี่เองอาจารย์ที่เราเคยแอบชอบ เราเข้าไปส่องดูในโปรไฟล์แล้วตัดสินใจเพิ่มเธอเป็นเพื่อนทันที ไม่นานพอเราเห็นแจ้งเตือนขึ้นว่าเธอรับแอดเราแล้ว เราเลยทักไปหาเธอไปทันทีถามว่าจำเราได้ไหม แล้วก็บอกเรื่องที่เราเคยแอบชอบและแอบมองเธอ ซึ่งตอนนั้นเธอดูแปลกใจหรืออาจจะถึงขั้นตกใจเลยแหละ ที่จู่ๆเราก็พิมไปแบบนั้นทั้งๆที่ตอนเจอกันไม่ค่อยได้คุยหรือใช้เวลาทำความรู้จักกันเลย ในใจเราก็ลุ้นว่าจะโดนเธอบล็อคไหมว่ะ แห้วแน่ๆไม่น่าเลย แต่มันไม่เป็นแบบนั้นเธอคุยกับเราดีมากๆดูเป็นกันเองเข้าถึงง่าย “นักเลงคีย์บอร์ด” เธอใช้คำนี้แซวเรากลับมา พอคุยกันไปซักพักเธอก็เล่าว่าช่วงนั้นเธอได้ลาออกจากโรงเรียนเก่าที่เราเคยเจอและย้ายมาสอนอีกโรงเรียนนึงแล้ว เพราะสามีเจ้าของโรงเรียนค่อนข้างที่จะออกลายเจ้าชู้กับเธอคุกคามเธอคอยตามเธอตลอด จนโดน ผอ. กลั่นแกล้งทั้งการเรียกเข้าไปตำหนิส่วนตัวบ่อยๆ แล้วก็สั่งให้ไปนั่งทำงานที่โต๊ะหน้าห้อง อีกเรื่องที่จำได้ก็คือ ผอ ท่านนี้เลี้ยงหมาไว้หลายตัวแต่ไม่สนใจดูแลปล่อยให้เนื้อตัวสกปรกขับถ่ายไปทั่วโรงเรียน เธอเลยมีความรู้สึกว่าโรงเรียนนี้ไม่น่าอยู่อีกต่อไปแล้ว เลยตัดสินใจขอลาออก แล้วไปสมัครเป็นอาจารย์สอนอีกโรงเรียนนึง หลังจากที่ส่งลูกศิษย์ที่เธอสอนมาตั้งแต่ปีหนึ่งจบครบกันทุกคน
ช่วงแรกที่คุยกัน เราอยากจะบอกว่าทุกอย่างมันดูสดใสสำหรับเรามาก มีความรู้สึกสดชื่นมีความสุขซุกซ่อนอยู่เต็มไปหมดทุกที่ และ มันค่อยๆลอยเข้ามาเติมเต็มในใจเราจนพองโตจนแทบจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ จากหัวใจที่เป็นสีเทามันกลายเป็นสีชมพูภายในไม่กี่วัน ทุกประโยคที่เธอส่งมาในทุกวันที่ได้คุยกับเธอมันมีพลังและความหวังที่อยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ก่อตัวขึ้นมาในชีวิตเรามากขึ้นเรื่อยๆ มันมักจะมีความคิดที่คอยพุดขึ้นมาถามเราตลอดเวลาว่า ทำไมผู้หญิงคนนี้มีสเน่ห์จังเลยเธอทั้งสวยทั้งฉลาด ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถามที่เราถาม หรือการที่เธอส่งรูปหรือเล่าเรื่องราวในแต่ละวัน ทั้งที่เกี่ยวกับงานที่เธอทำหรือผู้คนที่เธอเจอ มันทำให้เราอยากจะเอาชนะใจเธอมากขึ้นทุกวัน ดูจะมีความสุขกระจายฟุ้งอยู่เต็มไปหมดในทุกชั่วโมงทุกนาที บางครั้งมันต่างกันแค่สถานที่แต่เรารับรู้อยู่ภายในดีว่า เรารู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากแชทไลน์ ที่เรารู้ว่ามีแค่เธอเพียงคนเดียวที่จะส่งมา ไม่ว่าจะเป็นคำตอบหรือคำถามที่เราแลกเปลี่ยนกันในแต่ละวัน แต่เนื่องจากเราเราค่อนข้างจะเป็นฝ่ายที่รุกหนักเกินไปจนเธออาจจะตั้งตัวไม่ติดในบางครั้ง เช่น การขอเธอคบเป็นแฟนตั้งแต่เดือนแรก หรือการโทรไปหาเธอตอนเกือบจะเที่ยงคืนเล่นกีต้าร์แล้วร้องเพลง PLEASE ให้เธอฟัง มาคิดดูมันก็ตลกจริงๆแหละ ที่เรากล้าพูดหรือทำอะไรแบบนั้นออกไป แต่เธอจะมองว่ามันเป็นเรื่องตลกกับสิ่งที่เราทำหรือพูดไปหรือปล่าวเราก็ไม่รู้ ตอนนั้นเราก็ปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไรทุกอย่างมันเพิ่งจะเริ่ม ชีวิตมันก็คงจะเป็นแบบนี้แหละ