สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
ที่มาที่ไปคือเขมรนั้นเหมือนมีกรรมครับ ชายฝั่งทะเลของเขมรนี่ถูกปิดไว้ทั้งซ้ายขวา ซ้ายคือเกาะกูดและขวาคือเกาะฟูกว๊อก ซึ่งถ้าว่ากันตามหลักกฎหมายทะเลแล้วเกาะก็มีอาณาเขตทะเลของตน การที่มีเกาะมาบังไว้แบบนี้จะทำให้เขมรเสียอาณาเขตทางทะเลไปเพียบเพราะถูกเกาะบังเอาไว้ เขมรจึงเล่นลูกมั่วเอาสนธิสัญญาพรมแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศสมา ซึ่งสนธิสัญญานั้นกล่าวไว้ว่า “เขตแดนในระหว่างกรุงสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศสนั้น ตั้งแต่ชายฝั่งทะเลที่ตรงข้ามยอดเขาที่สูงที่สุดของเกาะกูดเป็นหลักแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือถึงสันเขาพนมกระวานแล” ซึ่งความจริงมันเป็นสนธิสัญญาอาณาเขตทางบก แต่เขมรตีลูกมั่วเอามารวมว่าใช้บังคับถึงอาณาเขตทางทะเลด้วย แล้วก็ขีดเส้นอาณาเขตทางทะเลตามเส้นตรงจากเกาะกูดมาแผ่นดินและตัดเลาะที่ฝั่งตะวันออกของเกาะกูดไปว่าเป็นของเขมร จากนั้นก็ประกาศอาณาเขตทะเลของตนออกมาในปี 1972 ส่วนไทยเราไม่เห็นด้วยจึงลากเส้นอาณาเขตทะเลตามหลักกฎหมายทะเล และประกาศพื้นที่ทะเลของไทยในปี 1973
ซึ่งความเป็นจริงแล้วจะกำหนดแบบนั้นไม่ได้ เพราะตามหลักกฎหมายทะเลแล้วถึงเป็นเกาะก็มีอาณาเขตทะเลของตน ดังนั้นมีเกาะกูดอยู่ก็ต้องให้สิทธิ์ในพื้นที่ทะเลของเกาะกูดก่อน เขมรจะมาลากเลาะตามเกาะกูดไปไม่ได้ พื้นที่ตอนใต้ของเกาะกูดไปจนถึงละติจูดที่ 11 ต้องเป็นของไทยอย่างถูกต้อง ส่วนใต้เส้นละติจูดที่ 11 นั้นก็ต้องเจรจาเขตแดนกันต่อไป เรื่องนี้เขมรไม่มีทางสู้ได้เลยเพราะอาณาเขตทะเลว่ากันด้วยกฎหมายเท่านั้น ไปขึ้นศาลทะเลเขมรก็แพ้ลูกเดียว
สรุปว่า ถ้าการเจรจาครั้งนี้พื้นที่ตั้งแต่ละติจูด 11 องศามาจนถึงเกาะกูดกลายเป็นพื้นที่ที่ไทยต้องแบ่งปันทรัพยากรกับเขมร แบบนี้คือขายชาติ
ซึ่งความเป็นจริงแล้วจะกำหนดแบบนั้นไม่ได้ เพราะตามหลักกฎหมายทะเลแล้วถึงเป็นเกาะก็มีอาณาเขตทะเลของตน ดังนั้นมีเกาะกูดอยู่ก็ต้องให้สิทธิ์ในพื้นที่ทะเลของเกาะกูดก่อน เขมรจะมาลากเลาะตามเกาะกูดไปไม่ได้ พื้นที่ตอนใต้ของเกาะกูดไปจนถึงละติจูดที่ 11 ต้องเป็นของไทยอย่างถูกต้อง ส่วนใต้เส้นละติจูดที่ 11 นั้นก็ต้องเจรจาเขตแดนกันต่อไป เรื่องนี้เขมรไม่มีทางสู้ได้เลยเพราะอาณาเขตทะเลว่ากันด้วยกฎหมายเท่านั้น ไปขึ้นศาลทะเลเขมรก็แพ้ลูกเดียว
สรุปว่า ถ้าการเจรจาครั้งนี้พื้นที่ตั้งแต่ละติจูด 11 องศามาจนถึงเกาะกูดกลายเป็นพื้นที่ที่ไทยต้องแบ่งปันทรัพยากรกับเขมร แบบนี้คือขายชาติ
ความคิดเห็นที่ 5
เรื่องนี้มันซับซ้อน ต้องใช้เวลาศึกษาค่อนข้างมากในการทำความเข้าใจ ไม่อาจจะสื่อได้ง่ายๆ เพียงแค่ภาพอินโฟกราฟฟิกเพียงภาพเดียว แล้วตีความไปต่างๆ นาๆ
ส่วนเรื่องจะมีการใช้กำลังสู้รบกันทางทะเลหรือไม่ ถ้าจะมีก็มีนานแล้ว
ตอนนี้พื้นที่ที่อ้างสิทธิทับซ้อนกันอยู่ ทั้งสองรัฐชายฝั่งก็ยังไม่มีการเข้าไปใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในทะเลใดๆ
และถ้าจะมี ก็คงจะเกิดจากการปลุกกระแสชาตินิยมแบบผิดๆ ในทั้งสองประเทศนี้แหละ
ตอนนี้ผมจะแปะลิงค์ไว้ให้ไปดาวน์โหลดเอกสารมาอ่านดูทีละเรื่อง เริ่มตั้งแต่
กฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายทะเล
อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (United Nations Convention on the Law of the Sea 1982)
https://www.judge.navy.mi.th/upload/pdf/internationai%20law/UNCLOS%20%201982.pdf
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อนุสัญญาฯ ได้มีการรับรอง ณ การประชุมสหประชาชาติด้านกฎหมายทะเล ครั้งที่ 3 (Third United Nations Conference on the Law of the Sea) และเปิดให้รัฐต่าง ๆ เข้าเป็นภาคี อนุสัญญาฯ ได้กำหนดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ อาทิ สิทธิหน้าที่ของรัฐในเขตทางทะเลต่าง ๆ สิทธิการเดินเรือ การแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล กลไกการระงับข้อพิพาท โดยไทยได้ลงนามในอนุสัญญาฯ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2525 และให้สัตยาบันเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
สาระสำคัญของอนุสัญญาฯ
การกำหนดเขตทางทะเลต่าง ๆ สถานะทางกฎหมาย สิทธิและหน้าที่ของรัฐชายฝั่งและรัฐอื่น ๆ ในแต่ละเขตทางทะเล ได้แก่
1. น่านน้ำภายใน (internal waters) หมายถึง น่านน้ำที่อยู่ถัดจากเส้นฐานที่ใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขตเข้ามาทางผืนแผ่นดินของรัฐชายฝั่ง ซึ่งรัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตยใน (หรือเหนือ) น่านน้ำภายใน
2.ทะเลอาณาเขต (territorial sea) มีความกว้างไม่เกิน 12 ไมล์ทะเล โดยวัดจากเส้นฐานออกไป รัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตย (sovereignty) เหนือทะเลอาณาเขต
3.เขตต่อเนื่อง (contiguous zone) โดยได้แก่ บริเวณที่อยู่ถัดไปจากทะเลอาณาเขต มีความกว้างไม่เกิน 24 ไมล์ทะเล วัดจากเส้นฐานที่ใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต โดยในเขตต่อเนื่อง รัฐชายฝั่งมีอำนาจในการกำหนดมาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันหรือลงโทษการละเมิดกฎหมายและระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับศุลกากร การคลัง การเข้าเมือง และการสาธารณสุข
4.เขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Exclusive Economic Zone - EEZ) ได้แก่ บริเวณที่อยู่ถัดออกไปจากทะเลอาณาเขต มีความกว้างไม่เกิน 200 ไมล์ทะเลจากเส้นฐานที่ใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต
ในเขต EEZ รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตย (sovereign rights) ซึ่งเป็นสิทธิที่จำกัดกว่าอำนาจอธิปไตย แต่ครอบคลุมเรื่องการสำรวจ การแสวงประโยชน์ การอนุรักษ์และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตเหนือพื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดินของพื้นดินท้องทะเล และในห้วงน้ำเหนือขึ้นไป รวมถึงการสร้างเกาะเทียม สิ่งก่อสร้าง และสิ่งติดตั้งในทะเล เป็นต้น
5.ไหล่ทวีป (continental shelf) หมายถึง พื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดินของบริเวณใต้ทะเล ซึ่งขยายเลยทะเลอาณาเขตออกไปตามธรรมชาติของดินแดนจนถึงริมนอกของขอบทวีป หรือจนถึงระยะ 200 ไมล์ทะเลจากเส้นฐานซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต และในบางกรณี ไหล่ทวีปสามารถขยายได้จนถึง 350 ไมล์ทะเลจากเส้นฐาน
ในบริเวณไหล่ทวีป รัฐชายฝั่งสามารถใช้สิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติบน ไหล่ทวีป
6.ทะเลหลวง (high seas) หมายถึง ทะเลที่ไม่ใช่น่านน้ำภายใน ทะเลอาณาเขต หรือเขตเศรษฐกิจจำเพาะของรัฐใด ทั้งนี้ ในทะเลหลวง รัฐทั้งปวงมีเสรีภาพในการเดินเรือ การบินผ่าน การวางสายเคเบิล และท่อใต้ทะเล รวมทั้งเสรีภาพในการทำประมง เสรีภาพในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
อ่าวไทยมีขนาดไม่ใหญ่มาก ดังนั้น เขตเศรษฐกิจจำเพาะ และ ไหล่ทวีป จึงเป็นเขตเดียวกัน จะเรียกแบบไหนก็ได้
คำพิพากษาคดีการแบ่งเขตทางทะเลในมหาสมุทรอินเดียระหว่างโซมาเลียกับเคนยา (Maritime Delimitation in the Indian Ocean (Somalia v. Kenya)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เส้นฐานตรงของประเทศไทย
https://www.state.gov/wp-content/uploads/2020/01/LIS-122.pdf
เอกสารฉบับนี้ ใช้ google ค้นหาเจอในเว็บไซท์ของสหประชาชาติ เป็นงานวิจัยวิเคราะห์ปัญหากรณีนี้ระหว่างไทย-กัมพูชา และศึกษาแนวทางแก้ปัญหา
https://www.un.org/oceancapacity/sites/www.un.org.oceancapacity/files/sam_31dec_correction_pic24.pdf
https://www.cia.gov/readingroom/docs/CIA-RDP86T00608R000600140009-3.pdf
อาณาเขตทางทะเลของไทย
https://www.hydro.navy.mi.th/webkm62/pdf/km_hydro_62_r.pdf
แนวเส้นไหล่ทวีปของ ไทย กัมพูชา เวียดนาม
อย่างที่เห็นตามรูปข้างบน กัมพูชามีลักษณะภูมิศาสตร์ทางทะเลที่เสียเปรียบอย่างมาก มีเกาะฟูกว๊อกของเวียดนามบังเต็มๆ
เลยจำเป็นต้องประกาศเส้นไหล่ทวีปในรูปแบบนี้ คือประกาศไปก่อน แล้วค่อยมาเจรจาแบ่งเขตกันทีหลัง
ซึ่งก่อนที่จะประกาศแบบนี้ ปี คศ 1972 มีการร่างเขตไหล่ทวีปถึง 4 ครั้ง และประกาศเส้นฐานตรง 2 ครั้ง ปี คศ 1957 และ ขยายเส้นฐานตรงออกจากชายฝั่งมามากกว่าเดิม ปี คศ 1972
สังเกตได้ว่า เส้นไหล่ทวีปที่กัมพูชาประกาศออกมา ครอบเกาะฟูกว๊อกของเวียดนามทั้งเกาะ ยิ่งกว่าที่ลากทับเกาะกูดของไทยเสียอีก
แต่สุดท้ายก็เจรจากันได้ ระหว่าง กัมพูชา-เวียดนาม ปี คศ 1991 และ ไทย-เวียดนาม ปี คศ 1997
ส่วนเรื่องจะมีการใช้กำลังสู้รบกันทางทะเลหรือไม่ ถ้าจะมีก็มีนานแล้ว
ตอนนี้พื้นที่ที่อ้างสิทธิทับซ้อนกันอยู่ ทั้งสองรัฐชายฝั่งก็ยังไม่มีการเข้าไปใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในทะเลใดๆ
และถ้าจะมี ก็คงจะเกิดจากการปลุกกระแสชาตินิยมแบบผิดๆ ในทั้งสองประเทศนี้แหละ
ตอนนี้ผมจะแปะลิงค์ไว้ให้ไปดาวน์โหลดเอกสารมาอ่านดูทีละเรื่อง เริ่มตั้งแต่
กฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายทะเล
อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (United Nations Convention on the Law of the Sea 1982)
https://www.judge.navy.mi.th/upload/pdf/internationai%20law/UNCLOS%20%201982.pdf
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อนุสัญญาฯ ได้มีการรับรอง ณ การประชุมสหประชาชาติด้านกฎหมายทะเล ครั้งที่ 3 (Third United Nations Conference on the Law of the Sea) และเปิดให้รัฐต่าง ๆ เข้าเป็นภาคี อนุสัญญาฯ ได้กำหนดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ อาทิ สิทธิหน้าที่ของรัฐในเขตทางทะเลต่าง ๆ สิทธิการเดินเรือ การแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล กลไกการระงับข้อพิพาท โดยไทยได้ลงนามในอนุสัญญาฯ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2525 และให้สัตยาบันเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
สาระสำคัญของอนุสัญญาฯ
การกำหนดเขตทางทะเลต่าง ๆ สถานะทางกฎหมาย สิทธิและหน้าที่ของรัฐชายฝั่งและรัฐอื่น ๆ ในแต่ละเขตทางทะเล ได้แก่
1. น่านน้ำภายใน (internal waters) หมายถึง น่านน้ำที่อยู่ถัดจากเส้นฐานที่ใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขตเข้ามาทางผืนแผ่นดินของรัฐชายฝั่ง ซึ่งรัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตยใน (หรือเหนือ) น่านน้ำภายใน
2.ทะเลอาณาเขต (territorial sea) มีความกว้างไม่เกิน 12 ไมล์ทะเล โดยวัดจากเส้นฐานออกไป รัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตย (sovereignty) เหนือทะเลอาณาเขต
3.เขตต่อเนื่อง (contiguous zone) โดยได้แก่ บริเวณที่อยู่ถัดไปจากทะเลอาณาเขต มีความกว้างไม่เกิน 24 ไมล์ทะเล วัดจากเส้นฐานที่ใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต โดยในเขตต่อเนื่อง รัฐชายฝั่งมีอำนาจในการกำหนดมาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันหรือลงโทษการละเมิดกฎหมายและระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับศุลกากร การคลัง การเข้าเมือง และการสาธารณสุข
4.เขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Exclusive Economic Zone - EEZ) ได้แก่ บริเวณที่อยู่ถัดออกไปจากทะเลอาณาเขต มีความกว้างไม่เกิน 200 ไมล์ทะเลจากเส้นฐานที่ใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต
ในเขต EEZ รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตย (sovereign rights) ซึ่งเป็นสิทธิที่จำกัดกว่าอำนาจอธิปไตย แต่ครอบคลุมเรื่องการสำรวจ การแสวงประโยชน์ การอนุรักษ์และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตเหนือพื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดินของพื้นดินท้องทะเล และในห้วงน้ำเหนือขึ้นไป รวมถึงการสร้างเกาะเทียม สิ่งก่อสร้าง และสิ่งติดตั้งในทะเล เป็นต้น
5.ไหล่ทวีป (continental shelf) หมายถึง พื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดินของบริเวณใต้ทะเล ซึ่งขยายเลยทะเลอาณาเขตออกไปตามธรรมชาติของดินแดนจนถึงริมนอกของขอบทวีป หรือจนถึงระยะ 200 ไมล์ทะเลจากเส้นฐานซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต และในบางกรณี ไหล่ทวีปสามารถขยายได้จนถึง 350 ไมล์ทะเลจากเส้นฐาน
ในบริเวณไหล่ทวีป รัฐชายฝั่งสามารถใช้สิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติบน ไหล่ทวีป
6.ทะเลหลวง (high seas) หมายถึง ทะเลที่ไม่ใช่น่านน้ำภายใน ทะเลอาณาเขต หรือเขตเศรษฐกิจจำเพาะของรัฐใด ทั้งนี้ ในทะเลหลวง รัฐทั้งปวงมีเสรีภาพในการเดินเรือ การบินผ่าน การวางสายเคเบิล และท่อใต้ทะเล รวมทั้งเสรีภาพในการทำประมง เสรีภาพในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
อ่าวไทยมีขนาดไม่ใหญ่มาก ดังนั้น เขตเศรษฐกิจจำเพาะ และ ไหล่ทวีป จึงเป็นเขตเดียวกัน จะเรียกแบบไหนก็ได้
คำพิพากษาคดีการแบ่งเขตทางทะเลในมหาสมุทรอินเดียระหว่างโซมาเลียกับเคนยา (Maritime Delimitation in the Indian Ocean (Somalia v. Kenya)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เส้นฐานตรงของประเทศไทย
https://www.state.gov/wp-content/uploads/2020/01/LIS-122.pdf
เอกสารฉบับนี้ ใช้ google ค้นหาเจอในเว็บไซท์ของสหประชาชาติ เป็นงานวิจัยวิเคราะห์ปัญหากรณีนี้ระหว่างไทย-กัมพูชา และศึกษาแนวทางแก้ปัญหา
DO SOLUTIONS TO INTERNATIONAL SECURITY ISSUES
OF
POORLY DEFINED MARITIME BOUNDARIES
REQUIRE
LEGAL, POLITICAL, AND TECHNICAL TOOLS
OF
POORLY DEFINED MARITIME BOUNDARIES
REQUIRE
LEGAL, POLITICAL, AND TECHNICAL TOOLS
https://www.un.org/oceancapacity/sites/www.un.org.oceancapacity/files/sam_31dec_correction_pic24.pdf
Cambodian Claims in the Gulf of Thailand:
More Trouble Brewing
More Trouble Brewing
https://www.cia.gov/readingroom/docs/CIA-RDP86T00608R000600140009-3.pdf
อาณาเขตทางทะเลของไทย
https://www.hydro.navy.mi.th/webkm62/pdf/km_hydro_62_r.pdf
แนวเส้นไหล่ทวีปของ ไทย กัมพูชา เวียดนาม
อย่างที่เห็นตามรูปข้างบน กัมพูชามีลักษณะภูมิศาสตร์ทางทะเลที่เสียเปรียบอย่างมาก มีเกาะฟูกว๊อกของเวียดนามบังเต็มๆ
เลยจำเป็นต้องประกาศเส้นไหล่ทวีปในรูปแบบนี้ คือประกาศไปก่อน แล้วค่อยมาเจรจาแบ่งเขตกันทีหลัง
ซึ่งก่อนที่จะประกาศแบบนี้ ปี คศ 1972 มีการร่างเขตไหล่ทวีปถึง 4 ครั้ง และประกาศเส้นฐานตรง 2 ครั้ง ปี คศ 1957 และ ขยายเส้นฐานตรงออกจากชายฝั่งมามากกว่าเดิม ปี คศ 1972
สังเกตได้ว่า เส้นไหล่ทวีปที่กัมพูชาประกาศออกมา ครอบเกาะฟูกว๊อกของเวียดนามทั้งเกาะ ยิ่งกว่าที่ลากทับเกาะกูดของไทยเสียอีก
แต่สุดท้ายก็เจรจากันได้ ระหว่าง กัมพูชา-เวียดนาม ปี คศ 1991 และ ไทย-เวียดนาม ปี คศ 1997
แสดงความคิดเห็น
พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ไทย - กัมพูชา แนวไหล่ทวีปมันอยู่ตรงไหนครับ
แล้วไหล่ทวีปมันอยู่ตรงไหนครับ กัมพูชาลากตัดเกาะของไทยแบบนั้นได้ยังไง ถึงที่สุดแล้วถ้าเจรจาหาข้อยุติไม่ได้ จะมีการใช้กำลังสู้รบกันไหมครับ ถ้าเกิดถึงขั้นนั้นจริง จะมีผลอะไรกับไทยในการเมืองระดับนาาชาติบ้างครับ