นอกจากวิตามิน K2 ในรูปแบบ MK-7 แล้ว การวิจัยยังชี้ให้เห็นว่าวิตามิน K1 ยังมีบทบาทในการลดความเสี่ยงของการกลายเป็นปูนในหลอดเลือดอีกด้วย สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเป็นกรณีในผู้ที่ใช้ยาความดันโลหิตสูง ในผู้ที่เป็นโรคแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจที่มีอยู่แล้ว และในผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนจากโรคหลอดเลือดหัวใจ
ในการศึกษาประชากรชาวเดนมาร์ก (อายุ 50-65 ปีโดยไม่มีประวัติโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันที่การตรวจวัดพื้นฐาน) พบว่าผู้ที่อยู่ในกลุ่มที่ได้รับวิตามิน K1 ในอาหารสูงที่สุด (162–800 ไมโครกรัม) มีความเสี่ยงลดลง 21% ของการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับ CVD และภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมองตีบ หรือโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย เป็นระยะเวลามากกว่า 17-22 ปี เมื่อเทียบกับปริมาณที่รับประทานน้อยที่สุด (73–101 ไมโครกรัม)
ขอบคุณที่มา
https://www.linkedin.com/pulse/does-vitamin-k1-help-reduce-coronary-artery-too-gene-omqde/
วิตามิน K1
ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนจากโรคหลอดเลือดหัวใจ
ในการศึกษาประชากรชาวเดนมาร์ก (อายุ 50-65 ปีโดยไม่มีประวัติโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันที่การตรวจวัดพื้นฐาน) พบว่าผู้ที่อยู่ในกลุ่มที่ได้รับวิตามิน K1 ในอาหารสูงที่สุด (162–800 ไมโครกรัม) มีความเสี่ยงลดลง 21% ของการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับ CVD และภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมองตีบ หรือโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย เป็นระยะเวลามากกว่า 17-22 ปี เมื่อเทียบกับปริมาณที่รับประทานน้อยที่สุด (73–101 ไมโครกรัม)
ขอบคุณที่มา
https://www.linkedin.com/pulse/does-vitamin-k1-help-reduce-coronary-artery-too-gene-omqde/