เพื่อนๆ เคยได้ยินคำพูดที่ว่า "เวลาเยียวยาได้ทุกสิ่ง" ไหมครับ? ผมว่ามันไม่จริงเสมอไปหรอกนะ
ผมลองทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต โดยใช้สมการนี้พิจารณาดู ผมแยกออกได้เป็น 2 แบบครับ
1. เวลาจะเยียวยาได้ต่อเมื่อสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เช่น การสูญเสียคนที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ เพื่อน หรือคู่ชีวิต เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ แน่นอนว่ามันสร้างความเจ็บปวดและเสียใจ แต่เวลาเองจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดนี้ ทำให้เราค่อย ๆ ยอมรับความจริง เพราะสิ่งนั้นคือกฎของธรรมชาติ
เวลาและการเยียวยา
เมื่อคนรักของเราจากไป ช่วงแรก...เรายังยอมรับการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ภาพความทรงจำต่าง ๆ พรั่งพรูเข้ามาในหัว เราจมอยู่ในความโศกเศร้า เสียใจที่ไม่สามารถมีเขาอยู่ข้าง ๆ ได้อีกต่อไป แต่กาลเวลาจะค่อย ๆ ทำหน้าที่ ช่วยให้เรายอมรับความจริง และเปลี่ยนความรู้สึกสูญเสียไปสู่ความคิดถึง
เมื่อเราสามารถเปลี่ยนความเสียใจเป็นความคิดถึงได้ ภาพความทรงจำดี ๆ และสิ่งที่เคยทำร่วมกันจะกลายเป็นเรื่องราวที่ทำให้เรายิ้มได้และมีความสุขทุกครั้งที่นึกถึง นี่แหละคือการที่เวลาได้ทำหน้าที่เยียวยาอย่างสมบูรณ์แบบ
ตรงกันข้าม...
2. หากเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ยังควบคุมหรือแก้ไขได้ เวลาอาจไม่ใช่สิ่งที่ช่วยเยียวยาเลย กลับกัน บางครั้งเวลาอาจยิ่งทำให้บาดแผลนั้นลึกขึ้นกว่าเดิม
ผมขอยกตัวอย่าง เช่น เมื่อถูกแฟนทิ้งโดยไม่มีการบอกเหตุผลหรือเคลียร์กันว่าเกิดอะไรขึ้นในความสัมพันธ์ ความเจ็บปวดในใจก็จะยิ่งทวีคูณ เราอาจเฝ้าถามตัวเองว่า "ฉันทำอะไรผิด?" หรือ "ทำไมเธอถึงทำแบบนี้?" ต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน ก็คงยังค้างคาใจอยู่เสมอ
หรือเราทะเลาะกับครอบครัว และปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่ปรับความเข้าใจกัน วันเวลาที่ผ่านไปอาจจะสร้างกำแพงระหว่างกันมากขึ้น ผมสังเกตว่าพ่อแม่หลายคนมีพฤติกรรมเช่นนี้ คือการเงียบใส่ลูกแล้วคิดเองว่าการทะเลาะกันในตอนนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็ก เดี๋ยวเวลาผ่านไปก็จะดีขึ้นเอง แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม เวลาที่ผ่านไปไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย แถมยังทำให้บาดแผลในใจลูกลึกขึ้นและเจ็บปวดมากขึ้น เพราะพ่อแม่ปล่อยให้ลูกเผชิญความเจ็บปวดอย่างโดดเดี่ยว
คุณอาจถอยออกมาจากสถานการณ์สักพัก เช่น 10 นาที, 1 ชั่วโมง, หรือ 1 วัน แต่ไม่ควรปล่อยให้สถานการณ์นั้นผ่านไปโดยไม่มีการแก้ไขให้เหตุผลหรือปรับความเข้าใจกัน
ผมมีเรื่องเล่าให้ฟังครับ
คิมทะเลาะกับพ่อเรื่องที่ไม่เข้าใจกัน ทั้งคู่เป็นคนที่มีอีโก้สูง ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตัวเองแต่ไม่ยอมปรับความเข้าใจกัน วันหนึ่งคิมประสบอุบัติเหตุรถชน เขาแขนหักและหัวแตก ต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลสักพักก่อนจะกลับมารักษาต่อที่บ้าน เขารอดมาได้อย่างหวุดหวิด เขาถามพี่ชายว่าพ่อรู้เรื่องที่เขาประสบอุบัติเหตุหรือยัง พี่ชายบอกว่าบอกพ่อแล้ว คิมอยากหยิบโทรศัพท์โทรหาพ่อเพื่อบอกว่าเขาประสบอุบัติเหตุแต่ปลอดภัยดี แต่ด้วยความที่คิมเป็นคนอีโก้สูง เขาจึงทำไม่ได้ เขาคิดวนเวียนเรื่องที่ทะเลาะกับพ่อนั้นเขาไม่ได้ผิด แล้วทำไมเขาต้องเป็นคนยกหูโทรศัพย์โทรก่อน? แต่ขณะเดียวกัน เขาก็เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่พ่อจะโทรมาหาเขาเดือนแรก ๆ เขาก็เฝ้ารอว่าพ่อจะโทรหาเขา แต่เวลาผ่านไป...สองปี ก็ไม่มีโทรศัพย์จากพ่อของเขาแม้แต่ครั้งเดียว
วันหนึ่งคิมตัดสินใจโทรหาพ่อ และพ่อก็รับสาย ทั้งคู่กลับจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร เพราะปล่อยเวลาให้ผ่านไปนานจนลืมไปแล้วด้วยซ้ำ พวกเขาพยายามกลับมาคุยกันให้เหมือนเดิม แต่ก็ไม่มีทางเหมือนเดิม ในใจคิมยังคงติดอยู่กับความคิดว่า วันที่เขาต้องเจ็บปวดทรมานจากอุบัติเหตุเกือบตาย พ่อกลับไม่อยู่เคียงข้างเขา กำแพงในใจคิมถูกก่อขึ้น และถ้าไม่ได้รับการแก้ไข ความรู้สึกนั้นมันฝังใจคิมจนไม่มีอะไรลบล้างได้จนถึงทุกวันนี้ ลึก ๆ แล้วคิมรู้สึกว่าพ่อไม่รักเขา
ผมอยากจะบอกว่า...
ถ้าเราเจอกับเรื่องที่เป็นกฎของธรรมชาติ เช่น ความตายหรือการจากลา เราควรปล่อยให้เวลาเยียวยาเรา หากเสียใจหรือร้องไห้ ก็ให้เป็นไปตามที่มันควรเป็น เก็บความทรงจำที่สวยงามของคนที่เรารัก ติดตัวไปกับเราเสมอ เหมือนในภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่อง Mama Coco
แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เวลาเยียวยาไม่ได้ เราควรปรับความเข้าใจกัน เปิดใจรับฟัง ไม่ปล่อยให้อารมณ์นำทาง ลดอคติและอีโก้ลง เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่คุ้มค่ากับความรู้สึกของคนที่เรารัก และอย่าปล่อยให้เวลาสร้างกำแพงสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะวันหนึ่ง เมื่อเราต้องจากกัน ความทรงจำเหล่านั้นอาจกลายเป็นสิ่งที่ไม่สวยงาม หรืออาจเต็มไปด้วยความเกลียด เสียใจ หรือเสียดาย ฝังลึกอยู่ในใจตลอดไป
กาลเวลา...ไม่ได้เยียวยาได้ทุกสิ่งเสมอไป
ผมลองทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต โดยใช้สมการนี้พิจารณาดู ผมแยกออกได้เป็น 2 แบบครับ
1. เวลาจะเยียวยาได้ต่อเมื่อสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เช่น การสูญเสียคนที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ เพื่อน หรือคู่ชีวิต เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ แน่นอนว่ามันสร้างความเจ็บปวดและเสียใจ แต่เวลาเองจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดนี้ ทำให้เราค่อย ๆ ยอมรับความจริง เพราะสิ่งนั้นคือกฎของธรรมชาติ
เวลาและการเยียวยา
เมื่อคนรักของเราจากไป ช่วงแรก...เรายังยอมรับการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ภาพความทรงจำต่าง ๆ พรั่งพรูเข้ามาในหัว เราจมอยู่ในความโศกเศร้า เสียใจที่ไม่สามารถมีเขาอยู่ข้าง ๆ ได้อีกต่อไป แต่กาลเวลาจะค่อย ๆ ทำหน้าที่ ช่วยให้เรายอมรับความจริง และเปลี่ยนความรู้สึกสูญเสียไปสู่ความคิดถึง
เมื่อเราสามารถเปลี่ยนความเสียใจเป็นความคิดถึงได้ ภาพความทรงจำดี ๆ และสิ่งที่เคยทำร่วมกันจะกลายเป็นเรื่องราวที่ทำให้เรายิ้มได้และมีความสุขทุกครั้งที่นึกถึง นี่แหละคือการที่เวลาได้ทำหน้าที่เยียวยาอย่างสมบูรณ์แบบ
ตรงกันข้าม...
2. หากเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ยังควบคุมหรือแก้ไขได้ เวลาอาจไม่ใช่สิ่งที่ช่วยเยียวยาเลย กลับกัน บางครั้งเวลาอาจยิ่งทำให้บาดแผลนั้นลึกขึ้นกว่าเดิม
ผมขอยกตัวอย่าง เช่น เมื่อถูกแฟนทิ้งโดยไม่มีการบอกเหตุผลหรือเคลียร์กันว่าเกิดอะไรขึ้นในความสัมพันธ์ ความเจ็บปวดในใจก็จะยิ่งทวีคูณ เราอาจเฝ้าถามตัวเองว่า "ฉันทำอะไรผิด?" หรือ "ทำไมเธอถึงทำแบบนี้?" ต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน ก็คงยังค้างคาใจอยู่เสมอ
หรือเราทะเลาะกับครอบครัว และปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่ปรับความเข้าใจกัน วันเวลาที่ผ่านไปอาจจะสร้างกำแพงระหว่างกันมากขึ้น ผมสังเกตว่าพ่อแม่หลายคนมีพฤติกรรมเช่นนี้ คือการเงียบใส่ลูกแล้วคิดเองว่าการทะเลาะกันในตอนนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็ก เดี๋ยวเวลาผ่านไปก็จะดีขึ้นเอง แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม เวลาที่ผ่านไปไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย แถมยังทำให้บาดแผลในใจลูกลึกขึ้นและเจ็บปวดมากขึ้น เพราะพ่อแม่ปล่อยให้ลูกเผชิญความเจ็บปวดอย่างโดดเดี่ยว
คุณอาจถอยออกมาจากสถานการณ์สักพัก เช่น 10 นาที, 1 ชั่วโมง, หรือ 1 วัน แต่ไม่ควรปล่อยให้สถานการณ์นั้นผ่านไปโดยไม่มีการแก้ไขให้เหตุผลหรือปรับความเข้าใจกัน
ผมมีเรื่องเล่าให้ฟังครับ
คิมทะเลาะกับพ่อเรื่องที่ไม่เข้าใจกัน ทั้งคู่เป็นคนที่มีอีโก้สูง ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตัวเองแต่ไม่ยอมปรับความเข้าใจกัน วันหนึ่งคิมประสบอุบัติเหตุรถชน เขาแขนหักและหัวแตก ต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลสักพักก่อนจะกลับมารักษาต่อที่บ้าน เขารอดมาได้อย่างหวุดหวิด เขาถามพี่ชายว่าพ่อรู้เรื่องที่เขาประสบอุบัติเหตุหรือยัง พี่ชายบอกว่าบอกพ่อแล้ว คิมอยากหยิบโทรศัพท์โทรหาพ่อเพื่อบอกว่าเขาประสบอุบัติเหตุแต่ปลอดภัยดี แต่ด้วยความที่คิมเป็นคนอีโก้สูง เขาจึงทำไม่ได้ เขาคิดวนเวียนเรื่องที่ทะเลาะกับพ่อนั้นเขาไม่ได้ผิด แล้วทำไมเขาต้องเป็นคนยกหูโทรศัพย์โทรก่อน? แต่ขณะเดียวกัน เขาก็เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่พ่อจะโทรมาหาเขาเดือนแรก ๆ เขาก็เฝ้ารอว่าพ่อจะโทรหาเขา แต่เวลาผ่านไป...สองปี ก็ไม่มีโทรศัพย์จากพ่อของเขาแม้แต่ครั้งเดียว
วันหนึ่งคิมตัดสินใจโทรหาพ่อ และพ่อก็รับสาย ทั้งคู่กลับจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร เพราะปล่อยเวลาให้ผ่านไปนานจนลืมไปแล้วด้วยซ้ำ พวกเขาพยายามกลับมาคุยกันให้เหมือนเดิม แต่ก็ไม่มีทางเหมือนเดิม ในใจคิมยังคงติดอยู่กับความคิดว่า วันที่เขาต้องเจ็บปวดทรมานจากอุบัติเหตุเกือบตาย พ่อกลับไม่อยู่เคียงข้างเขา กำแพงในใจคิมถูกก่อขึ้น และถ้าไม่ได้รับการแก้ไข ความรู้สึกนั้นมันฝังใจคิมจนไม่มีอะไรลบล้างได้จนถึงทุกวันนี้ ลึก ๆ แล้วคิมรู้สึกว่าพ่อไม่รักเขา
ผมอยากจะบอกว่า...
ถ้าเราเจอกับเรื่องที่เป็นกฎของธรรมชาติ เช่น ความตายหรือการจากลา เราควรปล่อยให้เวลาเยียวยาเรา หากเสียใจหรือร้องไห้ ก็ให้เป็นไปตามที่มันควรเป็น เก็บความทรงจำที่สวยงามของคนที่เรารัก ติดตัวไปกับเราเสมอ เหมือนในภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่อง Mama Coco
แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เวลาเยียวยาไม่ได้ เราควรปรับความเข้าใจกัน เปิดใจรับฟัง ไม่ปล่อยให้อารมณ์นำทาง ลดอคติและอีโก้ลง เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่คุ้มค่ากับความรู้สึกของคนที่เรารัก และอย่าปล่อยให้เวลาสร้างกำแพงสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะวันหนึ่ง เมื่อเราต้องจากกัน ความทรงจำเหล่านั้นอาจกลายเป็นสิ่งที่ไม่สวยงาม หรืออาจเต็มไปด้วยความเกลียด เสียใจ หรือเสียดาย ฝังลึกอยู่ในใจตลอดไป